โลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยการแข่งขันเอารัดเอาเปรียบ ผู้ให้น้อยกว่าผู้รับ คนรวยก็รวยเสียดฟ้า คนจนก็จนเรี่ยดิน ทำให้เกิดช่องว่างในสังคมอย่างชัดเจน โดยเฉพาะผู้ทำเกษตรกรรมทำมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ก็ยังไม่ลืมตาอ้าปากเป็นหนี้สินคราวลูกคราวหลานสืบต่อไป ทั้งที่เกษตรกรเป็นอาชีพสำคัญหากไม่มีชาวนาก็ไม่มีข้าว ไม่มีชาวสวนชาวไร่ก็ไม่มีพืชพันธุ์ธัญญผล ไม่มีชาวประมงใครจะจับปลาให้เรากิน แต่ก็ทำได้แต่ทรงตัวมาตั้งแต่สมัยรุ่นปู่รุ่นทวด เพราะไม่มีการช่วยเหลือจากหน่วยงานใดอย่างจริงจัง อีกทั้งวัตถุดิบพืชพันธุ์ธัญญผลของไทยบางชนิด เป็นที่ยอมรับไปไกลยังทั่วโลกด้วยซ้ำ
แนวคิดในการช่วยเหลือเกษตรกรจึงผุดขึ้นมาด้วยความตั้งใจของ นายสุขุม วงประสิทธิ ประธานที่ปรึกษาและประธานบริหาร บริษัท พรหมชีวา เป็น CEO ผู้ใช้ชีวิตสมถะเรียบง่าย ใช้ชีวิตตามคำสอนพ่อหลวงรัชกาลที่ ๙ นำศาสตร์พระราชามาบริหารงาน และบุคลากรจนประสบความสำเร็จ นายสุขุม อาจจะมีใครหลายคนคุ้นหูคุ้นตาผ่านสื่อวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ หรือแม้กระทั่งสื่อออนไลน์ไม่น้อย ในวันนี้จะได้ทราบถึงประวัติแก่นแท้ของผู้ชายคนนี้ สุขุม วงประสิทธิ ผู้ที่มีหัวใจเยี่ยงพรหมคือผู้มีแต่ให้
นายสุขุม วงประสิทธิ ปัจจุบันอายุ 53 ปี เกิดที่ รพ.ราชวิถี อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กรุงเทพฯ สมรสกับ นางเตือนใจ วงประสิทธิ ระหว่าง 2536-2540 ใช้ชีวิตและทำงานเป็นที่ปรึกษาการลงทุน (ล็อบบี้ยิสต์) ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และศึกษาแนวทางการพัฒนาประเทศของระบอบสังคมนิยม (คอมมิวนิสต์) ปี 2540-2545 ได้ผันตัวเข้ามาทำงานด้านจิตอาสา, เป็นผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการพรรคเกษตรเสรี, ผู้อำนวยการพรรคเกษตรมหาชน (พรรคการเมืองที่มีสาขามากที่สุดในขณะนั้น), เป็นผู้ก่อตั้งพรรคสังคมไทย เป็นเลขาธิการและหัวหน้าพรรคได้รับเลือกตั้งจากสมาชิก และเป็นเลขาธิการสหพันธ์พรรคการเมืองไทย (2 สมัย)
ปี 2548-2550 ได้เป็นผู้ริเริ่มและร่วมก่อตั้งสภาการวิทยุและโทรทัศน์ชาติตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (สวชพ.) และดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ และประธานคณะกรรมประสานงานโครงการประชาระบือธรรม ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยมี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ (ประธานองคมนตรี) นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น รับเป็นประธานที่ปรึกษาฝ่ายฆราวาส ต่อมาได้มีบทบาททางการเมืองมากขึ้น จากการเชิญชวนของมิตรสหายที่มีอุดมการณ์ ในการเทิดทูนสถาบันและปกป้องพระมหากษัตริย์ ในปี 2551 จึงได้เข้าร่วมแกนนำกลุ่มรักประชาธิปไตยสนามหลวง
