xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 28 มี.ค.-3 เม.ย.2564

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1.“จตุพร” นัดชุมนุม 4 เม.ย. อ้าง “ประยุทธ์” เป็นตัวปัญหา ด้านผลโพลพบ ม็อบ 4 เม.ย.ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว-ทำลายความสุข ปชช.!

สัปดาห์ที่ผ่านมา นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ได้นัดชุมนุมวันที่ 4 เม.ย. นี้ เวลา 16.00 น. ที่อนุสาวรีย์วีรชนพฤษภา 35 โดยให้เหตุผลที่นัดชุมนุมครั้งนี้ว่า เริ่มมาจากทนไม่ได้กับวิกฤติบ้านเมืองในขณะนี้ จึงได้เชิญชวนบุคคลที่เคยผ่านเหตุการณ์พฤษภา 35 มาร่วมกันหาทางออกของวิกฤตประเทศ

นายจตุพร ยังอ้างด้วยว่า ปัญหาขณะนี้มาจากคนคนเดียว คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ไม่ยอมทำตามที่เคยสัญญาไว้ตั้งแต่รัฐประหารว่าจะอยู่ไม่นาน กระทั่งผ่านมาถึง 7 ปี และที่เป็นสายป่านสุดท้าย ที่ทำให้บุคคลที่เคยผ่านเหตุการณ์พฤษภา 35 ออกมาเคลื่อนไหว โดยใช้เหตุการณ์พฤษภา 35 เป็นโมเดล คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน หรือแม้กระทั่งเรื่องมาตรา 112 พล.อ.ประยุทธ์ก็เป็นคนระบุว่า จะไม่มีการใช้มาตรา 112 แต่สุดท้ายก็ดำเนินคดีกับกลุ่มราษฎรด้วยมาตรา 112 ทำให้กระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ คนที่ได้ประโยชน์คือ พล.อ.ประยุทธ์ ขณะที่กลุ่มเยาวชนต้องติดคุก เหล่านี้เป็นปัญหาการเมือง ยังไม่รวมปัญหาเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก

นายจตุพร กล่าวอีกว่า "ยืนยันว่า ตนเองเป็นตัวของตัวเอง มีอุดมการที่ชัดเจน และการเลือกตั้งนายก อบจ. ที่ผ่านมา ตนเองก็ยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับนายทักษิณ จนถูกวิจารณ์ว่า ย้ายขั้วไปอยู่ฝั่งรัฐบาล เรื่องนี้จึงไม่เกี่ยวข้องกับนายทักษิณ เป็นการมาร่วมตามคำเชิญชวนของประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35"

ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ได้แถลงเมื่อวันที่ 30 มี.ค. ในโอกาสคืนสู่อิสรภาพเมื่อวันที่ 29 มี.ค. โดยยอมรับว่า มีอีกหลายคดีที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม ส่วนจุดยืนทางการเมืองของตนยังเป็นเช่นเดิม คือ อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน เมื่อถามถึงกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ประกาศรรวมตัวเคลื่อนไหววันที่ 4 เม.ย. นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตนยังไม่ได้หารือกับนายจตุพร

"สำหรับความเคลื่อนไหวของกลุ่มเยาวชนนั้น ผมไม่อยู่ในฐานะประเมินความเคลื่อนไหวของนักศึกษา ประชาชน จะไปได้ไกลแค่ไหน ภายใต้จุดยืนทางการเมืองที่ไม่เปลี่ยนแปลงของผมและคนที่ร่วมต่อสู้วันนี้ แสดงตัวเคียงข้างนิสิต นักศึกษา ประชาชนที่กำลังต่อสู้ในปัจจุบัน”

"...ผมจะไม่ลงไปเป็นแกนนำม็อบนักศึกษา แต่หากอนาคตมีสถานการณ์จำเป็นหรือไม่มีวิธีการอื่น ขอให้เป็นเรื่องของอนาคต อย่างไรก็ตามผมยืนยันว่า ยังไม่มีแนวคิดเคลื่อนไหวมวลชนเสื้อแดงตอนนี้”

เป็นที่น่าสังเกตว่า นายจตุพร กล่าวว่า หากนายณัฐวุฒิลงมาร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่มราษฎร ตนพร้อมจะลาออกจากตำแหน่งประธาน นปช. และให้นายณัฐวุฒินั่งตำแหน่งประธาน นปช.ทันที

