เมื่อได้รับโอกาสให้ทำเพลง Original Song เป็นครั้งแรกของวง CGM48 ผลลัพธ์ที่ได้ออกมานั่นก็คือซิงเกิล ‘มะลิ’ ซึ่งเป็นผลงานลำดับที่ 3 ของวงเกิร์ลกรุ๊ปไอดอลจากภาคเหนือวงนี้ ซึ่งตัวแทนเซ็มบัทสึ หรือ สมาชิกประจำซิงเกิล 6 คน ได้แก่ คนิ้ง-วิทิตา สระศรีสม ผู้ที่เป็นเซ็นเตอร์ของซิงเกิล, ออม-ปุณยวีร์ จึงเจริญ กัปตันวง, ฟอร์จูน-ปัณฑิตา คูณทวี, มามิ้งค์-มาณิฌา เอี่ยมดิลกวงศ์, สิตา ธีรเดชสกุล และ พิม-พรวารินทร์ วงศ์ตระกูลกิจจะมาเป็นตัวแทนในการเผยที่มาของดอกมะลิในเพลงผ่านทางท่วงทำนองและคำร้องจากซิงเกิลดังกล่าวนี้
อยากให้ช่วยเล่าถึงที่มาที่ไปของซิงเกิลนี้หน่อยครับ
มามิ้งค์ : เริ่มมาจากที่พี่รินะ (อิสึตะ : สมาชิกและผู้จัดการวง CGM48) ที่มีความคิดว่า วงเราน่าจะได้มีโอกาสที่จะมี original song ครั้งแรก ก็รู้สึกว่าตื่นเต้นมากๆ ที่จะมีเพลงเป็นของวงเลย ซึ่งก่อนหน้านี้ เพลงของวงเราก็จะมาจากวงของรุ่นพี่ทางญี่ปุ่น ซึ่งเพลงนี้ ทางพี่รินะก็อยากที่จะเล่าเรื่องราวในเรื่องของ ความทรงจำ การเติบโตต่างๆ จากที่เราได้ผ่านมา จนได้เรียบเรียงมาเป็นเพลงมะลิค่ะ
คนิ้ง : สำหรับซิงเกิลนี้ ด้วยความที่เป็น original song โดยที่ไม่มีพื้นฐานอะไรเลยอย่างที่บอก ซึ่งถ้าพี่รินะเจอจังหวะไหนที่ไม่ถูกใจ ก็จะแบบว่า ‘อ๊ะ อันนี้ไม่เอานะ เปลี่ยน’ จะเป็นลักษณะนี้ ซึ่งพี่เขาก็เข้มงวดมาก เนื่องจากอยากให้ซิงเกิลนี้ออกมาดีที่สุด แล้วก็มีความเป็น CGM48 มากที่สุดค่ะ
ความยากง่ายของในการทำซิงเกิลนี้ ต่างจากซิงเกิลก่อนหน้านี้ยังไงบ้าง
คนิ้ง : ซิงเกิลนี้ ด้วยความเป็น original song เลยต้องทำให้เรียนรู้ท่าใหม่ หรือ สิ่งใหม่ๆ โดยที่เราไม่สามารถนำมาจากรุ่นพี่ก่อนได้ เลยทำให้มีความยากจากการที่เราไม่รู้มาก่อนค่ะ
พิม : ส่วนเนื้อเพลงก็มีความผสมผสานกัน ทั้ง ภาษาไทย, ภาษาคำเมือง แล้วก็ภาษาญี่ปุ่น เลยทำให้ต้องมีการเรียนภาษาเหนือนิดนึงค่ะ
ออม : ด้วยความที่เป็น original song ครั้งแรกด้วย ทำให้พวกเรารู้สึกตื่นเต้นค่ะ เลยมีแบบว่า ทั้งจะออกมาเป็นยังไง แล้วก็กระแสตอบรับจะเป็นยังไง ซึ่งระหว่างกระบวนรการการทำงานทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการซ้อม เราก็ลุ้นกับสิ่งนี้ไปด้วยเช่นกันค่ะ
