xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 14-20 ก.พ.2564

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1.“นายกฯ-9 รมต.” ผ่านศึกซักฟอกฉลุย “อนุทิน” ได้เสียงไว้วางใจมากสุด “ณัฏฐพล” ต่ำสุด!

หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลจำนวน 10 คนระหว่างวันที่ 16-19 ก.พ.เสร็จสิ้นลง วันนี้ (20 ก.พ.) ได้มีการประชุมสภาฯ เพื่อลงมติในญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคร่วมฝ่ายค้าน โดยนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานที่ประชุมได้แจ้งถึงวิธีการลงคะแนนให้สมาชิกทราบว่า จะเป็นรูปแบบการกดบัตรลงคะแนน ซึ่งผลการลงมติ ปรากฏว่า นายกฯ และรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายทั้ง 10 คน ผ่านการลงมติฉลุย

โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จำนวนผู้ลงมติ 481 คน ไว้วางใน 272 เสียง ไม่ไว้วางใจ 206 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี จำนวนผู้ลงมติ 482 ไว้วางใจ 274 เสียง ไม่ไว้วางใจ 204 เสียง งดอกเสียง 4 เสียง, นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จำนวนผู้ลงมติ 482 ไว้วางใจ 275 เสียง ไม่ไว้วางใจ 201 เสียง งดออกเสียง 6 เสียง, นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จำนวนผู้ลงมติ 482 ไว้วางใจ 268 เสียง ไม่ไว้วางใจ 207 เสียง งดออกเสียง7 เสียง, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จำนวนผู้ลงมติ 480 ไว้วางใจ 272 เสียง ไม่ไว้วางใจ 205 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง

นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จำนวนผู้ลงมติ 480 ไว้วางใจ 258 เสียง ไม่ไว้วางใจ 215 เสียง งดออกเสียง 8 เสียง, นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จำนวนผู้ลงมติ 481 ไว้วางใจ 263 เสียง ไม่ไว้วางใจ 212 เสียง งดออกเสียง 5 เสียง, นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จำนวนผู้ลงมติ 482 ไว้วางใจ 268 เสียง ไม่ไว้วางใจ 201 เสียง งดออกเสียง12 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 เสียง, นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จำนวนผู้ลงมติ 482 ไว้วางใจ 272 เสียง ไม่ไว้วางใจ 206 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง, ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวนผู้ลงมติ 479 ไว้วางใจ 274 เสียง ไม่ไว้วางใจ 199 เสียง งดออกเสียง 5 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 เสียง

มีรายงานว่า ระหว่างรอผลการลงคะแนน รัฐมนตรีแต่ละคนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด โดยเฉพาะนายณัฏฐพล และ ร.อ.ธรรมนัส ที่ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่า อาจจะได้รับเสียงไว้วางใจน้อยสุด แต่เมื่อผลออกมาว่า ร.อ.ธรรมนัส ได้เสียงมากสุดอันดับสอง ทำให้เจ้าตัวถึงกับยิ้ม และยกมือไหว้ขอบคุณ ส.ส.อย่างเก็บอาการไม่อยู่

ทั้งนี้ รัฐมนตรีที่ได้รับเสียงไว้วางใจมากสุดคือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ส่วนรัฐมนตรีที่ได้เสียงไว้วางใจน้อยสุดคือ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

ด้านนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ชี้แจงกรณีที่กด “ไม่ลงคะแนน” ขณะลงมติไม่ไว้วางใจ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ว่า เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ยืนยันว่า ตั้งใจโหวตไม่ไว้วางใจ 10 รัฐมนตรีทุกคน กรณีของตนนั้นอาจจะคล้ายกับ ส.ส. ของพรรคเพื่อไทยคนหนึ่งที่พยายามลงไม่ไว้วางใจ แต่เครื่องลงคะแนนมีปัญหา ซึ่ง ร.อ.ธรรมนัส เป็นคนที่ 10 ที่ต้องลงมติ โดยเมื่อตนลงคะแนนเสร็จสิ้นก็ต้องรีบออกมาแถลง ย้ำว่า “ขอให้มองตาผม ยืนยันว่าผมกดไม่ไว้วางใจ ร.อ.ธรรมนัสแน่นอน ซึ่งก็เตรียมที่จะไปยื่นอุทธรณ์ต่อสภา กับการที่เครื่องลงคะแนนเสียแบบนี้ ในฐานะหัวหน้าพรรคเป็นไปไม่ได้ที่จะลงมติแบบนั้น ยืนยันว่าเป็นความผิดพลาดทางเทคนิคร้อยเปอร์เซ็นต์”

