xs
xsm
sm
md
lg

จะคิวท์หน่อยก็ไม่ได้ !!! เมื่อ “CGM48” เดบิวต์บนแผ่นฟิล์ม ด้วย ‘ห้าวเป้งจ๋าอย่าแกงน้อง’

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมื่อได้รับโจทย์ต่างๆ ในการเป็นไอดอล ผ่านทางตัวแทนห้าวเป้งอันดับต้นๆ ของประเทศ ความอุปสรรคและท้าทายก็อยู่ตรงหน้าของพวกเธอทั้ง 25 คน ในนาม ‘ซีจีเอ็มโฟร์ตีเอท’ แต่หารู้ไม่ว่า ภารกิจเหล่านั้น ได้ถูกบันทึกลงในแผ่นฟิล์มกับเรื่อง ‘ห้าวเป้งจ๋าอย่าแกงน้อง’ จากค่ายสหมงคลฟิล์ม ซึ่งจากประสบการณ์ในครั้งนี้ ตัวแทนทั้ง 6 คน ได้แก่ ออม-ปุณยวีร์ จึงเจริญ, แองเจิ้ล-นภัสนันท์ ธรรมบัวชา, สิตา ธีรเดชสกุล, ปิ๊ง-พิณพณา แสงบุญ, เจเจ-ศุภาพิชญ์ ศรีไพโรจน์ และ ปีโป้-จิรัฐิกาล ทะสี รวมไปถึงสมาชิกวงทั้งหมด คงไม่มีทางลืมเลือนไปได้ง่ายๆ แน่ !!!


ก่อนหน้านิ้ วงรุ่นพี่อย่าง AKB48 ก็มีการโดนแกล้งในแบบนี้เหมือนกัน คิดว่าวันนี้จะมาถึงเร็วมั้ย

สิตา : อย่างส่วนตัวเราเอง ก็มีความชื่นชอบกับวงรุ่นพี่ AKB48 อยู่แล้ว ซึ่งทางนั้นก็จะมีรายการวาไรตี้เยอะมาก แล้วก็จะเห็นเมมเบอร์แต่ละคนในมุมมองที่แตกต่างกันออกไป อย่างพี่รินะ (อิสึตะ : ผู้จัดการวง CGM48) ก็เป็นสายวาไรตี้อยู่แล้ว ก็ไม่คิดว่าวันหนึ่ง พวกเราก็จะมาในแนวทางนี้เหมือนกัน คือมันค่อนข้างหายากในเมืองไทย ก็เลยรู้สึกดีใจมากๆ แล้วก็รู้สึกถึงความเป็น 48 Group ขึ้นมาด้วยหน่อยหนึ่ง

แองเจิ้ล : ใช่ค่ะ ถือว่าเร็วเกินคาดด้วย เพราะว่าเราก็ไม่รู้ตัวว่าเริ่มถ่ายทำมาตั้งแต่เมื่อไหร่ คือพอตอนจบมารู้ว่า ถ่ายกันไปหมดแล้ว ก็ไม่ทันได้เก๊กเลยค่ะ บอกเลยว่าในหนังก็คือของจริงทั้งหมดเลย


ถ้าไล่ไทม์ไลน์ในหนัง ดูเหมือนเป็นช่วงเริ่มตั้งวงใหม่ๆ เลย ตอนนั้นแต่ละคนรู้สึกยังไงกันบ้างครับ

ออม : เขาบอกว่า หนังเรื่องนี้ ถ่ายมา 1 ปี 3 เดือน ตั้งแต่ช่วงออดิชั่น เริ่มตั้งแต่ช่วงเสื่อผืนหมอนใบ ใสๆ เลย ยังแคะขี้มูกอยู่ จากนั้นก็ค่อยเติบโตพัฒนามาจนถึงปัจจุบัน มันเหมือนเห็นพัฒนาการของเรา

ปิ๊ง : คือถ้าตอนนี้ CGM48 คือไก่ชน (หัวเราะทั้งวง) จะเรียกว่าทุกคนเห็นตั้งแต่ไข่ฟองน้อยๆ กะเทาะออกมาเป็นลูกเจี๊ยบ เหมือนกับเด็กที่เพิ่งหัดเดินด้วยซ้ำ กว่าจะเข้ามาสู่วงการนี้ จนกลายเป็นไก่ชนที่แข็งแกร่ง