มามิ้งค์ : ส่วนคอนเซปต์เพลงนะคะ ก็จะมีความน่ารักสดใส แล้วก็สอดแทรกการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยล้านนาด้วยค่ะ ส่วนสไตล์เพลงก็จะเป็นการผสมระหว่าง เจร็อค กับ ดนตรีไทยเข้ามาด้วยค่ะ
อย่างในเรื่องการรำ สมาชิกในวงมีพื้นฐาน และการฝึกฝนยังไงบ้าง
สิตา : ทุกคนจะมีการซ้อม 1 วันเต็ม ซึ่งก็มีคุณครูที่สามารถรำได้ ก็จะมาสอนพวกเราด้วย ซึ่งก็อยู่ในรูปแบบของแต่ละคน แต่ก็จะมีท่าที่ทุกคนต้องรำด้วยกัน นั่นคือท่าฟ้อนเล็บ เลยทำให้ได้รับประสบการณ์ในการรำด้วย
คนิ้ง : ถ้าถามว่าใครมีพื้นฐานในเรื่องก่ารรำ ก็คงจะเป็นหนู แล้วก็ พี่ออม และสมาชิกบางส่วนค่ะ อย่างพี่มามิ้งค์ ที่ไม่เคยเรียนรำมาก่อน อาจจะมือแข็งบ้าง ก็ต้องมีการดัดมืออยู่บ้างค่ะ แต่โยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพี่ออมมากกว่าค่ะ
ฟอร์จูน : ส่วนตัวคิดว่ารำไทยยากมากเลยค่ะ (เน้นเสียงสูง) เพราะว่าเป็นทักษะใหม่ ที่ไม่ค่อยได้ฝึกกันเลย แถมยังมีเวลาซ้อมแค่วันเดียวเท่านั้นด้วย ก็รู้สึกว่ามันยากกว่าค่ะ ส่วนจังหวะของการรำและการเต้นมันจะมีความตรงข้ามกัน
จากที่วงบอกว่าจะนำเสนอวัฒนธรรมล้านนาผ่านทางตัวเพลง ที่มีความเป็นคาแรกเตอร์โดยเฉพาะ ในมุมมองของเมมเบอร์ ถือว่าเป็นความท้าทายในการนำเสนอของวงด้วยมั้ย
ออม : ด้วยความที่วงของพวกเรา มีความเป้าหมายก็คือเผยแพร่วัฒนธรรมของจังหวัดเชียงใหม่อยู่แล้ว เป็น iconic ของจังหวัดเล็กๆ เพราะฉะนั้นการนำเสนอวัฒนธรรมล้านนา หรืออะไรก็ตาม เราไม่คิดว่ามันความท้าทาย แต่คิดว่ามันเป็นความสวยงาม แล้วเป็นสิ่งที่เราอยากจะทำ เพราะฉะนั้น การเป็นซิงเกิ้ลที่ 3 และเป็น Original Song แลบ้วได้ใส่ทั้งวัฒนธรรมทั้งไทยและล้านนาเข้าไป มันเป็นความภาคภูมิใจของพวกเรามากกว่า อีกด้านหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นความท้าทายเล็กๆ กับแฟนคลับละกันค่ะ ว่า พวกเขาไม่เคยเห็นว่าเรามาทั้งรำ และแสดงออกในลักษณะอย่างงี้ ออกมาแล้วจะเป็นยังไง ซี่งผลที่ออกมาก็ถือได้ว่าเป็นความภาคภูมิใจมากๆ ค่ะ ซึ่งเราก็จะทำต่อๆ ไป ด้วยค่ะ