2.“บิ๊กตู่” ยืนยันบริหารประเทศไม่ทุจริต “เงินชั่วๆ ไม่รับ” ขอบคุณสภาฯ พร้อมรับคำแนะนำไปปรับปรุงแก้ไข!


เมื่อวันที่ 16-19 ก.พ. ได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล จำนวน 10 คน ประกอบด้วย ประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย, นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกำหนดลงมติในวันที่ 20 ก.พ.

ทั้งนี้ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้าน ได้กล่าวเปิดญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยกล่าวหาว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีพฤติการณ์บริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว ผิดพลาดบกพร่องร้ายแรง ไร้ภาวะผู้นำ ทุจริต สร้างความร่ำรวยมั่งคั่งให้ตนเองและพวกพ้อง มีการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจดิ่งเหว นำสถาบันมาเป็นข้ออ้างเพื่อแบกแยกประชาชน แอบอ้างสถาบันมาเป็นเกราะปิดบังข้อผิดพลาด ฯลฯ

สำหรับประเด็นที่มีการอภิปรายใน 4 วัน ได้แก่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ได้อภิปรายกล่าวหาว่า พล.อ.ประยุทธ์, พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ มีพฤติการณ์ฉ้อฉล ทำเพื่อประโยชน์ของตนและพวกพ้องในการแต่งตั้งข้าราชการเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ และปล่อยปละละเลยให้มีบ่อนการพนันผิดกฎหมายในหลายพื้นที่จนเป็นเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงว่า ในช่วงที่ผ่านมา สามารถจัดกุมบ่อนการพนันได้เป็นจำนวนมาก มีการสอบข้อเท็จจริง สั่งย้ายเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ 51 ราย รวมทั้งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงด้วยว่าได้รู้เห็นเป็นใจ หรือปล่อยปละละเลยให้มีบ่อนการพนันหรือไม่ หากพบ ต้องลงโทษสถานหนักเช่นกัน “ผมยืนยันว่า บาทเดียวก็ไม่เกี่ยวข้อง เงินชั่วๆ ไม่รับ รับแต่สิทธิประโยชน์ของผมตามกฎหมายเท่านั้น”

นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า พล.อ.ประยุทธ์ ล้มเหลวและบกพร่องในการบริหารราชการแผ่นดิน ฯลฯ กล่าวหาว่า กระทรวงกลาโหมใช้จ่ายงบไม่โปร่งใส เช่น การจัดซื้อเครื่องแต่งกายทหาร 

ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงว่า ตนได้ย้ำเตือนตลอดว่า การจัดซื้อจัดจ้างต้องโปร่งใส มีประสิทธิภาพและตรวจสอบได้ พร้อมยืนยัน ตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ ดังนั้น อย่ามากล่าวอ้างว่าได้รับผลประโยชน์จากตรงนี้ บอกวาเงินอะไรก็ตามที่ไม่สุจริต ไม่รับทั้งสิ้น

ด้านนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายกล่าวหาว่า มีการบริหารวัคซีนโควิดที่ผิดพลาด เอาประชาชนไปกระจุกความเสี่ยงอยู่กับวัคซีนเพียงเจ้าเดียว ไม่สนใจคำแนะนำของบุคลากรทางการแพทย์ ขาดความโปร่งใส ทำให้วัคซีนล่าช้า ฯลฯ 

ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงว่า ตนไม่ได้มีอำนาจสั่งการทั้งหมด ต้องฟังหมอ ผู้มีประสบการณ์ และกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้รับวัคซีนเร็วที่สุด ...ไม่อยากให้ใช้วัคซีนเป็นปัญหาการเมือง ขอให้ระมัดระวังและรับผิดชอบด้วย ที่จองไปแล้ว อย่าให้มีปัญหา ถ้ามีปัญหา ให้จำคำพูดของพวกท่านไว้ ต้องรับผิดชอบ...

ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข ชี้แจงโดยสวนผู้อภิปรายว่า แทนที่จะปลอบใจให้กำลังใจกัน กลับนำข้อมูลตามโซเชียลมีเดีย ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ข้อเท็จจริงมาเผยแพร่ในสภาอันทรงเกียรติ ทำให้ประชาชนสับสน พร้อมยืนยันว่า ภายในเดือน ก.พ.นี้ วัคซีนล็อตแรก 2 แสนโดสจะมาถึงไทย และจะพยายามฉีดให้เร็วที่สุด ภายในเดือน มี.ค. วัคซีนล็อตที่สองจะมาถึงไทย 8 แสนโดส เดือน เม.ย.1 ล้านโดส และปลายเดือน พ.ค.หรือต้นเดือน มิ.ย. วัคซีนที่ผลิตในไทยยี่ห้อแอสตร้าเซนเนก้าไม่ใช่สยามไบโอไซเอนซ์ จะทำการส่งและฉีดให้คนไทยครบถ้วน...

ด้าน น.ส.วรรณวิภา ไม้สน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายกล่าวหานายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ว่าปล่อยปละละเลยให้เกิดการค้าแรงงาน ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 พร้อมกล่าวหาว่านายสุชาติมีความใกล้ชิดกับกลุ่มมวลชนฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลและก่อเหตุปะทะกับกลุ่มราษฎรที่มาชุมนุมหน้ารัฐสภาเพื่อสนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ซึ่งนายสุชาติยืนยันว่า ในฐานะที่เป็น ส.ส.ชลบุรีมาสิบกว่าปี หากจะมาก็ห้ามไม่ได้ แต่ไม่ได้สนับสนุนคนกลุ่มนั้น ยืนยันว่ามีความคิดเห็นต่างได้ แต่ไม่อยากให้เกิดการก้าวล่วงในสิ่งที่คนไทยรัก

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ชี้แจงเรื่องแรงงานต่างด้าวและขบวนการลักลอบหนีเข้าเมืองว่า ยังไม่เคยเห็นแผนภูมิที่มีการนำมาอภิปราย ต้องขอเวลาไปสอบสวนดูว่า เรื่องขบวนการหลบหนีเข้าเมือง ได้ดำเนินการอย่างไร เพราะเป็นการทำงานของเจ้าหน้าที่ระดับล่าง เมื่อได้รายละเอียดแล้ว จะมาชี้แจงให้ทราบต่อไป

ด้านนายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา เลขาธิการพรรคเพื่อไทย อภิปรายเรื่องทุจริตการขายถุงมือยางขององค์การคลังสินค้า (อคส.) มูลค่า 2 พันล้านบาท โดยกล่าวหาว่าเกิดขึ้นจากการกระทำของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ โดย พล.อ.ประยุทธ์ ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริต

ซึ่งนายจุรินทร์ได้ชี้แจงโดยปฏิเสธว่า ตนไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องยุ่งเกี่ยวกับโครงการนี้ทั้งสิ้น ...ต้องขออภัยที่ต้องใช้คำว่า ผู้อภิปรายโกหกหลายประการต่อที่ประชุม ...ส่วนที่บอกว่าตนไม่เคยตั้งกรรมการสอบ ไม่เป็นความจริง เพราะมีการตั้งกรรมการสอบโดย อคส.และตนก็ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ตลอด เพียงแต่ไม่ได้เป็นข่าวใหญ่โต...

ด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคเพื่อไทย อภิปรายกล่าวหานายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม บริหารราชการแผ่นดินเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มคนผูกขาดเพื่อให้มีสิทธิดำเนินงานในกิจการของรัฐ เช่น รถไฟฟ้าสายสีส้ม

ซึ่งนายศักดิ์สยามชี้แจงว่า “...อยากถามว่าเอื้อประโยชน์ใคร เพราะโครงการนี้ยังไม่ได้เปิดซอง ยังไม่ได้ตัดสินว่าใครจะชนะ ยืนยันว่า คมนาคมทำตามกฎหมาย ...นี่เป็นเรื่องที่ท่านนำข่าวมาปะติดปะต่อมาจินตนาการเองใช่หรือไม่...”