ด้าน พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีนายจตุพร นัดชุมนุมวันที่ 4 เม.ย.ว่า “สื่อสนับสนุนเขาหรือไม่ อยากให้บ้านเมืองเป็นแบบเดิมอีกหรือไม่ ถ้าอยากให้บ้านเมืองเกิดอะไรขึ้นแบบเดิม สื่อก็ช่วยขยายไปให้เขาก็แล้วกัน”

ขณะที่ ผศ. ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เผยผลสำรวจ เรื่อง ม็อบ 4 เมษา กับความกังวลประชาชน พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 96.8 ระบุว่า ม็อบ 4 เมษายน ทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวและเพื่อแหล่งทุนจากต่างประเทศ และร้อยละ 96.5 ระบุว่า ม็อบ 4 เมษายน จะสร้างความเสียหายต่อประเทศชาติและทำลายความปกติสุขของประชาชน

นอกจากนี้ ร้อยละ 95.3 ระบุว่า ม็อบ 4 เมษายน เป็นม็อบต่อรองของคนต้องคดีต่างๆ ใช้ม็อบเป็นอาวุธ ขณะที่ร้อยละ 93.2 ระบุว่า ม็อบ 4 เมษายน ม็อบตู่ ม็อบเต้น เกี่ยวโยงกับคนแดนไกล ร้อยละ 91.9 ระบุว่า ม็อบ 4 เมษายน ต้องการให้เกิดการสูญเสียเหมือนในพม่า และร้อยละ 91.6 ระบุว่า ม็อบ 4 เมษายน ม็อบตู่ ม็อบเต้น มีขบวนการเบื้องหลังจะล้มล้างสถาบันหลักของชาติอยู่

2.“ยิ่งลักษณ์” เฮ ศาลปกครองเพิกถอนคำสั่งชดใช้จำนำข้าว 3.5 หมื่นล้าน ด้าน “หมอวรงค์” แนะ รบ.รีบอุทธรณ์ ยันศาลฎีกาตัดสินแล้วว่าผิด!


เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาคดีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ และนายอนุสรณ์ อมรฉัตร สามี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี รมว.คลัง รมช.คลัง ปลัดกระทรวงการคลัง สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง กรมบังคับคดี อธิบดีกรมบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีแพ่ง กรุงเทพมหานคร เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-9 ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งที่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 3.5 หมื่นล้านบาท กรณีปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ราชการตามอำนาจหน้าที่ เป็นเหตุให้กระทรวงการคลังได้รับความเสียหาย

โดยศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง วันที่ 13 ต.ค.59 ที่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าว และเพิกถอนคำสั่ง ประกาศ หรือการดำเนินการใด ๆ ของกรมบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีแพ่ง กรุงเทพมหานคร ที่ยึด อายัดทรัพย์สินเพื่อขายทอดตลาด รวมทั้งคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ยกคำร้องขอกันส่วนในฐานะเจ้าของร่วมของนายอนุสรณ์ อมรฉัตร สามีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์

ทั้งนี้ ศาลให้เหตุผลที่สั่งเพิกถอนคำสั่งชดใช้ดังกล่าวว่า การดำเนินการตามนโยบายจำนำข้าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ต้องดำเนินการตามมติ ครม. และนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา ลำพัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่มีอำนาจยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวได้ สำหรับขั้นตอนการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ในฐานะประธาน กขช. ได้เข้าร่วมประชุม เพื่อวางกรอบนโยบายฯ และมีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการตามมติของที่ประชุมจำนวน 12 คณะ แต่ละคณะที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นจะมีอำนาจหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย

“น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีอำนาจหน้าที่เพียงกำกับดูแลนโยบายโดยทั่วไประดับมหภาคของโครงการรับจำนำข้าว มิได้มีอำนาจหน้าที่ในการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ไม่อาจที่จะรับรู้รับทราบข้อมูล การปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายของผู้กระทำผิดในระดับปฏิบัติ อีกทั้งไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติในฐานะเจ้าหน้าที่ดำเนินการต่างๆ ในการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ และไม่ได้เป็นคณะอนุกรรมการตามที่ กขช. แต่งตั้งแต่อย่างใด”