เจเจ : ตอนนั้นเหมือนกับพวกเรายังเป็นเด็กน้อยอยู่ ยังไม่รู้อะไรเลย รู้แค่ความฝันของพวกเราที่อยากจะเป็นไอดอล แต่เท่าที่เราผ่านมาทั้งหมด ไอดอลไม่ได้มีแค่ ร้อง เต้นนะ ยังมีทักษะอื่นด้วย ต้องมีความใส่ใจ หรือต้องจัดเวลาให้ดี มีสิ่งที่ทำให้เราเติบโตเยอะขึ้นมาก จากตอนแรกที่ขี้มูกยังเปียกๆ ตอนนี้แห้งแล้วค่ะ (หัวเราะทั้งวง)


ทีนี้ให้แต่ละคนพูดถึงแต่ซีนที่ตัวเองเจอครับ

ออม : ก็จะเป็นซีนที่ไปถ่ายมิวสิควีดีโอด้วยกัน ไปกับกลุ่มรุ่นพี่ยังโอม (รัธพงศ์ ภูรีสิทธิ์) ค่ะ วันนั้นจะเป็นการถ่ายเอ็มวีเพลงไปต่อ เป็นเพลงพิเศษที่เราได้ทำกับรุ่นพี่ค่ะ เป็นเพลงที่เรามีส่วนร่วม ทั้งแต่งเนื้อเพลงเอง ท่าเต้น รวมถึง พวกเราได้ช่วยกันคิดต่างๆ แล้ววันที่ถ่ายเอ็มวีก็ถือว่าสนุกสนานมากๆ เพราะมันมีสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้อยนู่เยอะจริงๆ ทั้งเรื่องสภาพอากาศฟ้าฝน หรือระเบิด และ พี่ๆ ทีมงานที่แอบซ่อนพวกเราต่างๆ
คือหนูถ่ายเอ็มวีมาก็หลายเพลง ปกติมันก้สบายและมีสิ่งสวยงามให้เราเห็น แต่เอ็มวีเพลงนี้เป็นการฉีกแนวของไอดอลมากๆ เราต้องไปวิ่งหนีระเบิด หรือต้องไปเจอฝุ่นควันต่างๆ เป็นอะไรเข้มข้นมากจริงๆ

แองเจิ้ล :
ในส่วนของหนูก็เป็นพี่แจ๊ค แฟนฉัน (เฉลิมพล ทิฆัมพรธีรวงศ์) ค่ะ คือพี่เขาบอกพวกเราว่า ไปถ่ายคอนเทนต์สถานที่หนึ่งในเชียงใหม่ ไปโปรโมทอะไรอย่างงี้ พวกเราก็ไปกันแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลย ไปแบบว่า ‘หนูต้องลองทำจริงๆ เหรอคะ’ เหมือนทำให้เรากล้าแสดงออกมากขึ้น ว่าไม่ว่าเจออุปสรรคอะไร ก็ต้องทำให้สำเร็จ

สิตา :
ในส่วนของเราก็จะไปกับน้าเน็ก (เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา) ค่ะ อย่างที่ทุกคนเห็นตัวอย่างว่ามีช้างใช่มั้ยคะ ก็เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ได้ทำกับน้าเน็กค่ะ เขาบอกกับเราว่า ไปถ่ายรายการ ‘อย่าหาว่าน้าสอน’ ค่ะ ซึ่งน้าสอนแบบโหดๆ ด้วยค่ะ ก็ถือว่าสนุกมากๆ ค่ะ

ปีโป้ : หนูก็ไปในส่วนของพี่กันต์ (กันตถาวร) ค่ะ ตอนแรกก็คิดว่า ไอดอลก็รับงานบุญบั้งไฟเหมือนกันเหรอ ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกใหม่มากๆ พอไปถึงที่ก็แบบชื่อใหญ่โตมาก เป็นพิธีกรระดับประเทศจะต้องร่ำรวยมากแน่ๆ ซึ่งก็แสบไม่น้อยเหมือนกันค่ะ