ทั้งนี้ ก่อนจบการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลของฝ่ายค้านเมื่อคืนวันที่ 19 ก.พ. พล.อ.ประยุทธ์ ได้ขอบคุณนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา และสมาชิกผู้ทรงเกียรติทุกคน โดยขอขอบคุณในคำแนะนำ และจะรับไปปฏิบัติแก้ไข ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน อะไรที่ไม่ชัดเจนทุจริต ก็จะเร่งดำเนินการแก้ไขสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป

3. เศร้า! แพทย์ไทยเสียชีวิตรายแรกจากโควิด ติดจากผู้ป่วยโยงเลี้ยงโต๊ะแชร์ มหาสารคาม พบเป็นหมอเมตตา-รักษาคนจนฟรี!



สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา เริ่มด้วยวันที่ 14 ก.พ. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 166 ราย ทั้งนี้ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวลือว่า โควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ในแอฟริกาใต้ แพร่เข้ามาในประเทศไทยแล้ว โดยยอมรับว่า พบผู้ป่วยโควิด-19 สายพันธุ์แอฟริกาใต้ในผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานกักกันโรค 1 ราย ซึ่งเป็นรายแรกในประเทศไทย เป็นชายไทย อายุ 41 ปี อาชีพรับซื้อพลอยในประเทศแทนซาเนีย ให้ประวัติว่า ประเทศดังกล่าวไม่มีผู้ติดเชื้อ จึงไม่มีใครสวมหน้ากากอนามัย

วันต่อมา 15 ก.พ. พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (ศบค.) แถลงว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 143 ราย ขณะที่ ศบค.เตรียมพิจารณาว่า ต้องปรับมาตรการกักตัวผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศจาก 14 วัน เป็น 21 วัน เหมือนกับที่ปรับการกักตัวผู้ที่เดินทางมาจากประเทศอังกฤษหรือไม่ เพราะสายพันธุ์แอฟริกาใต้มีการระบาดอยู่ในหลายประเทศ ทั้งในแอฟริกา อังกฤษ เบลเยียม สวิตเซอร์แลนด์ และหลายรัฐของสหรัฐอเมริกา ซึ่งสายพันธุ์แอฟริกาใต้ถือเป็นเชื้อกลายพันธุ์ที่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพของวัคซีน

วันต่อมา 16 ก.พ. นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 72 ราย วันเดียวกัน ผศ.นพ.โอภาส พุทธเจริญ หัวหน้าศูนย์โรคอุบัตใหม่ทางคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวในการเสวนา “ไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์มีความน่ากลัวแค่ไหน” ตอนหนึ่งได้เผยว่า รพ.จุฬาฯ ได้ตรวจพบผู้ป่วยโควิดสายพันธุ์แอฟริกาเพิ่มอีก 2 ราย ซึ่งเดินทางกลับมาจากต่างประเทศเช่นกัน และอยู่ระหว่างการรายงานเข้าในระบบ รวมแล้วมีผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์แอฟริกาใต้แล้ว 3 ราย ดังนั้นต้องมีมาตรการควบคุมอย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้สายพันธุ์นี้กระจายในประเทศไทยได้

วันต่อมา 17 ก.พ. นพ.ทวีศิลป์ แถลงว่า พบผู้ติดเชื้อโควิด-19รายใหม่ในไทย 175 ราย เป็นที่น่าสังเกตว่า ณ วันที่ 17 ก.พ. จ.สมุทรสาคร พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 73 ราย ขณะที่ จ.ปทุมธานี พบผู้ติดเชื้อ 50 ราย

วันต่อมา 18 ก.พ. พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษก ศบค.แถลงว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 150 ราย ทั้งนี้ ศบค.ได้ปรับโซนสีจังหวัดและพื้นที่ควบคุมโรคโควิด-19 ใหม่ โดยพื้นที่สีแดง หรือพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ยังคงมีจังหวัดเดียว คือ สมุทรสาคร ส่วนสีส้ม หรือพื้นที่ควบคุมมี 8 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ สมุทรสงคราม นนทบุรี นครปฐม ปทุมธานี ตาก และราชบุรี

