ว่ากันว่า การเมืองไทยเป็นการแบ่งผลประโยชน์ เหมือนเป็นการ “แบ่งเค้ก” และ ส.ส.ก็คือกำลังหลักของการเมือง ใครที่รวบรวม ส.ส.ไว้ได้เป็นจำนวนมากก็จะได้อำนาจตามจำนวน ส.ส. ด้วยเหตุนี้การเลือกตั้งผู้แทนราษฎรจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ต้องทุ่มกันสุดตัวเพื่อเอาตำแหน่ง ส.ส.มาให้ได้ ทั้งยังมีการกว้านซื้อ ส.ส.มาเข้าพรรคด้วยหลังการเลือกตั้ง
เมื่อรวบรวม ส.ส.มาไว้ได้มากกว่าใครแล้ว นายทุนพรรคหรือเจ้าของพรรคก็ได้อำนาจไว้ในมือ ถ้าไม่ได้เสียงเกินครึ่งก็ต้องชวนพรรคอื่นมาร่วม แล้วแบ่งเค้กกันไป แต่ถ้าได้เสียงข้างมากพรรคเดียวก็ “หวานคอแร้ง” ถอนทุนแล้วยังต้องกอบโกยเงินทุนไว้สำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้าอีก หรือเอาไว้ซื้อหุ่นยกมือเหมือนหน้าปั๊มน้ำมัน ลมมาก็โบกมือให้ ลมไม่มาก็หุบมือลง
การเลือกตั้งก็เหมือนกัน แทนที่จะถือการสร้างผลงาน สร้างความนิยมจากประชาชนเป็นหลัก กลับใช้วิธีจัดตั้งหัวคะแนนไว้ตามพื้นที่ ใครทุนมากกว่า เลี้ยงผู้มีอิทธิพลในท้องที่ไว้ได้มาก ก็โกยคะแนนไป คะแนนเสียงที่ได้มาจึงไม่ใช่คะแนนบริสุทธิ์จากประชาชน ส่วนคนที่ประชาชนนิยมอย่างจริงใจนั้น เข้ามาได้ยากเต็มทน นี่คือวิธีการที่เขาเรียกกันว่า “ประชาธิปไตย”
ส่วนฝ่ายที่ไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ต้องหาทางขัดชาเข้าไว้ อย่าให้ฝ่ายรัฐบาลได้สร้างผลงานที่เป็นคุณประโยชน์แก่ประชาชนได้ เพราะจะทำให้ได้คะแนนนิยม และทำให้ตัวเองต้องเหนื่อยหนักในการเลือกตั้งครั้งหน้า อดอยากปากแห้งไปอีก ฉะนั้นหาช่องทางโจมตีได้ก็ใส่เข้าไปเลย ขาวเป็นดำก็ได้ เผื่อคนประเภทไม่เดียงสาการเมืองจะเชื่อบ้าง
ด้วยเหตุนี้จึงได้เห็นการเมืองไทยวุ่นวายอย่างน่าเบื่อหน่ายและซ้ำซากแบบนี้มาตลอด อีกหน่อยก็อาจจะมีคนถามขึ้นมาบ้างว่า “มี ส.ส.ไว้ทำไม”
แต่อย่างไรก็ตาม ในยามที่แบ่งเค้กกันไม่ลงตัว คนที่มีภาพพจน์ที่ดี มีประวัติที่ใสสะอาด ก็อาจมีความสำคัญขึ้น เพื่อให้เห็นว่าฝ่ายตัวก็สนับสนุนความดีเช่นกัน ครั้งหนึ่งเราจึงได้เห็นหัวหน้าพรรคที่มี ส.ส.ในพรรคเพียง ๑๘ คนเท่านั้น ได้สร้างประวัติศาสตร์ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ ๑๓ ของประเทศไทย นั่นก็คือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เจ้าของฉายา “เฒ่าสารพัดพิษ” และ “เสาหลักประชาธิปไตย”
ทั้งนี้เนื่องจากรัฐบาลของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งได้รับเลือกตั้ง ๗๒ ที่นั่งจาก ๒๖๙ เสียง เป็นพรรคที่เสียงมากที่สุด ได้ร่วมกับพรรคเกษตรสังคมอีก ๑๙ เสียง จัดตั้งรัฐบาลขึ้นในวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๘ แต่ไม่ได้รับความไว้วางใจในการแถลงนโยบายเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ครม.ของ “หม่อมพี่” จึงต้องพ้นตำแหน่งไปขณะยังไม่ทันได้นั่งเต็มเก้าอี้