เมื่อมีการกระทำการทุจริตเกิดขึ้นในโครงการรับจำนำข้าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้มีคำสั่งคณะกรรมการด้านนโยบายข้าว แต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อมูลปริมาณข้าวคงเหลือของ อ.ค.ส. และ อ.ต.ก. มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและประมูลข้าวคงเหลือของโรงสี โกดังกลางที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวและมีการประชุมคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการอื่นๆ อีกหลายครั้ง มีการใช้มาตรการทางอาญากับผู้ทุจริตหรือผู้กระทำผิดควบคู่กับการใช้มาตรการทางปกครองตัดสิทธิผู้สวมสิทธิเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าว กรณีจึงถือได้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ มิได้เพิกเฉยละเลย แต่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่วิสัยและพฤติการณ์ เพื่อป้องกันยับยั้งมิให้เกิดความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวแล้ว

ส่วนกรณีที่ สตง. มีหนังสือ 3 ฉบับแจ้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นเพียงข้อเสนอแนะนำให้รัฐบาลพิจารณาสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการต่อไป ส่วนหนังสือที่ขอให้พิจารณาทบทวนและยุติโครงการรับจำนำข้าวเปลือกในฤดูกาลต่อไป ก็ออกมาภายหลังจากมีการยุบสภาเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 56 ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นเพียงรักษาการนายกฯ และหนังสือดังกล่าวไม่ปรากฎในคำสั่งพิพาท เพื่อใช้เป็นเหตุผลในการออกคำสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหายด้วย

สำหรับหนังสือสำนักงาน ปปช. ถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ลงวันที่ 30 เม.ย. 55 ก่อนที่จะเปิดโครงการรับจำนำข้าว 2 วัน ก็มีลักษณะเป็นเพียงคำแนะนำเพื่อให้ป้องกันการทุจริตในการแทรกแซงตลาดข้าวของรัฐบาลชุดที่แล้ว เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้รับหนังสือจาก 2 หน่วยงาน ก็ได้สั่งการตามอำนาจหน้าที่ โดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาป้องกันดูแลการทุจริตตามอำนาจหน้าที่แล้ว ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่มีหน้าที่ควบคุมกำกับดูแลเชิงนโยบาย ไม่ถึงขนาดต้องติดตามหนังสือสั่งการทุกฉบับและตรวจสอบการปฏิบัติตามคำแนะนำของหน่วยงานทุกหน่วยงานดังกล่าวด้วยตนเองทุกกรณี ไม่อาจรับฟังได้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ละเว้น เพิกเฉย ละเลย ไม่ติดตามหรือสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการตรวจสอบ

“...อีกทั้งข้อเท็จจริงยังปรากฏในคำให้การของกระทรวงการคลัง ลงวันที่ 5 มิ.ย.63 ว่า ไม่มีหลักฐานแน่ชัดในชั้นการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นผู้สั่งการทำให้เกิดความเสียหายหรือเป็นผู้มีส่วนร่วมโดยตรงในการกระทำละเมิด การกำหนดสัดส่วนให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ รับผิดจำนวน 35,717,273,028.23 บาท จึงไม่เป็นไปตามมาตรา 10 ประกอบมาตรา 8 พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ประกอบกับข้อ 8-11 และข้อ 17 ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 และไม่เป็นไปตามหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค 0406.2/ว 66 ลงวันที่ 25 ก.ย. 50”

ด้าน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี ได้โพสต์เฟซบุ๊ก แสดงความแปลกใจกับคำพิพากษาศาลปกครองกลางดังกล่าว โดยระบุว่า "วันนี้หลายคนคงแปลกใจต่อคำพิพากษาศาลปกครองกลาง กรณียกเลิกคำสั่งให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชดใช้ค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว 3.5 หมื่นล้านบาท ทั้งๆ ที่คดีนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง มีคำพิพากษาความผิดของนางสาวยิ่งลักษณ์ ในฐานไม่ระงับยับยั้งและปล่อยให้มีการทุจริตในคดีการระบายข้าวแบบจีทูจี"

นพ.วรงค์ ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ที่ศาลระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีรับรู้เกี่ยวข้องเฉพาะขั้นตอนการทำเอ็มโอยู เพื่อให้มีการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ แต่ในส่วนการทำสัญญาระบายข้าวไม่ได้เกี่ยวข้อง หากเทียบกับคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองในเรื่องนี้กลับระบุดังนี้ “สำหรับประเด็นระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐนั้น วินิจฉัยว่า ตามพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่า จำเลย (หมายถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์) ทราบว่าสัญญาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่ระงับยับยั้ง ปล่อยให้มีการส่งมอบข้าวตามสัญญาให้รัฐวิสาหกิจจีนต่อไปอีก อันเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับผู้อื่น การกระทำของ “ยิ่งลักษณ์” จึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ (เดิม) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๑๒๓/๑ ลงโทษจำคุก ๕ ปี”