สีเหลือง หรือพื้นที่เฝ้าระวังสูงมี 14 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา สระบุรี นครนายก ฉะเชิงเทรา เพชรบุรี ระนอง ชลบุรี ระยอง ชุมพร สงขลา ยะลา และนราธิวาส ส่วนสีเขียว หรือพื้นที่เฝ้าระวัง ได้แก่ 54 จังหวัดที่เหลือ

วันต่อมา 19 ก.พ. พญ.อภิสมัย แถลงว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 130 ราย เป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ 116 ราย ผู้ที่มาจากต่างประเทศและเข้าสถานกักกันโรค 14 ราย ล่าสุด 20 ก.พ. เวลา 11.30 น. ศบค.รายงานว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 82 ราย เป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ 71 ราย ผู้ที่มาจากต่างประเทศและเข้าสถานกักกันโรค 11 ราย

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 18 ก.พ. นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แถลงว่า นพ.ปัญญา หาญพาณิชย์พันธุ์ อายุ 66 ปี แพทย์เกษียณอายุ เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด นับเป็นแพทย์รายแรกของไทยที่เสียชีวิตจากโควิด โดยมีประวัติตรวจรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 จากคลัสเตอร์โต๊ะแชร์ 3 ราย

สำหรับไทม์ไลน์ของ นพ.ปัญญา ซึ่งอยู่ที่ จ.มหาสารคาม และมีคลินิกรักษาผู้ป่วย ได้ตรวจรักษาผู้ป่วย 3 รายโดยไม่ทราบว่ามีประวัติเสี่ยง คือ วันที่ 13 ม.ค. ตรวจผู้ติดเชื้อโควิดรายที่ 11 ของจังหวัด ซึ่งมาด้วยอาการไข้ วันที่ 14 ม.ค. ตรวจผู้ติดเชื้อโควิดรายที่ 9 มาด้วยอาการไอ ไม่มีไข้ที่คลินิก และวันที่ 25 ม.ค. ตรวจรักษาผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายที่ 2 มาด้วยอาการไข้สูงที่คลินิก ซึ่ง นพ.ปัญญาได้ ส่งคนไข้ไปรับการรักษาต่อที่คลินิกโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่ รพ.สุทธาเวช

ต่อมาวันที่ 28 ม.ค. ช่วงเย็นทราบว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อโรคโควิดรายที่ 2 ของจังหวัดมาตรวจรักษาที่คลินิก จึงปิดคลินิกและกลับบ้านทันที โดยได้แยกห้องนอนและเริ่มกักตัว และช่วงเช้าของวันที่ 29 ม.ค. ได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิดครั้งที่ 1 ที่ รพ.สุทธาเวช ผลไม่พบเชื้อ จึงกลับมาบ้านและกักตัวเองเช่นเดิม

วันที่ 31 ม.ค. มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ครั่นเนื้อครั่นตัว คล้ายจะเป็นไข้ วันที่ 1 ก.พ.เข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิดครั้งที่ 2 พร้อมกับมีไข้ ผลพบติดเชื้อโควิด จึงได้ถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาตัวที่หอผู้ป่วยเฉพาะโรค รพ.มหาสารคาม โดยอาการขณะนั้นยังอยู่ในเกณฑ์ดี แพทย์ได้ให้ยาและดูแลอย่างใกล้ชิด

ต่อมา ได้ย้ายไปรับการรักษาต่อที่ รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น เป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ กระทั่งเสียชีวิตเมื่อเวลา 01.30 น. วันที่ 18 ก.พ.