เจเจ :
ก็เป็นซีนพี่กันต์เหมือนกันค่ะ อย่างที่ปีโป้บอกเหมือนกันว่านึกไม่ถึงว่าวงเราจะรับงานบุญด้วย เราก็ตื่นเต้นด้วยเพราะก็ไม่เคยรับงานบุญมาเหมือนกัน ก็ได้เรียนรู้ในเรื่องของวิธีการพูด ได้เรียนรู้การเป็น mc มากกว่าเดิม หรือวิธีการจำบท แล้วก็ได้เห็นพี่กันโกรธด้วย ซึ่งเราไม่เคยเห็นแกโกรธเลย

ปิ๊ง :
ส่วนของหนูก็เป็นพี่แจ๊ค แฟนฉันค่ะ เพราะพี่เขาเป็นนักแสดงที่เอนเตอร์เทนด้วย อย่างตอนเจอกับพี่แจ๊คครั้งแรก ก็ถือว่าเป็นคนแปลกหน้าอยู่ เราก็ต้องมาทำความรู้จักกันใหม่ เพราะยังมีการเกร็งกันอยู่ แต่พี่เขาก็เข้าหาพวกเราได้ดัมากเลย อยู่ๆ ก็คุยกันอย่างสนุกเลย ก็รู้สึกว่าการเอนเตอรืเทนมันไม่ได้ขนาดนั้น แต่สิ่งที่พี่เขาทำมันธรรมชาติมาก แต่ผ่านการคิดต่างๆ มากแล้ว ดังนั้นก็เป็นแบบอย่างที่ดี แล้วนำมาใช้และทำตามค่ะ


ถามถึงออมในฐานะกัปตันวง พอได้มาอยู่ในสภาวการณ์ตรงนั้น เหมือนกับว่าเราได้แสดงถึงภาวะผู้นำให้กับน้องๆ ด้วยมั้ย

ออม : คือทุกคนก็อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว และเวลาที่เจออุปสรรคหรือสถานการณ์ตรงหน้าตรงนั้น คือทุกคนก็ช่วยเหลือกัน แต่หนูจะเป็นแบบซีนขี้เหวี่ยงมากกว่า (หัวเราะ) พร้อมบวก แต่ส่วนใหญ่จะส่งไปให้พี่ๆ เออาร์ของวงเราก่อน เราจะเป็นแบบตรงดิ่งไปหาพี่เขาก่อน เช่น ไหนเอาตอรี่บอร์ดมาดูหน่อยค่ะ ทำไมถ่ายแต่ละฉากแล้วไม่มีสตอรี่บอร์ด พวกหนูจะรู้ได้ยังไงว่าต้องถ่ายฉากอะไรบ้าง มีแต่อะไรก็ไม่รู้ มีแต่อุปสรรคเต็มไปหมด ซึ่งปกตินักแสดงต้องรู้ว่ามีอะไรบ้าง แต่ทำไมการถ่ายเอ็มวีแต่ละครั้ง ไม่รู้อะไรจริงๆ

หรือแบบมีซีนอะไรที่น้องๆ เจอ และสะเทือนจิตใจ เราจะเป็นคนที่ร้องไห้ยากมาก แต่น้องๆ ร้องไห้ไปแล้ว เราก็จะแบบต้องไปปลอบเขา และก็คอยไปถามพี่ๆ ทีมงานว่า ‘พี่คะ น้องหนูยังเด็กอยู่เลย ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้’ ‘ทำไมต้องมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น’ ซึ่งเราจะมีการรีแอคออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว

พอถูกเฉลยว่าถูกแกล้ง มีแบบเหวอมั่งมั้ย


ออม : ถ้าได้ดูตัวอย่าง ตอนที่เขาเฉลยมาว่าถ่ายหนัง คือหนูทำหน้าแบบเหวอเลย มันก็ตกใจกันทุกคน คือเราไม่ถิดว่า ทั้งหมดที่ผ่านมามันคิอการแกล้งกันหรืออุปสรรคในการทำงานที่พวกเราต้องเจอกันปกติ มันก็ตกใจและงงๆ กับการแกล้งกัน อีกมุมหนึ่ง ก็นึกในใจเหมือนกันว่า ‘ตายแล้ว ฉันทำอะไรลงไปบ้างเนี่ย’ ซึ่งในบางครั้งเราก็โกรธพี่ทีมงานเหมือนกันนะ ว่าทำไมถึงทำกันขนาดนี้ ทำไมเราไม่เซฟเขาให้มากกว่านั้น คือกลัวพี่ๆ เขาเจ็บนู่นนี่นั่น อารมณ์เหมือนโกรธ ในเรื่องการทำงานว่ามันควรจะเซฟกว่านี้


