เมื่อ ๒๓.๔๐ น.ของวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๒๗ คนกรุงเทพฯที่แหงนหน้ามองฟ้า ต่างต้องตกใจที่เห็นดวงไฟดวงใหญ่เคลื่อนที่อยู่บนฟ้าด้วยความเร็วสูง เมื่อเข้ามาใกล้จึงเห็นว่าเป็นเครื่องบินลำใหญ่ที่กำลังเกิดไฟลุกโชน
และ บางส่วนของสะเก็ดไฟได้ตกลงมาบนหลังคาบ้าน
ต่อมาจึงทราบว่าเครื่องบินลำนี้เป็นเครื่องบินโดยสารจัมโบ้เจ็ทของสายการบินแอร์อินเดีย เพิ่งนำ ๒๙๓
ชีวิตขึ้นจากสนามบินดอนเมืองจะไปกรุงนิวเดลีเมื่อ ๒๒.๑๕ น.มานี่เอง พอบินไปเหนืออำเภอกำแพงแสน
จังหวัดนครปฐม ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ติดหน้าต่างตรงปีกด้านซ้าย ชมแสงสีของกรุงเทพฯหมดไปครู่เดียว
ก็เห็นมีไฟดวงเล็กๆลุกอยู่ที่ปลายปี จึงเรียกแอร์โฮสเตสมาดู เห็นไฟดวงนั้นลุกโชนขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทำให้ผู้โดยสารโกลาหลขึ้นทั้งลำ
ขณะเดียวกันกัปตันก็ทราบจากหน้าปัดว่ามีไฟลุกไหม้ขึ้นที่เครื่องยนต์เครื่องที่ ๔ จึงดับเครื่องยนต์นั้นและรายงานให้หอบังคับการดอนเมืองทราบว่าจะนำเครื่องกลับไปลงแล้วประกาศให้ผู้โดยสารอยู่ในความสงบ กลับไปนั่งที่และรัดเข็ดขัดทุกคน
แม้กัปตันจะประกาศด้วยเสียงฟังดูเหมือนปกติ แต่ผู้โดยสารบางคนก็สังเกตได้ว่าน้ำเสียงหนักแน่นแบบระงับความตื่นเต้นไว้สุดฤทธิ์ กัปตันยังระงับความตื่นเต้นได้ยอดเยี่ยม วนเครื่องบินออกไปทะเลก่อนจะมุ่งลงดอนเมือง และปล่อยน้ำมัน ๘๐ ลิตรลงแถวหัวหิน แต่ไฟก็ไม่ได้มอดดับลงไปเลย และลามมาจนถึงโคนปีกทำให้ภายในตัวเครื่องบินร้อนเหมือนเตาอบ ถึงตอนนี้ความโกลาหลในเครื่องบินกลับสงบอย่างน่าแปลกใจ
เพราะไม่ว่าผู้โดยสารไม่ว่าจะอยู่ในลัทธิศาสนาใด ต่างก็สวดมนต์ในศาสนาของตน จนเมื่อล้อเครื่องบินแตะรันเวย์ ผู้โดยสารจึงกรูไปที่ประตูทางออกและพยายามเปิด บางคนก็ทุบกระจกหน้าต่างเป็นทางออก บางคนก็กระโดดลงไปในขณะที่เครื่องยังไม่ทันจอดสนิท จึงบาดเจ็บไปหลายคน แต่ผู้โดยสารเกือบทั้งหมดก็ลงทางฉุกเฉินได้อย่างปลอดภัยภายใน ๒ นาทีครึ่ง
ผู้โดยสารที่รอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์พากันสดุดี กัปตันอโศกกุมาร เวอร์ม่า ซึ่งมีประสบการณ์การบิน ๒๖
ปีนับหมื่นชั่วโมง และต้องไปนอนโรงพยาบาลเช่นเดียวกับผู้โดยสารอีกหลายคน แต่ไม่ได้ไปนอนเพราะบาดเจ็บ หากอ่อนเพลียจากการตื่นเต้นและเหนื่อยอ่อนจากการช่วยผู้โดยสาร ทั้งยังต้องรายงานบริษัททั้งคืน แต่เมื่อนักข่าวถามผู้จัดการบริษัทแอร์อินเดียว่าจะมีรางวัลอะไรเป็นพิเศษให้กับกัปตันอโศกกุมาร กลับได้รับคำตอบว่า
“ก็รางวัลที่รอดชีวิตมาได้ยังไงล่ะ”