นพ.วรงค์ ยังพูดถึงหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งที่ยืนยันได้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ รับทราบเรื่องสัญญาซื้อขายข้าว "คลิปหลักฐานที่นางสาวยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่ทำเนียบ เรื่องการระบายข้าวดังกล่าวเมื่อวันที่ 9 ต.ค. 2555 หรือหลังดำเนินโครงการมาแล้ว 1 ปี โดยวันนั้นเธอยืนยันว่า เห็นสัญญาซื้อขาย และตอบผิดๆ ถูกๆ จนลิ่วล้อ ซึ่งก็คือ นายบุญทรง ต้องพูดแทรกกลางคัน....ว่า สัญญานั่นไม่ใช่ MOU ดังที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตอบนักข่าว แต่เป็น Sale Contract ไปเสียอีก.."

"ซึ่งคำพูดของนางสาวยิ่งลักษณ์ น่าจะมีนัยว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ เห็นหรือรับรู้ แต่พูดผิดๆ ถูกๆ ที่ซ้ำร้าย กว่านางสาวยิ่งลักษณ์จะปรับนายบุญทรงออกจากรัฐมนตรีพาณิชย์ ต้องใช้เวลานานถึง 7 เดือน นำไปสู่การระบายข้าวจีทูจีภาคสองอีก 14 ล้านตัน ซึ่งรอ ป.ป.ช.ชี้มูล ทางที่ดีรัฐบาลต้องรีบอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดและนำคลิปนี้ไปหักล้างด้วยครับ”

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 29 มี.ค. ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาให้นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ และพวกรวม 5 คน ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามคำสั่งกระทรวงพาณิชย์กรณีจงใจกระทำละเมิดให้ราชการเสียหาย จากการนำข้าวตามสัญญาซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐมาเวียนขายให้ผู้ประกอบการค้าข้าวภายในประเทศ โดยให้นายบุญทรงชดใช้เป็นเงิน 1,768,973,012.66 บาท นายภูมิชดใช้เป็นเงิน 2,242,571,739.67 บาท นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ และนายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีต ผอ.สำนักบริหารการค้าข้าว กรมการค้าต่างประเทศ และอดีตผู้ช่วยเลขานุการ ในคณะทำงานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว ชดใช้เป็นเงินรายละ 4,011,544,752.33 บาท และเพิกถอนคำสั่งกระทรวงพาณิชย์ดังกล่าวในส่วนที่ให้นายนายอัฐฐิติพงศ์ หรืออัครพงศ์ ทีปวัชระ หรือช่วยเกลี้ยง อดีตเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 4,011,544,752.33 บาท เป็นให้ชดใช้จำนวน 2,694,464,066.21 บาท

ทั้งนี้ ศาลให้เหตุผลว่า ทั้ง 5 คน ปฏิบัติหน้าที่ในการระบายข้าวโดยการแบ่งหน้าที่กันทำในลักษณะจงใจทุจริตต่อกระทรวงพาณิชย์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เป็นเหตุให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับความเสียหายตามสัญญาระบายข้าวรวม 4 ฉบับ คิดเป็นเงินจำนวน 20,057,723,761.66 บาท

3. สลดรับอรุณ! เพลิงไหม้บ้าน 3 ชั้น หมู่บ้านกฤษดานคร 31 ก่อนพังถล่ม มีคนเจ็บ-ดับหลายราย ส่วนใหญ่เป็นกู้ภัย



วันนี้ (3 เม.ย.) เวลาประมาณ 06.00 น. ตำรวจ สน.ธรรมศาลา ได้รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้บ้านเรือนประชาชนภายในหมู่บ้านกฤษดานคร 31 ถนนบรมราชชนนี แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมประสานรถน้ำดับเพลิงสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร และอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง

ที่เกิดเหตุเป็นบ้านปลูกสร้างด้วยปูน ลักษณะเป็นอาคารสูง 3 ชั้น บนเนื้อที่ประมาณ 50 ตารางวา มีรั้วรอบขอบชิด พบแสงเพลิงกำลังโหมลุกไหม้ไปทั้งอาคาร เจ้าหน้าที่ได้ระดมสายยางฉีดน้ำ โดยมีข้อมูลว่า มีผู้ที่ติดค้างอยู่ภายใน 8 คน เจ้าหน้าที่นักผจญเพลิงได้เข้าไปช่วยเหลือท่ามกลางควันไฟที่ยังพวยพุ่งอยู่ตลอดเวลา จนสามารถช่วยเหลือไว้ได้ 7 คน ส่วนอีก 1 คนเสียชีวิต โดยติดค้างอยู่ในห้องน้ำ กระทั่งเวลาผ่านไปกว่า 1 ชั่วโมง เพลิงเริ่มสงบ