สิตา : ถือว่าโชคดีด้วยนะคะ ที่ตอนที่เราบรีฟซิงเกิลนี้ คุณครูของเราก็บอกด้วยว่า เราจะยืนหยัดในการเป็นอัตลักษณ์ของเรา ซึ่งก็คือความเป็นล้านนา จะไม่ไปเป็นเหมือนใคร ก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นตัวของพวกเรา และมั่นใจในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ค่ะ (ยิ้ม)
แล้วการได้ ฮิโรมิ SDN48 มาเป็นผู้ฝึกสอนท่าเต้นของซิงเกิลนี้ ทางวงได้ประสบการณ์และคำแนะนำเพิ่มเติมยังไงบ้างครับ
สิตา : อย่างตัวรุ่นพี่เอง ก็เคยเป็นอดีตสมาชิกของ SDN48 มาก่อน รวมถึงเคยออกแบบท่าเต้นมาก่อน ก็คือ ซิงเกิล Hashire Penguin ก็จะมีความเป็นแบบว่า ลวดลายท่าเต้นที่ค่อนข้างซับซ้อน ซึ่งตอนที่เราเรียนกัน ด้วยความเป็น original song เลยไม่มีต้นฉบับมาให้ดูก่อน ก็เลยรู้สึกว่าท้าทายมากๆ เหมือนทุกคนจะต้องมีการสื่อสารกันมากขึ้น ต้องสื่อสารกันมากขึ้น เพื่อที่จะต้องช่วยเหลือ ก็ต้องขอขอบคุณรุ่นพี่ ที่มาออกแบบท่าเต้นซิงเกิลนี้ มา ณ ที่นี้ ส่วนคำแนะนำที่ได้มา ก็จะเป็นเรื่องของรายละเอียดในการเต้นของเพลง แบบเรื่องของพลังในการเต้น ว่า แต่ละจุดควรที่จะเป็นการเต้นในลักษณะใดนะ ตรงนี้ใส่แรงได้เต็มที่ ซึ่งเราก็ไม่ได้เต้นแบบป็อปทั้งเพลง ก็จะมีในเรื่องของความอ่อนช้อยด้วยค่ะ
ออม : รวมถึงการเรียนเต้นในซิงเกิลนี้ ก็แตกต่างจากซิงเกิลที่ผ่านๆ มา ด้วย เพราะเหมือนคุณครูรุ่นพี่ ก็ได้ทำการส่งท่ามาให้ดูก่อน ให้พวกเราลองแกะดูก่อน ว่าเป็นยังไง ถึงจะให้พวกเรามาซ้อมกันอีกทีผ่านทางออนไลน์ เหมือนกับเมมเบอร์ ก็ต้องรียนรู้ท่ามาก่อน ต้องขยันในการกัท่าด้วย ซึ่งก็ถือว่าเป็นการฝึกในความรับผิดชอบให้กับตัวเองด้วย และรุ่นพี่ก็มาดูให้อีกทีด้วยค่ะ
หลังจากที่ปล่อยซิงเกิลไป แต่ละคนมีมุมมองกับดอกมะลิ ที่แตกต่างไปจากเดิมยังไงบ้าง
พิม : ก็มีการมองที่เปลี่ยนไปจากเดิมค่ะ เพราะว่ามะลิ ก็สื่อคล้ายๆ กับพวกเรา ค่ะ มีความเบ่งบานมากขึ้น
ออม : สำหรับเรา รู้สึกว่าหลงรักดอกมะลิมากขึ้นกว่าเดิม เหมือนกับได้ทำความรู้จักกับดอกไม้ชนิดนี้ผ่านตัวตนของพวกเรามากกว่าค่ะ
สิตา : รู้สึกว่า ดอกมะลิก็ยังเป็นดอกไม้แบบนี้ค่ะ เหมือนกับเราเป็นดอกมะลิจริงๆ เป็นแบบฉบับดั้งเดิมของเรา ก็คงเป็นอย่างงั้นละค่ะ
มามิ้งค์ : พอมีเพลงที่ชื่อว่ามะลิแล้ว ก็รู้สึกว่า ค่อนข้างเป็นตัวแทนของดอกไม้ชนิดนี้มากขึ้นไปซะอย่างงั้นค่ะ แล้วก็พอมองดอกมะลิแล้วก็รู้สึกถึงเรื่องราวว่า ภายนอกอาจจะดูเล็กๆ น้อยๆ ดูอ่อนโยน แต่ภายในก็รู้สึกว่าคล้ายๆ กับพวกเรา ที่ผ่านและต่อสู้กับเรื่องราวต่างๆ ก็ฝึกฝน พากเพียรไปเรื่อยๆ
