นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี และนายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กให้ตรวจสอบกรณี ส.ส.เข้าร่วมม็อบจาบจ้วงสถาบันฯ วันที่ 20 มีนาคม ที่สนามหลวง มีความผิดตามประกาศการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง และจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วยหรือไม่
จากกรณีเมื่อวันที่ 20 มีนาคม กลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า “REDEM” ได้มีการนนัดชุมนุมที่บริเวณท้องสนามหลวง เพื่อทำกิจกรรมแสดงออกทางการเมือง และเรียกร้องให้ปล่อยแกนนำที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำซึ่งพบว่ากลุ่มผู้ประท้วงมีการทำลายสิ่งกีดกั้น คือ เคลื่อนตู้คอนเทนเนอร์ที่วางกลางสนามหลวง ก่อนจะพยายามฝ่าแนวที่ตำรวจสั่งห้ามเข้ามา อีกทั้งมีการใช้อาวุธต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหัวนอต ลูกแก้ว รวมถึงก้อนอิฐขว้างปาเข้ามาที่กลุ่มของเจ้าหน้าที่ อีกทั้งยังพบว่ามีพระบรมฉายาลักษณ์ถูกม็อบกระทำย่ำยีทุกรูปตลอดเส้นทางการชุมนุมอีกด้วย
นอกจากนี้ วันนี้ (21 มี.ค.) นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์เฟซบุ๊ก “paisal puechmongkol” ระบุถึงการที่มี ส.ส.เข้าร่วมม็อบ 3 นิ้ว ที่มีพฤติกรรมรุนแรงแระจาบจ้วงไปถึงสถาบันฯ ว่า
“เป็น ส.ส.ไปเข้าร่วมชุมนุมกับม็อบล้มเจ้า!!! ก็มีความผิดตามกฎหมาย ไปร่วมมาแล้วกี่ครั้งก็นับกระทงไปเท่านั้น!!! ข้ออ้างไปสังเกตการณ์ฟังไม่ขึ้น!!!! ยิ่งเป็นกรณีฝักใฝ่การปกครอง ที่ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ส่งเสริมสนับสนุนขบวนการล้มเจ้า ถึงขนาดตั้งตัวเป็นนายประกันอาชีพ เป็นอาจิณ ถ้าคดีถึงมือศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวันไหน ก็อาจพ้นจากตำแหน่ง ส.ส.วันนั้น”
นอกจากนี้ยังพบอีกว่า นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก “Chuchart Srisaeng” ได้ออกมากางกฎหมายพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 9 เอาผิดกลุ่มม็อบ เมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา อีกทั้ง ส.ส.ที่เข้าร่วมการประท้วง นอกจากจะผิดกฎหมายที่กล่าวมาในข้างตนแล้วยังมีความผิดว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ พ.ศ. 2563 ข้อ 6, 7 และ 9 อีกด้วย โดยอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาได้ระบุข้อความว่า
“ตามประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง โดยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 9 เรื่องการห้ามชุมนุม ทำกิจกรรม การมั่วสุม ที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
ข้อ 3 ห้ามมิให้มีการชุมนุม หรือทำกิจกรรมที่มีการรวมคนที่มีความแออัดในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค ฯลฯ หากผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามประกาศนี้ ต้องรับโทษตามมาตรา 18 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ผู้ที่ไปร่วมชุมนุมที่บริเวณสนามหลวงเมื่อคืนวันที่ 20 มีนาคม 2564 ทุกๆ คน ไม่ว่าเป็นแกนนำหรือไม่ ก็มีความผิดตามประกาศฉบับนี้เหมือนกันทุกคน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องดำเนินคดีต่อผู้ไปร่วมชุมนุมทุกๆ คน ไม่ว่าคนนั้นเป็นใครก็ตาม รวมทั้งผู้ที่เป็น ส.ส.ด้วย
กล่าวเฉพาะผู้ที่เป็น ส.ส. นอกจากมีความผิดตามประกาศฉบับนี้แล้ว ยังเป็นการประพฤติผิดข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ พ.ศ. 2563 ข้อ 6, 7 และ 9 ด้วย”
ก่อนหหน้านี้ นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ แจ้งความต่อ พ.ต.ต.สุธินันท์ เกิดวัน สว.(สอบสวน) สน.ชนะสงคราม ให้ดำเนินคดีต่อนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.พรรคไทยศรีวิไลย์ นายพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค ส.ส.พรรคไทยรักธรรม นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.พรรคก้าวไกล กรณีไปร่วมชุมนุมในสถานที่ห้ามชุมนุม