แต่ระหว่างที่เจ้าหน้าที่กำลังระดมฉีดน้ำอยู่นั้น ได้ยินเสียงปูนดังลั่นตลอดเวลา จนกระทั่งอาคารทั้งหลังได้ทรุดตัวลงมาทันที ทำให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ ต่างพากันวิ่งหนีตาย เบื้องต้นทราบว่า การถล่มของอาคารส่งผลให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเสียชีวิต 1 ราย และติดค้างอยู่ภายในซากอาคารอีกจำนวนหนึ่ง

เจ้าหน้าที่พยายามช่วยเหลือผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตออกจากตัวอาคาร ส่วนสาเหตุของเพลิงไหม้นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อสาเหตุที่แท้จริง

ต่อมาเวลา 10.00 น. พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. ได้เดินทางมาตรวจที่เกิดเหตุ พร้อมหารือกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อวางแนวทางช่วยเหลือผู้ที่ยังติดค้างอยู่ภายใน โดยมีรายงานว่า ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 5 ราย แล้ว โดยเป็นเจ้าหน้าที่อาสาสมัครเสีย 4 ราย อีก 1 ราย เป็นคนที่พักในบ้าน ซึ่งบ้านหลังดังกล่าวมีผู้พักอาศัยทั้งหมด 8 คน ช่วยเหลือออกมาได้ 7 คน

เบื้องต้นทรายชื่อผู้เสียชีวิต ได้แก่ นายธนภพ ประไพ อายุ 44 ปี นายสมัชญา นิลธง อายุ 48 ปี นายอรรถพล ถ้วมทอง อายุ 26 ปี เจ้าหน้าที่อาสาสมัครดับเพลิง และผู้อยู่อาศัย 1 ราย คือ นายสมเกียรติ แพนเตอร์สัน หรือทอมมี่ เลขานุการเจ้าของบ้าน โดยยังมีผู้ที่ติดอยู่ภายในอาคารจำนวนหนึ่ง

ด้านเฟซบุ๊ก "หน่วยกู้ภัยมูลนิธิสยามนนทบุรี" ได้โพสต์ข้อความระบุว่า "ขอแสดงความเสียใจแก่การจากไปอย่างไม่มีวันกลับ คุณธนภพ ประไพ (ต้น) (ดับเพลิงนนทบุรี 10) อาสาสมัครของมูลนิธิสยามนนทบุรี 10 ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซื้ง จากคณะผู้บริหารและอาสาสมัครมูลนิธิสยามนนทบุรี"

ต่อมา มีผู้ใช้เฟซบุ๊ก A Adisorn Sopha ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านที่เกิดเหตุไฟไหม้ ได้โพสต์ข้อความว่า "หลับให้สบายครับทอมมี่น้องรัก ทอมมี่เป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ มาเป็นเลขาพี่เอด้านธุรกิจระหว่างประเทศ งานล่าสุดที่ยังดำเนินการอยู่ คือธุรกิจกับทางยุโรป เดี๋ยวพี่เอทำต่อเองนะ ไม่ต้องห่วง ตั้งแต่วิกฤตโควิดเป็นต้นมา ทอมมี่มาขอลาออกหลายครั้ง ด้วยเหตุผลที่ว่าทำอะไรให้พี่เอก็ขาดทุน สินค้าค้างสต๊อก การตลาดผิดเป้าหมาย ดูจะมีความสุขหน่อยก็ตอนที่พี่เอส่งไปเป็นครูสอนภาษาอังกฤษให้ลูกน้องพี่เอเอง เพื่อโยกงานตำแหน่งงานที่กำลังว่างลง ลดปัญหาการปลดพนักงาน และออกไปสอนภาษาอังกฤษตามโรงเรียนที่ยากไร้ในโครงการต่างๆ ของพี่เอ แถมทุกวันนี้ปลูกผักเก่ง ช่วยแรงทุกอย่าง ทำตู้ปันสุข ถ้าพี่เอรู้อนาคตจะเป็นแบบนี้ พี่เอคงจะปล่อยให้ทอมมี่ลาออกไปดูแลพ่อที่แก่มากแล้ว แต่พี่เอไม่รู้ไง ไม่ต้องห่วงนะ พี่เอจะดูแลพ่อทอมมี่เอง"