แล้วในมุมของน้องๆ ทั้ง 5 คนละครับ

แองเจิ้ล :
คือจริงๆ ที่พวกเรารู้สึกเหมือนกันก็คือ ตกใจ วิตกกังวล แบบทำไมมีอุปสรรคมนการทำงานของพวกเรามันยากขนาดนี้ หนูรู้สึกว่า เราต้องไปทำบุญใหญ่กันมั้ย ซึ่งเราก็ไปทำกันมา ก็ยังไม่หาย พอมารู้ความจริงว่า คือตั้งใจกันเหรอเนี่ย ก็รอดูได้เลยค่ะ พวกหนูจะไปแก้แค้นคืน (เน้นเสียง)

สิตา :
สำหรับเรา อาจจะไม่ใช่รีแอคชั่นใหญ่ขนาดนั้น แต่ก็นับถือความเนียนของพี่ๆ เขา สมมุติว่าเวลามีงานต่างๆ ก็จะเจอแบบนี้ๆ นะ เรามีการเตรียมตัวแบบนี้นะ ซึ่งมันไม่มีจริง ก็จะรู้สึกว่าโมโหนิดหน่อย ซึ่งบางครั้งก็มีตะหงิดๆ ใจ เหมือนกันว่า เมื่อไหร่จะมีรายการนี้ซะทีนะ ออกอากาศรึยัง

ปีโป้ : คือรายการที่ว่า มันก็หายไปเป็นปี ก็ส่งผลให้จิตใจเราที่มีอยู่น้อยนึงค่อยๆ ถูกย่ำยี ทำให้ผลตอบรับครั้งแรกๆ กับ ครั้งหลังของเรามันไม่เหมือนเดิมแล้ว เลยทำให้จิตใจของเราเริ่มแข็งแกร่งขึ้นทีละนิดๆ


ปิ๊ง : ชีวิตแค่โดนทำร้าย แต่สุดท้ายก็โดนทำร้ายอยู่ดี (หัวเราะ) เขาโกหกว่าเป็นงานซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องออกไปในตามตารางงาน และเราเฝ้ารอคอยผลงานนั้นที่จะออกอากาศ ซึ่งสุดท้าย ความพยายามอยู่ที่ไหน ความยายามอยู่ที่นั่นค่ะ (หัวเราะ) แล้วก็ขอพูดถึงเหตุการณ์ด้วย คือ มันเป็นวันที่เราต้องไปเรียน น้องๆ บางคนก็ลาเรียนไปด้วย ส่วนเรา ตอนนั้นก็มีสอบย่อย เราก็ลาสอบย่อยเพื่อที่จะมาทำงานนี้ ตอนแรกก็ผิดหวังว่า ที่เราลาสอบย่อย แล้วมาเจออะไรแบบนี้ แต่พอมันมาเป็นแบบนี้ ก็โอเค (หัวเราะเฮฮา)

เจเจ : ถ้าถามเราจริงๆ เราก็โกรธนะ ที่มารู้ทีหลังว่า ทำไมแกล้งกันแรงขนาดนี้ แล้วด้วยความที่เราอายุยังน้อยอยู่ ก็มีความีรู้สึกว่า ทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วยนะ (ทำท่ากัดฟัน) เขาโยนจิตใจเราให้โยนหายไปเลย แล้วพอถ่ายงานเสร็จ ก็ม่นั่งนึกอีกทีว่า มันหายไปไหนหมด เมื่อไหร่จะออนแอร์นะ คือเราวางใจพี่ๆ สตาฟมาก แต่เหมือนรู้สึกว่า เราโดนทรยศ เพราะบางงานเราตั้งใจมากเลย แล้วอยู่ดีๆ ก็หาย จนหนูต้องไล่ถามเลยว่า เมื่อไหร่จะออนคะ เขาก็ตอบกลับมาว่า ไม่รู้เหมือนกัน จนเราแบบถามบ่อยมาก มีโกรธเคืองอยู่บ้าง