ทั้งนี้ นพ.ปัญญา หาญพาณิชย์พันธุ์ ถือเป็นแพทย์ที่มีจิตใจเมตตา โอบอ้อมอารี กระตือรือร้นที่จะรักษาผู้ป่วย เมื่อเกษียณอายุราชการจากโรงพยาบาลมหาสารคาม ได้ประจำอยู่คลินิกของตนเอง มีผู้ป่วยมาตรวจรักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคุณหมอสามารถจดจำคนไข้ได้ทุกคน หากเจอคนไข้นอกคลินิกก็จะมีการถามสารทุกข์สุกดิบ และพูดคุยอย่างเป็นกันเองเสมอ

หลังการเสียชีวิตของ นพ.ปัญญา ได้มีผู้ป่วยที่เคยรักษากับคุณหมอ นำดอกไม้ไปวางไว้อาลัยการจากไปของคุณหมอที่หน้าคลินิกปัญญาการแพทย์เป็นจำนวนมาก โดยผู้ป่วยบางราย เล่าว่า นพ.ปัญญาเป็นหมอที่ใจดีมีเมตตา เวลาเจอคนไข้นอกสถานที่ ก็จะทักทายถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง ในการรักษา ถ้าผู้ป่วยคนไหนไม่มีตังค์ คุณหมอก็ไม่คิดค่ารักษา การจากไปของคุณหมอจึงทำให้ผู้ป่วยใจหายและเสียใจกันมาก

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. 63 ซึ่งมีการระบาดรอบใหม่ของโควิด-19 มีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อโควิดแล้ว 36 คน โดยกระจายอยู่เกือบทุกสหวิชาชีพ ที่มากที่สุดคือพยาบาล ส่วนใหญ่มีปัจจัยจากการสัมผัสหรือใกล้ชิดกับผู้ป่วยติดเชื้อ

4. ศาลพิพากษาจำคุก “ดีเจมะตูม” 1 เดือน ปรับ 1 หมื่น รอลงอาญา 1 ปี จัดปาร์ตี้วันเกิดแพร่โควิด!



เมื่อวันที่ 19 ก.พ. ที่ศาลแขวงพระนครใต้ อัยการสำนักงานอัยการคดีศาลแขวง 4 ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องด้วยวาจานายเตชินท์ พลอยเพชร หรือดีเจมะตูม อายุ 31 ปี ความผิดตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 4, 5, 7, 9, 18, 19 และประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรฯ

โดยอัยการยื่นฟ้องด้วยวาจาสรุปว่า ระหว่างวันที่ 9-10 ม.ค.2564 เวลากลางคืน ซึ่งอยู่ในช่วงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน นายเตชินท์ จำเลย กับนายพรศักดิ์ อัจฉริยะประดิษฐ์, นายจารุกิตติ์ ศรีสวัสดิ์, นายกิตติ์ธเนศ บุญยชัยธนรัตน์, น.ส.ชุติมา สินวิโรจน์, นายกษิภัท ถิระวรรณธร กับ น.ส.จิราภรณ์ มหาวัตรและพวกอีก 27 คน ซึ่งหลบหนียังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันกินเลี้ยงฉลองวันเกิดของจำเลย ที่บริเวณห้องพัก โรงแรมบันยันทรี ถนนสาทรใต้ เขตสาทร กทม. อันเป็นการรวมกลุ่มกันของคนจำนวนมากถึง 34 คน ในห้องพักซึ่งเป็นห้องที่ปิดมิดชิด ทั้งยังมีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งทำให้การควบคุมสติลดลง จนไม่มีการรักษาระยะห่างระหว่างกัน และไม่มีการสวมหน้ากากอนามัย อันเป็นการร่วมกันชุมนุมทำกิจกรรมหรือมั่วสุมกันในสถานที่แออัดในเขตพื้นที่ที่ได้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ต่อมาวันที่ 19 ก.พ. จำเลยเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ

อย่างไรก็ตาม จำเลยกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำ แต่ขาดความรับผิดชอบต่อส่วนรวมในการป้องกันและควบคุมมิให้โรคระบาดแพร่ออกไปในวงกว้าง ซึ่งหลังจากงานเลี้ยงวันเกิดของจำเลย มีผู้ติดเชื้อไวรัส โควิด-19 จากเหตุการณ์ดังกล่าวทั้งสิ้น 9 คน รวมทั้งตัวจำเลยด้วย แต่คณะผู้สอบสวนโรค สำนักอนามัย ไม่ได้เปิดเผยชื่อผู้ติดเชื้อทั้งหมด เนื่องจากเป็นความลับตามกฎหมาย จึงขอให้ศาลลงโทษจำเลยสถานหนัก เพื่อให้เข็ดหลาบ ในชั้นสอบสวน จำเลยให้รับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา

ทั้งนี้ ก่อนเริ่มพิจารณา ศาลได้สอบถามจำเลยเรื่องทนายความ จำเลยไม่มีและไม่ต้องการทนายความ ศาลจึงอ่านอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง โดยอธิบายสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย ตลอดจนแนวทางทางในการบรรเทาความเสียหายแก่ผู้เสียหาย (ถ้ามี) ด้านจำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา

ศาลจึงพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 9, 18 ประกอบมาตรา 83 จำคุก 2 เดือน ปรับ 20,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 เดือน และปรับเงิน 10,000 บาท แต่ไม่ปรากฏว่า จำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี ให้คุมความประพฤติจำเลย โดยจำเลยต้องมารายตัวต่อเจ้าหน้าที่คุมประพฤติ 3 เดือนต่อครั้งในกำหนด 1 ปี และห้ามมิให้จำเลยร่วมชุมนุมหรือทำกิจกรรม หรือมั่วสุมในสถานที่แออัดในลักษณะเช่นเดียวกับการกระทำความผิดในคดีนี้ ภายในกำหนด 3 เดือน หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา ม.29, 30

5. ครม.เห็นชอบ “ม.33 เรารักกัน” แล้ว ด้าน “แม่-ลูก” ป้อนข้าว รอลงทะเบียนเราชนะ คนแห่บริจาคช่วยยอดเงินทะลุ 7 ล้านแล้ว!



เมื่อวันที่ 15 ก.พ. กระทรวงการคลังได้เปิดให้ผู้ที่ต้องการลงทะเบียนมาตรการ “เราชนะ” เพื่อรับเงินเยียวยา 7,000 บาท แต่ไม่มีสมาร์ทโฟน รวมทั้งประชาชนผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ และผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ตได้ สามารถลงทะเบียนได้ที่สาขาธนาคารกรุงไทย หรือจุดบริการเคลื่อนที่ ตั้งแต่วันที่ 15-25 ก.พ. ซึ่งปรากฏว่า ประชาชนจำนวนมากในแต่ละจังหวัด ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ได้ไปต่อคิวลงทะเบียนที่สาขาของธนาคารกรุงไทย โดยต้องใช้บัตรประจำตัวประชาชนแบบสมาร์ทการ์ด เพื่อยืนยันตัวตน

วันเดียวกัน นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุม ครม.ได้เห็นชอบมาตรการเยียวยาให้ผู้ประกันตนมาตรา 33 โครงการ “มาตรา 33 เรารักกัน” เพื่อแบ่งเบาภาระค่าครองชีพจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จำนวน 4,000 บาท ที่คาดว่ามีผู้ประกันตนเข้าร่วมโครงการได้ 927,000 คน วงเงินงบประมาณ 37,100 ล้านบาท โดยสำนักงานประกันสังคมเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ ซึ่งจะเปิดให้ผู้ประกันตนมาตรา 33 เริ่มลงทะเบียนได้ทาง www.ม33เรารักกัน.com ในวันที่ 21 ก.พ.-7 มี.ค. จากนั้นระบบจะทำการตรวจสอบคัดกรองถึงวันที่ 14 มี.ค. และให้กดยืนยันตัวตนเพื่อใช้งานตั้งแต่วันที่ 15-21 มี.ค.และเริ่มได้รับเงินสัปดาห์แรกผ่านแอปพลิเคชั่น เป๋าตัง วันที่ 22 มี.ค. 29 มี.ค. 5 เม.ย. และ 12 เม.ย. ให้ใช้จ่ายได้ตั้งแต่เดือน มี.ค.-พ.ค.