สำหรับบ้านดังกล่าว ถูกเรียกและถูกตั้งชื่อในชื่อ “บ้านมินเนี่ยนเอ” อยู่ในหมู่บ้านกฤษดานคร 31 เป็นอาคารพาณิชย์ 3 ชั้น อยู่บนถนนบรมราชชนนี แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา บริเวณหน้าบ้านจะมีตู้ปันสุข เพื่อช่วยผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดย เอ อดิสรณ์ โสภา มักจะโพสต์คลิปชาวบ้านมาต่อแถวรับของแจกในตู้ปันสุขเสมอ

เบื้องต้นทราบว่า คือ เอ อดิสรณ์ โสภา เป็นประธานบริษัท Elegance Group และเป็นผู้บริหารบริษัท NEXT Company (อ่านว่า เอ็น อี เอ็กซ์ ที) เป็นบริษัทที่เน้นงานด้านสายบันเทิง เช่น สื่อวิทยุในร้านสะดวกซื้อและห้างต่างๆ และมีการจัดงานคอนเสิร์ตใหญ่ระดับประเทศหลายๆ งานด้วย

4. ศบค.ไฟเขียวลดวันกักตัวเข้าไทยเหลือ 7 วัน แต่มีเงื่อนไข ด้าน สธ.เผยผลสอบเบื้องต้น พระมรณภาพไม่เกี่ยวฉีดวัคซีน!



สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในไทย เมื่อวันที่ 31 มี.ค. ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 (ศบค.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ได้เห็นชอบตามที่ ศบค.ชุดเล็กเสนอ เรื่องการตรวจหาเชื้อชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้าไทย

โดยกรณีแรก กลุ่มที่กักตัว 7 วัน หากเป็นชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้าไทย ต้องมีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 และผลเป็นลบ จึงจะสามารถเข้าไทยได้ กลุ่มนี้จะตรวจครั้งที่ 1 ในวันที่ 5-6 แต่สำหรับคนไทยที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ และไม่ได้มีการตรวจโควิด-19 ก่อนเดินทาง จะมีการตรวจโควิดแบบสวอปตั้งแต่วันแรกที่เดินทางมาถึงไทย และตรวจอีกครั้งในวันที่ 5-6

ส่วนกลุ่มที่มีการกักตัว 10 วัน จะมีการตรวจโควิด 2 ครั้ง ครั้งแรกวันที่ 3-5 และตรวจอีกครั้งวันที่ 9-10 ส่วนกลุ่มสุดท้ายที่มีการกักตัว 14 วัน จะมีการตรวจโควิดโดยวิธีการสวอป 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 คือวันที่เดินทางมาถึงไทย ครั้งที่ 2 ในวันที่ 6-7 และครั้งที่ 3 วันที่ 12-13 ซึ่งทุกกลุ่มมีการกำหนดด้วยว่า จะต้องอนุญาตให้มีระบบติดตามตัวจนครบ 14 วัน แม้ว่าจะออกจากสถานกักกันไปแล้ว โดยมาตรการนี้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.เป็นต้นไป

ส่วนความคืบหน้าการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงนั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 1 เม.ย. ได้เกิดกรณีพระครูสิริปัญญาเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ กทม.อายุ 71 ปี มรณภาพ หลังรับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดเมื่อวันที่ 31 มี.ค. จึงต้องมีการตรวจสอบว่า เกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีนโควิดหรือไม่

โดย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเมื่อวันที่ 1 เม.ย.ถึงการมรณภาพของพระครูสิริปัญญาเมธีว่า เมื่อวันที่ 31 มี.ค. ทางกรมการแพทย์ฉีกวัคซีนให้ ท่านรับวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า เนื่องจากอยู่ในเกณฑ์สูงอายุ และท่านมีอายุถึง 71 ปี เบื้องต้นทราบว่า ท่านมีโรคประจำตัวคือ เบาหวาน อย่างไรก็ตาม ต้องรอนิติเวช รพ.ตำรวจ ชันสูตร เพื่อให้ทราบสาเหตุที่แท้จริง ส่วนพระรูปอื่นๆ ที่ได้รับวัคซีน ไม่ได้รับรายงานว่า มีรูปใดมีอาการอาพาธ หรือได้รับผลกระทบที่เกี่ยวกับวัคซีน