ทุกพรรคในขณะนั้นต่างมองไปที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคม ซึ่งมีเพียง ๑๘ เสียงเท่านั้นในสภา แต่ก็มีรัศมีใสกว่าทุกคน หลายพรรคจึงสนับสนุน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี จนได้รับโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๑๘
พรรคที่เปิดตัวสนับสนุน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ในตอนนั้นมีอยู่ ๘ พรรค จากทั้งหมด ๒๒ พรรค คือ กิจสังคม ๑๘ เสียง ธรรมสังคม ๔๕ เสียง ชาติไทย ๒๘ เสียง สังคมชาตินิยม ๑๖ เสียง สันติชน ๘ เสียง ประชาธรรม ๖ เสียง ไท ๔ เสียง และพลังประชาชน ๒ เสียง รวมกันก็แค่ ๑๒๗ เสียงเท่านั้นยังไม่ถึงครึ่ง แต่ในการลงคะแนนให้ความไว้วางใจในวันแถลงนโยบาย รัฐบาลจะต้องได้คะแนนเกินครึ่ง คือ ๑๓๕ เสียงเป็นอย่างน้อย มิฉะนั้นจะตกเก้าอี้เหมือน “รัฐบาลหม่อมพี่” เหตุนี้ ด้วยลีลา “เฒ่าสารพัดพิษ” ม.ร.ว.คึกฤทธิ์จึงตั้งคณะรัฐมนตรีเพียง ๒๗ ตำแหน่ง ขณะที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ตั้งได้ไม่เกิน ๓๐ ตำแหน่ง ทั้งนี้ก็เพื่อใช้ ๓ ตำแหน่งไว้ล่อพรรคที่เปลี่ยนใจ และก็เป็นไปตามคาด การแถลงนโยบายในวันที่ ๑๙ มีนาคม รัฐบาลผสมของ “หม่อมน้อง”ได้ไป ๑๔๐ เสียง โดยมีพรรคเข้าร่วมรวม ๑๖ พรรค
แต่ “เฒ่าสารพัดพิษ” ก็ยังพิษน้อยกว่ารัฐบาลร้อยพ่อพันแม่ จึงต้องยุบสภาในวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๑๙ ให้มีการเลือกตั้งใหม่ หวังว่าพรรคกิจสังคมจะได้คะแนนเสียงมากขึ้น ทำให้รัฐบาลมีพรรคน้อยลง มีปัญหาภายในน้อยลง ซึ่งผลการเลือกตั้ง พรรคกิจสังคมได้เพิ่มเป็น ๔๕ เสียง แต่หัวหน้าพรรคกลับสอบตกในเขตดุสิต แพ้นายสมัคร สุนทรเวช ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ได้เพิ่มขึ้นเป็น ๑๑๔ และเป็นอันดับ ๑ เหมือนเดิม “หม่อมพี่”เลยได้กลับขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
กล่าวกันว่า สาเหตุที่ “หม่อมน้อง”สอบตกครั้งนี้ ก็เพราะนโยบายเปิดสัมพันธไมตรีกับจีนแดง ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยยุติบทบาทลง และให้ฐานทัพสหรัฐที่ชักศึกข้าบ้านถอนออกจากไทยภายใน ๔ เดือน ทำให้ฝ่ายทหารที่มีสายสัมพันธ์อย่างล้ำลึกกับสหรัฐในตอนนั้นไม่พอใจ จึงบันดาลให้สอบตกในเขตทหาร
นี่ก็เป็นฉากหนึ่งของการเมืองไทยที่ผ่านมา ถ้า “ลุงตู่” ผู้มีภาพพจน์ดี มีความใสสะอาด และเข้มแข็ง จะเป็นผู้นำตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่ คัดเอา ส.ส.น้ำดี นักวิชการ และคนที่มีอุดมคติเข้ามา เพื่อกวาดล้างพวกสีเทาให้หมดไปจากสภาเสียที จะได้รู้กันเสียทีว่า พลังบริสุทธิ์ของประชาชนที่อยากเห็นการเมืองไทยใสสะอาด ประเทศก้าวไปได้อย่างรวดเร็วนั้น จะถล่มทลายสักแค่ไหน และคงไม่สอบตกในเขตทหารแน่