“ธีระชัย” ชำแหละ พ.ร.ก.กู้ 1 ล้านล้าน - 7 แสนล้าน ขัดรัฐธรรมนูญ เหตุไม่เป็นไปตามวินัยการเงินการคลัง ชี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ออกกฎหมายตัดทิ้งทุกองคาพยพ แล้วตั้งคณะกรรมการมีอำนาจเบ็ดเสร็จ ตรวจสอบไม่ได้ ห่วงเป็นการสร้างประเพณีการคลังที่อันตรายต่อไปก็จะลามไปใช้กับทุกเรื่อง อีกทั้งหากนำกฎหมายที่ขัด รธน.ขึ้นทูลเกล้าฯ ส่อผิด ม.112
วันที่ 24 พ.ค. นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมสนทนาในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ช่อง “นิวส์วัน” ในหัวข้อ “ชำแหละ ร่าง พ.ร.ก.กู้เงิน 7 แสนล้าน ขัดรัฐธรรมนูญ ?”
โดย นายธีระชัย กล่าวว่า ดูจาก พ.ร.ก.กู้เงินฉบับแรก 1 ล้านล้านบาท ที่ผ่านไปปีที่แล้ว เชื่อได้ว่า พ.ร.ก.ฉบับใหม่ 7 แสนล้านบาท น่าจะร่างออกมาแบบเดียวกัน ที่ว่ามีลักษณะผิดรัฐธรรมนูญ เนื่องจากไม่เป็นไปตามหลักวินัยการเงินการคลัง ก่อนหน้านี้เคยมี พ.ร.ก.เพื่อกู้เงินมาแล้ว ในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ คือ พ.ร.ก.กู้เงินโครงการไทยเข้มแข็ง 2552 และ พ.ร.ก.กู้เงินบริหารจัดการแก้น้ำท่วม 2555 ในสมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์
ลักษณะของการออกกฎหมาย พ.ร.ก.ให้อำนาจคลังกู้เงิน เพื่ออะไรก็ว่าไป เป็นกฎหมายเพื่อวางกติกาในการกู้เงินของกระทรวงการคลัง ว่ากู้เท่าไหร่ ลักษณะการกู้ กู้อย่างไร และมีข้อการใช้เงิน แต่ลักษณะวิธีการใช้ก็เขียนไว้เพียงแต่ว่ากระทรวงการคลังอาจเอาเงินที่ได้ไปให้กู้ต่อกับหน่วยงานของรัฐ หรือหน่วยงานในกำกับดูแลของรัฐ
พ.ร.ก.ทั้ง 2 ฉบับ ทั้งสมัยอภิสิทธิ์ และยิ่งลักษณ์ ไม่ได้ก้าวล่วงไปเรื่องของการใช้เงิน เราทำ พ.ร.ก.แบบตรงไปตรงมา ตามชื่อ “พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน” เราก็เน้นขบวนการกู้เงิน ส่วนการใช้เงินตาม พ.ร.ก.ทั้ง 2 ฉบับ ก็เป็นไปตามกติกาปกติ หมายความว่า กฎระเบียบที่มีอยู่ในแต่ละส่วนราชการ แต่ละหน่วยงานของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นระดับ พ.ร.บ.กฎกระทรวง หรือแม้แต่ระเบียบสำหรับหน่วยงาน
ในแง่ พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลัง มันมี 2 มาตราที่ระบุเงื่อนไขวิธีการทำงานของรัฐบาล คือมาตรา 6 และ 9
มาตรา 6 ระบุว่า รัฐต้องดําเนินนโยบายการคลัง การจัดทํางบประมาณ การจัดหารายได้ การใช้จ่าย การบริหารการเงินการคลัง และการก่อหนี้ อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ ทั้งนี้ ตามหลักการรักษาเสถียรภาพและการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และหลักความเป็นธรรมในสังคม และต้องรักษาวินัยการเงินการคลังตามที่บัญญัติในพระราชบัญญัตินี้และตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
มาตรา 9 ระบุว่า คณะรัฐมนตรีต้องรักษาวินัยในกิจการที่เกี่ยวกับเงินแผ่นดินตามพระราชบัญญัตินี้อย่างเคร่งครัด ในการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวกับนโยบายการคลัง การจัดทํางบประมาณ การจัดหารายได้ การใช้จ่าย การบริหารการเงินการคลัง และการก่อหนี้ คณะรัฐมนตรีต้องพิจารณาประโยชน์ที่รัฐหรือประชาชนจะได้รับ ความคุ้มค่า และภาระการเงินการคลังที่เกิดขึ้นแก่รัฐ รวมถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่การเงินการคลังของรัฐอย่างรอบคอบ