ด้าน นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า พระรูปดังกล่าวได้รับวัคซีนตั้งแต่เวลา 10.00 น. วันที่ 31 มี.ค. และสังเกตอาการจนครบ 30 นาที จากนั้นได้รับการถวายภัตตาหารเพล อาการปกติทุกอย่าง ทั้งนี้ จากการสอบถามลูกศิษย์วัดแจ้งว่า พระครูสิริปัญญาเมธีอาพาธโรคเรื้อรัง ทั้งเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมัน ช่วงเย็นวันดังกล่าวสังเกตว่า ท่านมีอาการเพลีย จึงขอตัวไปจำวัด วันรุ่งขึ้น (1 เม.ย.) ทางวัดไม่เห็นท่านลงไปฉันภัตตาหารเช้า จนสายเกิดความสงสัย จึงไปดูที่กุฏิ พบว่ามรณภาพ จึงแจ้งตำรวจนำร่างท่านชันสูตร ต้องรอว่าสาเหตุที่มรณภาพมาจากอะไร

วันต่อมา (2 เม.ย.) นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีพระครูสิริปัญญาเมธีมรณภาพว่า เป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างมาก แต่อยากไรก็ตาม จะนำร่างของพระครูสิริปัญญาเมธี ไปชันสูตรรายงานผลทางการแพทย์ และว่า ยังมั่นใจว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับวัคซีน แต่อาจจะเป็นช่วงเวลาที่บังเอิญตรงกันพอดี เพราะวัคซีนที่นำเข้ามาผ่านการทดสอบเรื่องความปลอดภัยมาหลายขั้นตอนมาก ทั้งจากทางผู้ผลิต และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ รวมไปถึงคณะกรรมการอาหารและยาในประเทศเอง พร้อมย้ำว่า ประชาชนต้องไม่ตระหนกตกใจ และสมควรที่จะเข้ารับวัคซีนอยู่

ด้าน นพ.ชำนิ จิตตรีประเสริฐ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงฆ์ เผยว่า ปัจจุบันมีพระสงฆ์ราว 412 รูป ที่ได้ฉีดวัคซีน ส่วนเคสพระสงฆ์ที่มรณภาพพบว่า เดิมพระสงฆ์รูปดังกล่าวมีโรคประจำตัวหลายโรค อาทิ ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ความดันสูง และขาดการรักษาบางโรค เนื่องจากพำนักอยู่ต่างประเทศในปี 63

“พระสงฆ์ที่มรณภาพได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิดแอสตราเซนเนก้า โดยได้ฉีดพร้อมกับพระสงฆ์รูปอื่นๆ อีก 10 รูป และเฝ้าดูอาการหลังฉีดวัคซีนนานกว่า 30 นาที ไม่พบอาการบ่งชี้ว่ามีการแพ้ใดๆ ซึ่งโดยปกติหากแพ้วัคซีน อาการจะออกในช่วงระยะเวลานั้นๆ”

อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามไปที่ รพ.ตำรวจ ซึ่งเป็นผู้ชันสูตรมีผลไม่เป็นทางการออกมา คือ 1.ไม่พบการอุดตันของลิ่มเลือดทั้งที่สมอง หัวใจ หรืออวัยวะอื่นๆ 2.พบอาการเส้นเลือดหัวใจตีบ “จากผลในเบื้องต้น ทำให้ทราบว่า วัคซีนที่พระสงฆ์ท่านได้รับ ไม่ได้ส่งผลต่อการมรณภาพแต่อย่างใด”

นพ.ชำนิ กล่าวด้วยว่า ส่วนตัวมองว่า อาการเส้นเลือดหัวใจตีบอาจจะมีผลต่อการเสียชีวิตได้ แต่คงต้องรอผลชันสูตรอย่างเป็นทางการจากแพทย์ผู้ชันสูตรที่ รพ.ตำรวจ เพื่อความแน่นอนอีกครั้ง

5. ศาลสั่งประหาร “สมคิด พุ่มพวง” ฆาตกรต่อเนื่อง 6 ศพ เหตุพ้นโทษยังก่อเหตุซ้ำ-ไม่เกรงกลัวกฎหมาย!