ปิ๊ง : อย่างวงเราก็เพิ่งเกิดใหม่ ถ้ามีงานอะไรมา เราก็รับหมด และตั้งใจ จริงใจกับงาน เพราะว่าอยากให้มันออกมาดี อย่างงานพิธีกร เราฝึกซ้อม เพื่อที่จะพูดในวันนั้น ไม่ใช่การที่เรามาให้ความบันเทิง แต่ให้โดนแกงกับชาวบ้านแถวนั้น เราเลยมีความรู้สึกว่า ทำไม (เน้นเสียง) แต่พอย้อนกลับไปดู ความรู้สึกก็เหลือแค่แค่เคืองๆ นิดหน่อย


ในมุมหนึ่ง หนังเรื่องนี้ ถือว่าเป็นการบันทึกช่วงเวลาหนึ่งของ CGM48 ด้วยมั้ย

แองเจิ้ล :
เป็นการเก็บความทรงจำมาตั้งแต่แรกจนถึงปัจจุบันเลยก็ว่าได้ เพราะว่า เราก็เพิ่งรู้ความจริงหลังจากถ่ายเสร็จ จริงๆ หนูไม่รู้เลยว่าถ่ายตั้งแต่เมื่อไหร่ พอรู้ว่าตั้งแต่วันออดิชั่นเลย ก็รู้สึกว่า คุณพี่ก็ทำงานหนักเหมือนกันนะคะ ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครจะติด แล้วก็ถ่ายรวมๆ กันทุกคน แล้วตอนนี้คือทุกคนมีประสบการณ์มากๆ

สิตา : เขาถ่ายแบบฟุตเทจที่เยอะมาก แล้วในตัวอย่างที่เห็นคือ พี่รินะยังพูดไทยไม่ชัดเลย อย่างประโยคที่พูดในตัวอย่าง ก็ยังไม่ใช่สำเนียงในตอนนี้

เจเจ : สำหรับหนูคิดว่า มันไม่ใช่แค่การบันทึกช่วงเวลาหนึ่งไว้ แต่เป็นการบันทึกเรื่องราวของ CGM48 เป็นการบันทึกว่าวงผ่านอะไรมาบ้าง เรามีการพัฒนาอะไรมาขึ้นกว่าเดิมบ้าง มีการวงาตารางงานมากขนาดไหน ต้องตั้งใจและอดทนกับการโดนระเบิดมากขนาดไหน

ปิ๊ง : หนังเรื่องนี้มันเหมือนว่า อาจจะไม่ได้ใส่ใจช่วงเวลานั้นมามาก แต่ตัววงก็มีสิ่งใหม่เข้ามาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นงานหรือว่าสิ่งที่เราต้องก้าวไปต่อ หนังเรื่องนี้มันเหมือนกับมีคนมาบันทึกไดอารี่ทั้ง 25 คน ซึ่งถ้าได้ย้อนกลับมาดู มันอาจจะเป็นความคิดถึง ถึงแม้ว่าตอนนั้น เราอาจจะโกรธ หรือควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ พอตอนนี้ เราก็จะได้เห็นตัวเองที่เปลี่ยนไปค่ะ


ถ้ามองในมุมของเรา คิดว่าหนังเรื่องนี้ มันเป็นกึ่งหนังสารคดีของวงมั้ย

แองเจิ้ล : จริงๆ มันเป็นออแกนิค ฟิล์ม นะ

สิตา : คือมันไม่เหมือนกับรายการเซ็นไป ที่เป็นสารคดี ที่จะถ่ายทอดเรื่องราวของแต่ละคน แต่หนังเรื่องนี้ มันเหมือนว่า ถ้าเราจะสร้างหนังที่เกี่ยวกับไอดอลเรื่องหนึ่ง แต่หนังเรื่องนี้คือสมจริงมาก ไม่มีแอ็คติ้งเลย มันคือหนังที่เล่าเรื่องราวมากกว่า ไม่น่าจะใช่หนังสารคดี