โดยตั้งอุดมการณ์ไว้ในการทำภารกิจ 1. รณรงค์ให้พี่น้องเสื้อแดงรักเจ้าเทิดทูนสถาบัน 2. ยกร่างยุทธศาสตร์แนวทางการต่อสู้ให้แกนนำ นปช.รักเจ้าเทิดทูนสถาบัน ยึดมั่นระบอบการปกครองประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเป็นแกนนำกลุ่มสหธรรมิกต่อสู้ทวงคืนเขาปราสาทพระวิหาร หลังจากนั้นได้เดินหน้าเข้าทางธรรมเพื่อศึกษาเรียนรู้สัจจธรรมของชีวิต โดยเป็นอุปฐากฝ่ายฆราวาส (เลขานุการ) พระอธิการสนอง กตปุญโญ อดีตเจ้าอาวาสวัดสังทาน จ.นนทบุรี และเป็นจิตอาสา พิธีกรหลักสถานีโทรทัศน์วัดสังทาน (กว่า 1,000 เทป) รวมถึงเป็นหัวหน้าโครงการแท็กซี่คุณธรรมเศรษฐกิจพอเพียงไทยร่มเย็น ทั้งที่ตนเองไม่ได้เคยประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ ต่อมาปี 2556 ถูกการทาบทามให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่ากรุงเทพฯ
นายสุขุม เปิดเผยว่า จริงแล้วตนเองเริ่มหันมาใช้ชีวิตสงบศึกษาพระธรรม แต่เนื่องด้วยที่ผ่านมาตนเองช่วยคนมาเยอะ ช่วยแบบไม่เคยคิดเป็นมูลค่าทำด้วยใจ เห็นใครลำบากก็เข้าช่วยเหลือ เป็นนิสัยแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร พรรคพวกเล็งเห็นว่าตนเองมีคุณค่าทางสังคม ที่จะสามารถช่วยเหลือฟื้นฟูเป็นอนาคตของประเทศได้ จึงชักชวนทาบทามเข้าไปลงเลือกตั้ง ผลออกมาได้คะแนนเป็นอันดับที่ 6 จากผู้ลงสมัคร จำนวน 28 คน หลังจากนั้นตนตกเป็นข่าวอย่างหนักทางสื่อทุกสื่อ กรณีที่ตนไปยืนหนังสือคัดค้านการปราชิกของพระวิรพล ฉัตรติโก หรือ “หลวงปู่เณรคำ” ทำให้คนเข้าใจผิดกันมากมายว่าเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่เณรคำ
ตนเองในฐานะพุทธศาสนิกชน และดำเนินกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นเวลานาน มองว่าไม่ควรทำการปราชิกพระสงฆ์ ทั้งที่พระสงฆ์นั้นยังไม่ยอมปราชิกแต่กลับถูกจับถอดจีวร และไม่เป็นไปตามการะบวนการหลักธรรมวินัย จึงเข้าคัดค้านเพื่ออนาคตจะได้เกิดเสถียรภาพ เกิดความเป็นธรรมแก่พระสงฆ์รูปอื่นๆ ที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ โดยรับสิทธิ์การปฏิบัติตามหลักกฎหมาย และหลักพระธรรมวินัยผลคือ ปัจจุบันหากเกิดคดีอาญากับพระสงฆ์จนถึงขั้นปราชิก ต้องให้ผลคำตัดสินในคดีอาญานั้นๆ มีคำพิพากษาถึงที่สุดก่อนจึงสามารถจับพระสึกได้ ตามหลักพระธรรมวินัยอนุโลมใช้ในประเทศไทย
ปี 2557-2558 จัดตั้งองค์ธรรมะสภาพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้รับการสนับสนุนจากพระเดชพระคุณพระเทพญานมงคล (หลวงป๋า) อดีตเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม จ.ราชบุรี มีภารกิจเพื่อรักษาความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ไม่ให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกในหมู่ชาวพุทธ จากกรณีการปฏิรูปพระพุทธศาสนาและกรณีวัดธรรมกาย ปี 2558-2561 ได้รับตำแหน่งเป็นเลขานุการประจำตัว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และต่อมาดำรงตำแหน่ง ผอ.มูลนิธิ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เพื่อสร้างสันติภาพและการพัฒนาภารกิจ