จากกรณีที่ได้เกิดเหตุฆาตกรฆ่าต่อเนื่องสะเทือนขวัญ 5 คดีเมื่อปลายปี 2562 นายสมคิด พุ่มพวง หรือ “เดอะริปเปอร์เมืองไทย” ที่เพิ่งพ้นโทษไม่ถึงปี ได้ก่อเหตุซ้ำ โดยฆ่าสาวใหญ่ชาวอำเภอกระนวน จ.ขอนแก่น เสียชีวิตในบ้านพักเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. หลังจากนั้น วันที่ 18 ธ.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 3 ติดตามจับกุมตัวนายสมคิดได้บริเวณสถานีรถไฟปากช่อง จ.นครราชสีมา ขณะพรางตัวนั่งรถไฟจาก จ.สุรินทร์เข้าสู่กรุงเทพมหานครนั้น

ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 เม.ย. มีรายงานข่าวจากฝ่ายประชาสัมพันธ์ศาลจังหวัดขอนแก่น เผยถึงผลการพิพากษาของศาลในคดีดังกล่าวว่า ศาลได้สั่งตัดสินประหารชีวิตนายสมคิด พุ่มพวง โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 14 มี.ค. ศาลจังหวัดขอนแก่นได้อ่านคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดขอนแก่น เป็นโจทก์ฟ้องนายสมคิด พุ่มพวง เป็นจำเลย โดยพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) (5), 334 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยทรมานหรือกระทำทารุณโหดร้าย ลงโทษประหารชีวิต

ฐานซ่อนเร้น ย้าย หรือทำลายศพ หรือส่วนของศพเพื่อปิดบังการเกิด การตาย หรือสาเหตุแห่งการตาย และฐานเป็นการกระทำใดๆ ต่อศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป เพื่ออำพรางคดี เป็นการกระทำกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ทวิ วรรคสอง อันเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักสุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 12 เดือน ฐานลักทรัพย์ เพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 93 เป็นจำคุก 3 ปี ฐานเป็นการกระทำใดๆ ต่อศพ เพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 16 เดือน

ส่วนที่จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม และชั้นสอบสวนในครั้งแรก เพราะจำนนต่อพยานหลักฐาน แต่ให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณา ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ คำรับสารภาพดังกล่าว ไม่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เป็นเพียงกลวิธีในการต่อสู้คดีของจำเลย เพื่อให้ศาลพิจารณาลดโทษให้เท่านั้น ประกอบกับพฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลย ได้กระทำต่อเนื่องในลักษณะเดียวกัน รวมคดีนี้ด้วยถึง 6 คดี

หลังจากจำเลยพ้นโทษจากคดีทั้ง 5 คดีก่อนนั้น เป็นเวลาเพียง 6 เดือนเศษ จำเลยยังกลับมากระทำความผิดเป็นคดีนี้อีก โดยไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง ทั้งไม่สำนึกในการกระทำความผิด ขาดความเมตตาปรานี สร้างความสูญเสียแก่สุจริตชน และเป็นอันตรายต่อสังคมอย่างใหญ่หลวง จึงไม่มีเหตุบรรเทาโทษ เมื่อลงโทษประหารชีวิตจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยทรมานหรือกระทำทารุณโหดร้าย จึงไม่อาจนำโทษจำคุกในความผิดกระทงอื่นของจำเลยมารวมได้อีก คงให้ประหารชีวิตจำเลยสถานเดียว พร้อมริบของกลาง

ด้านนางบุญเรือง พี่สาวนางสาวรัศมี เหยื่อฆาตกรฆ่าต่อเนื่อง กล่าวว่า หลังทราบว่าศาลจังหวัดขอนแก่นตัดสินประหารชีวิตนายสมคิด ตนรู้สึกโล่งและสบายใจที่ได้รับความยุติธรรม ซึ่งจะได้จุดธูปบอกกล่าววิญญาณน้องสาว

ขณะที่ พ.ต.ท.ทินกร เถาหมอ รองผู้กำกับการสอบสวน สภ.กระนวน จ.ขอนแก่น พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี เผยว่า หลังศาลจังหวัดขอนแก่นอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 14 มี.ค. ตอนนี้อยู่ในระยะเวลายื่นอุธรณ์ ถ้า นช.สมคิด พุ่มพวง ไม่ยื่นอุธรณ์ คาดว่าในขั้นต่อไป นช.สมคิดจะถวายฎีกาขอลดโทษ หรืออภัยโทษในการประหารชีวิต คาดว่า นช.สมคิดจะเป็นคนยื่นถวายเอง


กำลังโหลดความคิดเห็น