ปิ๊ง : ก็ถ้าสมมุติว่าเป็นสารคดีสัตว์โลก เราทำสิงโตตัวหนึ่ง การที่จะถ่ายสารคดี เราห้ามยุ่งเกี่ยวใดๆ ทั้งสิ้น เราต้องปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามธรรมชาติ อย่างเช่น สิงโตจะออกล่า เราอย่าให้อาหารเด็ดขาด แม้ว่ามันกำลังจะอดตายหรือหิวโหย ไม่งั้นมันจะไปบิดเบือนทุกอย่าง สำหรับสิ่งนี้ มันทำให้เรารู้จักกับตัวสิงโตมากขึ้น ทำให้เราเข้าใจถึงวัฎจักรชีวิตของเขา บางทีการโยนจระเข้ให้สิงโตสู้กัน อาจจะได้เห็นสิงโตในมุมมองใหม่ อาจจะเห็นการปีนต้นไม้ก็ได้ อันนี้จะเป็นการเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้ค่ะ


ขณะเดียวกัน พอได้มาร่วมงานกับพี่ๆ ทั้งหมด เราได้สัมผัสและเรียนรู้อะไรจากพวกเขาบ้างครับ

ออม : สำหรับหนู ก็จะเป็นเรื่องของความอดทน หรือว่าความเป็นมืออาชีพในการทำงาน แม้ว่าเราจะเจออุปสรรคต่างๆ มากมาย ใหญ่โต หรือ เล็กน้อย แต่เราต้องมีงานชิ้นหนึ่งที่เราต้องรับผิดชอบ แล้วเราต้องทำให้มันสำเร็จ คือจากที่หนูเห็นในพี่ๆ ห้าวเป้ง ถึงแม้ว่าจะเจออุปสรรคอะไรก็ตาม เขาก็ยังสู้ เขาไม่มีการบ่นโวยวาย เขาก็ยังทำ และเผชิญกับสิ่งนั้น เราก็เห็นเขา แล้วเราก็รู้สึกว่า การจะเป็นมืออาชีพ มันต้องเป็นอย่างนั้น

อย่างเราก็เป็นอีกคนที่ยังไม่ได้มีประสบการณ์มากมาย จากสายพวกนี้ค่ะ อย่างตอนที่เราเข้ามาใหม่ๆ ถ้าเราไม่พอใจ เราก็บอกไปว่าเราไม่พอใจ เราไม่อยากทำ แต่พอหนังเรื่องนี้มันสอนให้เราคิด แล้วทำให้เรารู้สึกว่า มันก็ไม่มีอะไรที่จะทำให้เราได้พอใจตลอดเวลา แล้วบางอย่าง ทั้งปัญหาและอุปสรรคที่เข้ามา เราต้องเผชิญและทำมันเป็นมืออาชีพให้ได้ นี่คือสิ่งที่เราได้จากพี่ๆ เขา ในหนังเรื่องนี้


ปีโป้ : ส่วนตัวหนู ตอนนั้นที่ถ่ายอยู่ หนูก็ค่อนข้างที่จะเด็กมากๆ 12-13 สิ่งที่เรียนรู้คือ เราต้องจัดการอารมณ์ของตัวเองให้ได้ เพื่อให้ทุกอย่างมันไปต่อได้ หนูไม่เคยรู้สึกว่า ชีวิตนี้หนูจะโกรธจนร้องไห้ได้ หรือจะโกรธและเสียใจได้สุดขนาดนี้ นี่คือสิ่งที่เราพบเจอว่าจนไม่พอใจนะ จากที่แบบว่า ‘แม่ ทำไมเขาทำแบบนั้น แบบนี้’ แต่พอมาเป็นแบบว่า เราต้องทำงานนะ แล้วเราอายุเท่านี้ เราจะทำยังไงให้ได้ ก็รู้สึกว่ามันทำจัดการกับอารมณ์ตัวเองดีมากๆ ค่ะ

ปิ๊ง : ผลงานของพี่ๆ คือผลงานที่สำเร็จรูปแล้ว แต่แจกันหนึ่งชิ้นกว่าจะปั้นมา ถ้าสมมุติว่าพวกเขาเป็นช่างปั้น แจกันของเขาก็คือสิ่งที่เราจะได้เห็น แต่พอเราได้มาร่วมงานด้วย เราจะเห็นเขามาตั้งแต่การเตรียมดินเหนียว ไปจนถึงการลงมือปั้นมันขึ้นมา ถึงแม้ว่ามันจะเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แต่มันเป็นสิ่งที่เราสังเกต แล้วมันก็จะยิ่งใหญ่มาก สำหรับประสบการณ์ที่เราได้

เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : ดรงค์ ฤทธิปัญญา



กำลังโหลดความคิดเห็น