คนิ้ง : ในส่วนของหนู ด้วยความที่ชีวิตของเราอยู่กับดอกมะลิที่ผ่านเหตุการณ์ที่ได้เจอในหลายครั้งเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นช่วงก่อนเข้าวง หรือว่าในช่วงระหว่างทาง แล้วโดยส่วนตัวที่เป็นคนชอบดอกมะลิอยู่แล้ว ก็เลยคิดว่า ดอกมะลิก็ไม่น่าเปลี่ยนไปค่ะ แต่มันมีความเพิ่มมากขึ้นมากกว่าค่ะ มันเป็นความรู้สึกที่เราชอบและรักมันมากขึ้นค่ะ
ฟอร์จูน : สำหรับหนูจะมองแตกต่างจากคนิ้งค่ะ เพราะว่า ก่อนที่จะมีเพลงมะลิ หนูค่อนข้างที่จะรู้สึกว่า ตัวเองยังไม่ค่อยทำความรู้จักกับดอกมะลิซักเท่าไหร่ แต่พอมาได้เป็นเพลงมะลิเนี่ย หนูรู้สึกว่า หนูได้เข้าใจมันมากขึ้น ค่อยๆ สังเกตมัน แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าได้เจอกับดอกมะลิมากขึ้น (หัวเราะเบาๆ) กับอะไรหลายๆ อย่าง บางทีจะแบบเจอดอกมะลิรอบตัวบ่อยขึ้น เลยรู้สึกว่าเราได้รู้จักมัน และมองมันเป็นเราไปแล้วค่ะ ก็เลยรู้สึกว่า ดอกมะลิเป็น CGM48 จริงๆ
ถ้าเปรียบเมมเบอร์แต่ละคนว่าเป็นดอกไม้แล้ว อยากจะเปรียบเมมเบอร์คนข้างๆ ว่าเป็นดอกอะไร
มามิ้งค์ : คนิ้ง คงจะเป็นดอกซากุระค่ะ เพราะดูสวย น่ารัก มีความอ่อนโยน พลิ้วไหว มีความบอบบาง แต่ข้างใน มีเสน่ห์ในแบบตัวเขาเอง
คนิ้ง : สำหรับพี่ฟอร์ คงน่าจะเป็นดอกกุหลาบ เพราะว่า คือมีทั้งสีแดง มีเสน่ห์ในความเป็นผู้ใหญ่ มีความเป็นผู้นำที่เข้มแข็งค่ะ
ฟอร์จูน : สำหรับน้องพิม หนูคิดว่าเป็นดอกเดซี่ค่ะ เพราะแบบน่ารักๆ นุ่มนิ่มค่ะ
พิม : ส่วนพี่ออม ก็น่าจะเป็นดอกกุหลาบเหมือนกันค่ะ เพราะว่าภายนอกดอกกุหลายก็สวยอยู่แล้วใช่มั้ยคะ แต่ภายในดูน่าค้นหา (ทั้งกลุ่มทำเสียงตื่นเต้น)
ออม : ของสิตา คิดว่าเป็นดอกกล้วยไม้ เพราดอกไม้ชนิดนี้มีความน่าดีงดูด เราจัต้องมองดอกไม้ชนิดนี้ตลอด เรารู้สึกว่าน้องเป็นคนที่น่ามอง
สิตา : ส่วนมามิ้งค์ จะเหมือนดอกคาโมมายละกันค่ะ เพราะว่าเป็นดอกสีขาวๆ เล็กๆ แล้วก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ช่วยให้หลับได้ (หัวเราะเบาๆ)
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : ดรงค์ ฤทธิปัญญา