มันไม่ได้ครอบคลุมเฉพาะฝ่ายกู้เงิน แต่ครอบคลุมไปถึงฝ่ายใช้จ่าย เพื่อปฏิบัตามวินัยการเงินการคลัง และมันมีกฎหมายอีกหลายฉบับ เพื่อให้แน่ใจว่าโปร่งใส เป็นธรรม ตรวจสอบได้
นายธีระชัย กล่าวต่ออีกว่า แต่ปรากฏว่า พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ของประยุทธ์ ไปรวบเอาสารพัดกฎหมาย สารพัดระเบียบอะไรต่างๆ มาอยู่ใน 2 มาตราเท่านั้น ใช้กระดาษเพียงแค่ 2 แผ่น ฉะนั้น เป็นไปไม่ได้ที่ พ.ร.ก.นี้จะเกิดการใช้เงินที่สอดคล้องกับหลักการวินัยการเงินการคลังที่กฎหมายกำหนด
ไปตัดองคาพยพทั้งหมดออก แล้วไปตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดนึง แล้วคณะกรรมการชุดนี้มีอำนาจครบวงจร โดยเขียนว่า คณะกรรมการนี้ มาตรา 8 วงเล็บ 1 เป็นคนพิจารณากลั่นกรองเลือกโครงการ วงเล็บ 2 การกำกับดูแลโครงการก็อยู่ในมือคณะกรรมการ วงเล็บ 6 การวางระเบียบเกี่ยวกับการดำเนินโครงการก็ให้เสนอแนะไปที่ ครม. พอ ครม. เห็นชอบก็ให้ใช้บังคับได้เลย
เวลานี้เลยกลายเป็นว่าลักษณะการเขียน พ.ร.ก. ในสมัยประยุทธ์ แหวกแนวเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์กระทรวงการคลัง ออกกฎหมายที่ควรจะเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องเฉพาะในเรื่องของการกู้เงิน แล้วไปยัดไส้ขบวนการทำงานในฝั่งการใช้เงิน แล้วไม่ใช่ยัดไส้ธรรมดา ไปตัดทิ้งองคาพยพปกติที่มีอยู่ในกฎหมายอื่น ๆ และการทำงานของหน่วยงานอื่นๆ แล้วจะทำให้การตรวจสอบเป็นไปได้อย่างไร เพราะคณะกรรมการที่ว่า ชงเอง ชิมเอง ตรวจสอบตัวเอง ลักษณะแบบนี้ที่ตนคิดว่าผิดรัฐธรรมนูญ
นายธีระชัย กล่าวด้วยว่า สิ่งที่ตนขอให้ศาลปกครองพิจารณา ไม่ใช่ให้ยกเลิก พ.ร.ก. เพราะตรงนั้นต้องไปศาลรัฐธรรมนูญ แต่ร้องศาลปกครองให้พิจารณายกเลิกมติ ครม. ที่นำไปสู่ พ.ร.ก. ทั้ง 7 แสนล้าน และย้อนกลับไป 1 ล้านล้าน นั้นเป็นการผิดรัฐธรรมนูญ
ตนห่วงว่าจะเป็นการสร้างประเพณีการคลังที่อันตราย เพราะทำเรื่องนี้ได้ ก็จะทำอีกเรื่อยๆ กลายเป็นลามไปได้ทุกเรื่อง เข้าใจว่าประชาชนขณะนี้เดือดร้อน ประเทศจำเป็นต้องมีเงินใช้แก้ปัญหาให้พอเพียง ตนไม่คัดค้านการกู้ แต่คัดค้านการใช้เงินแบบผิดกฎหมาย สมมติตนไม่ฟ้องศาลปกครองตอนนี้ อนาคตคนอาจหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาก็เกิดปัญหา การใช้่เงินอาจสะดุดกลางทาง แก้ให้ถูกตั้งแต่ต้นดีกว่า
นายธีระชัย กล่าวต่ออีกว่า การออก พ.ร.ก. ในความฉุกเฉิน รอบที่ 1 พอรับได้ แต่รอบ 2 มันเกินไป โควิดอยู่กับเรามา 15 เดือนแล้ว รัฐบาลควรได้คิดแนวทางว่าต้องใช้เงินแค่ไหน อย่างไร เรื่องโควิดมีงานที่ต้องทำหลากหลายมากมาย หากได้ปรึกษาหารือผ่านรัฐสภาน่าจะได้ข้อเสนอแนะที่ดีไม่น้อย แต่อยู่ดีๆ มาออก พ.ร.ก. เป็นทางลัด เป็นวาระจร ไม่แจกเอกสารล่วงหน้าด้วย เป็นวาระลับ ทำแบบไม่โปร่งใส
นายธีระชัย กล่าวว่า อยากจะเสนอแนะองคมนตรีที่จะกราบบังคมทูลร่างกฎหมาย ถ้ากราบบังคมทูลร่างกฎหมายที่ผิรัฐธรรมนูญ อันนี้อันตราย เข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไม่เป็นเรื่องดีเลย ตนกังวลมากเลยพยายามจะให้ข้อคิดแก่ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ถ้ามองว่าไม่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญก็เป็นสิทธิของนายกฯ ตนอยากให้หลายฝ่ายช่วยกันดูอย่างรอบคอบ