นายอนุชา กล่าวด้วยว่า สำหรับโครงการเราชนะ ได้เปิดให้ผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานอื่นของรัฐ ทั้งลูกจ้างเหมาของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ที่ทำการจ้างผ่านบริษัท ลูกจ้างรายวัน รวมทั้งอาสาสมัคร อาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน สามารถเข้าร่วมโครงการได้เช่นกัน

เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 17 ก.พ. ซึ่งเป็นวันที่สามของการเปิดให้ประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟนลงทะเบียนรับเงินเยียวยาโครงการเราชนะ ปรากฏว่า ที่หน้าแบงก์กรุงไทย สาขาท่ามะเขือ-คลองขลุง อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร ได้มีตายาย 2 คน ทราบภายหลังว่า ชื่อ นางน้อย เอี่ยมสะอาด อายุ 81 ปี และนายจำเนียร เอี่ยมสะอาด อายุ 62 ปี ลูกชาย ได้มานั่งรอเพื่อลงลงทะเบียนเป็นวันที่สาม หลังจากเดินทางมา 2 วันแล้ว แต่ยังไม่ได้คิวลงทะเบียน เนื่องจากมีคนรอลงทะเบียนจำนวนมาก

ซึ่งได้มีผู้โพสต์ภาพของตายายทั้งคู่ผ่านโลกโซเชียล เป็นภาพของตายายนั่งกับพื้น แม้จะมีเก้าอี้สำหรับประชาชนที่นั่งรอลงทะเบียน และมีจังหวะที่ยายกินข้าว และป้อนข้าวให้ตาด้วย ทำให้กระแสโซเชียลอดรู้สึกเห็นใจและสงสารตายายไม่ได้ ยิ่งภายหลังได้ทราบว่า ตายายต้องขี่มอเตอร์ไซค์พ่วงข้างออกจากบ้านตั้งแต่เที่ยงคืน และมาถึงหน้าธนาคารกรุงไทยตอนตี 3 ด้วยหวังว่าจะได้คิวลงทะเบียนเราชนะ พร้อมห่อข้าว หอบผ้าห่มมาด้วย ยิ่งทำให้โลกโซเชียลสงสารจับใจ

เมื่อสื่อมวลชนมีการลงเลขบัญชีของตายาย จึงมีการบริจาคให้ตายายอย่างล้นหลาม เพียงข้ามวัน ก็มีเงินบริจาคเข้าบัญชีตายายถึง 5 ล้านกว่า ก่อนจะขึ้นเป็น 7 ล้านกว่า ซึ่งคาดว่า ตัวเลขจะยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามกระแสในโลกโซเชียล

วันต่อมา 18 ก.พ. นายสดุดี พุทธัง นายอำเภอคลองขลุง นางสุนันทา สุขสาสุณี นายก อบต.วังไทร พร้อมด้วยกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่สายตรวจประจำตำบลได้นำเงินช่วยเหลือจากกิ่งกาชาดอำเภอคลองขลุงไปมอบแก่นางน้อย โดยพบว่า ตายายสองแม่ลูกอาศัยอยู่ในบ้านชั้นเดียวบนเนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน ที่ด้านหลังทำเป็นไร่ปลูกมันสำปะหลัง โดยอาศัยอยู่กันเพียง 2 คน เช้าวันนี้ (18 ก.พ.) ลูกสาวอีกคน คือ นางเล็ก บุญทัด อายุ 60 ปี ได้เดินทางจากต่างจังหวัดกลับมาบ้านด้วย

ทั้งนี้ ทางฝ่ายปกครองได้หารือปรึกษากับครอบครัวนางน้อย โดยตกลงกันจะให้ทางอำเภอเป็นผู้ดูแลบัญชีและวันจันทร์จะไปปรับสมุดอีกครั้ง พร้อมขอเบิกออกมาก่อนจำนวน 20,000 บาท เพื่อที่จะพานายจำเนียร ไปพบแพทย์ให้รักษาอาการปวดหลังเดินหลังค่อม จากนั้นก็จะให้ทางอำเภอ นายก อบต. และผู้ใหญ่บ้านได้ร่วมกันบริหารจัดการเงินในบัญชี เบื้องต้นจะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันส่วนหนึ่ง และนำไปก่อสร้างเพิ่มเติมบ้านที่อยู่อาศัยให้ได้รับความสะดวก และส่วนสุดท้ายก็จะบริหารจัดการเก็บเงินไว้เพื่อความมั่นคงต่อไปในอนาคต


กำลังโหลดความคิดเห็น