ทั้งนี้ ปัจจุบัน นายสุขุม ทำงานให้สังคมเพื่อประโยชน์สุขของพี่น้องชาวไทย ได้รับเกียรติเป็นเลขานุการกลุ่มรักเมืองไทยแห่งสุวรรณภูมิ จัดทำยุทธศาสตร์แก้ไขปัญหาความยากจน ฉบับประชาชนเมื่อปี 2561 โดยมีผู้นำทุกสาขาอาชีพ จำนวน 50 คน เข้าร่วมเป็นสมาชิกและมี พล.อ.ชวลิต เป็นประธานที่ปรึกษา นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ เป็นประธาน ร่วมกับ นางเตือนใจ ภรรยา ก่อตั้ง บริษัท พรหมชีวา จำกัด เพื่อทำงานด้าน Socail Enterprise ธุรกิจเพื่อสังคม เป็นการรวมกลุ่มของประชาชน บริษัทต่างๆ สถาบันการเงิน สมาคมที่ทำงานเพื่อสังคม เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน
ภายใต้การนำของ บริษัท พรหมชีวา จำกัด ในการแลกเปลี่ยนซื้อขายทำการตลาดช่วยเกษตรกร และคนที่ไม่มีงานทำ เพื่อให้มีรายได้กระจายทั่วถึงกัน นายสุขุม ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์เฉพาะทางด้าน Socail Enterprise สมัยเป็นที่ปรึกษาการลงทุน (ล็อบบี้ยิสต์) ใน สปป.ลาว ขณะนี้ได้ทำโครงการผลิตชีวมวล ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากซากพืช ซากสัตว์ เช่นต้นหญ้า ต้นอ้อย ที่เกษตรกรนำไปเผาทำลายจนเกิดมลพิษต่อโลก แต่ทางบริษัทฯได้นำมาแปรรูปเพื่อให้เกิดรายได้ และไม่เป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม
โดย นายสุขุม ได้นำบริษัทฯเล็งเป้าไปทางด้านเกษตรกรรม โดยเฉพาะชาวนาที่ทำมาชั่วบรรพบุรุษ ยันลูกหลานแต่กลับเป็นหนี้เป็นสิน จนหลายคนถอดใจขายที่ดินทำกินไปมากมาย จึงเริ่มน้อมนำเอาโครงการพระราชดำริ "โคกหนองนาโมเดล" มาทำแปลงนาสาธิตให้ชาวนาในหลายพื้นที่ อาทิ อ.บางเลน จ.นครปฐม อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เป็นต้น มีนักวิชาการ ปราชญ์ชาวบ้านมาให้ความรู้ และนำนวัตกรรมที่บริษัทคิดค้นขึ้น อาทิ เครื่องหยอดข้าวเตือนใจไทย สารปรุงดิน กรดอะมิโนมาใช้ จนล่าสุดครบ 45 วัน ผลปรากฏว่าข้าวแตกกอ สีสดสวยขึ้นเรียงแถวอย่างงดงาม
ในขั้นตอนต่อไปจะเริ่มทำศูนย์อบรม "ชาวนาเตือนใจไทยให้คนตกงาน" ที่ให้ลูกหลานเกษตรกรมาเรียนรู้และกลับไปยังภูมิลำเนา เพื่อทำงานในภูมิลำเนาลดค่าใช้จ่าย มีรายได้ที่มั่นคงอีกด้วย นอกจากนี้ นายสุขุม มีแนวคิดอุดมคติในการ ช่วยเหลือประชาชนทุกๆ ฝ่าย ทุกๆ คนที่เดือนร้อน บริษัท พรหมชีวา จำกัด นั้นนับเป็นกลุ่มบริษัทศูนย์กลางโซเชียลเอนเตอร์ไพรส์ ธุรกิจเพื่อสังคมอีกแห่งทั้งยังเป็นสะพานเชื่อมของเกษตรกรวิถีใหม่ และเริ่มตั้งรากฐานที่ อ.บางเลน จ.นครปฐม ภายใต้สโลแกนว่า ประชาชนคือหัวใจ