จากความคาดหวังเล็กๆ ที่กะจะเรียกเสียงฮาให้กับผู้ชมในฮอลล์เพียงแค่นั้น แต่กลายเป็นว่า “จีจี้-ณัฐกุล พิมพ์ธงชัยกุล” หนึ่งในสมาชิกวงบีเอ็นเคโฟร์ตีเอต กลายเป็นผู้ชนะกิจกรรมการเป่ายิ้งฉุบ หรือ จังเก้น ทัวร์นาเม้นต์ ครั้งแรกของทาง 48 กรุ๊ปของเมืองไทย ซึ่งรางวัลชนะเลิศ แปรสภาพมาเป็น เจ้าของตำแหน่งเซ็นเตอร์ของซิงเกิลผลงานอัลบั้มที่ 3 ของวง อย่าง ‘Warota People’ (หัวเราะเซ่ !!!) ที่พร้อมจะสร้างความป่วนและมีความสนุกสนาน ให้กับใครหลายๆ คน ได้แล้วด้วยเช่นกัน
อยากให้เราช่วยพูดถึงตัวเองในช่วงก่อนที่จะเข้ามาในวงหน่อยครับ
ก็เป็นเด็กธรรมดาที่เรียนโรงเรียนมัธยมปกติทั่วไป คือถ้าไม่ได้มาเป็นสมาชิก BNK48 ก็คงจะเป็นเด็กนักเรียนทั่วไป อาจจะมีทำกิจกรรมบ้างเล็กน้อย เพราะว่าในตอนนั้น เราจะทุ่มเทในเรื่องการเรียนมากกว่า ตอนแรกสุด เราอยากเป็นวิศวกรไฟฟ้า คือตอนแรกเราไม่ได้เรียนวิชาคณิตศาสตร์เก่งเท่าไหร่ แต่ไปเจอครูท่านหนึ่งที่เรียนพิเศษมา ซึ่งเขาก็ทำอาชีพนี้ แล้วสอนเราให้เก่งวิชาเลขมากขึ้น แล้วพอไปเรียนที่โรงเรียน เราก็เรียนรู้เรื่องมากขึ้น จนทำให้เราชอบวิชานี้มากขึ้น จนเรารู้สึกว่ามองเขาเป็นไอดอลของตัวเอง และอยากที่จะเก่งแบบเขาบ้าง
อีกอย่างในตอนนั้น เราก็อยู่ในช่วง ม.4 พอดี แล้วก็เลือกเรียนสายวิทย์ด้วย และคาบเกี่ยวกับตอนที่สมัครเป็น BNK48 พอดี คือตอนแรกสุด เราก็ยังไม่รู้จักวงนี้เลย แต่เราก็ชอบงานในวงการบันเทิง แล้วเราก็คิดไว้เลยว่า ที่ตรงนี้คือที่สุดท้ายที่เราจะมาสมัคร คือถ้าไม่ติด เราก็จะลุยในด้านการเรียนแบบเต็มตัวเลย แล้วก็โชคดีที่ติดเป็นสมาชิกของวงได้ จนทำให้รู้สึกว่า เรารักที่จะอยู่ตรงนี้มากกว่า ก็ขอบคุณโชคชะตามากๆ ที่ได้มาอยู่ตรงนี้ (หัวเราะเบาๆ)
แล้วก่อนที่มาออดิชั่นกับทางวง เราเคยสนใจในลักษณะอย่างนี้มาก่อนมั้ย
คือเราก็ไม่ได้เป็นคนที่มีพรสวรรค์ในเรื่องบของการเต้นหรือร้องขนาดนั้น แต่เหมือนกับเราชื่นชอบในด้านตรงนี้มากกว่า เพราะตอนที่เราไปทำการออดิชั่น เราก็ยังมีความกังวลเหมือนกันอยู่นะว่า ‘เราจะติดมั้ยนะ’ เพราะรู้สึกว่า เราก็ไม่ได้มีทักษะในตรงนี้เก่งอย่างที่บอก แต่ทางวงเขาไม่ได้หาคนที่สมบูรณ์แบบ หรือหน้าตาดีที่สุด เขาจะดูอะไรบางอย่างในตัวเรา แล้วรู้สึกว่า เราสามารถเติบโต และเป็นไอดอลที่ดีได้
นอกจากที่ว่ามาแล้ว ยังมีจุดอื่นอีกมั้ย ที่ทำให้ตัดสินใจมาออดิชั่นในวง
ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดเหมือนกันว่าจะได้เป็นสมาชิกนะคะ แต่อยากลองเป็นครั้งสุดท้ายที่เกี่ยวข้องกับวงการบันเทิง เพราะว่าก่อนหน้านั้น เราแทบจะไม่รู้จักอะไรเกี่ยวกับวงเลย รู้แค่ว่า วงเป็นคนร้องเพลง ‘คุกกี้เสี่ยงทาย’ จนได้เข้ารอบลึกๆ ก็เริ่มมาศึกษาเกี่ยวกับในวงมากขึ้น และทำการบ้านหนักมาก แล้วก็รู้สึกว่า วงนี้เป็นวงไอดอลที่ไม่เหมือนใคร แล้วหนูก็รู้สึกว่าไม่ใช่แค่ไอดอลธรรมดา เขาคือบุคคลที่สร้างกำลังใจ คือนอกจากการเต้นกับร้องแล้ว เรารู้สึกว่าเขาสามารถสร้างกำลังใจ และแพร่กระจายความสุขให้คนอื่นได้ แล้วหนูก็อยากที่จะเป็นคนๆ นั้นเหมือนกัน ในการเข้ามาตรงนี้
ก่อนหน้านั้นก็คือออดิชั่นในวงการบันเทิงมาด้วย
มันก็ไม่ขนาดนั้นซะทีเดียว จะเป็นในลักษณะนานๆ ครั้ง อาจจะมีออดิชั่นงานโฆษณาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทุ่มในด้านนี้ซะทีเดียว ตอนนั้นเป้าหมายเรายังเป็นวิศวกรไฟฟ้า อีกอย่างเราก็คิดว่างานด้านวงการบันเทิงนี้ มันค่อนข้างไกลอยู่
การที่ได้เข้ามาเป็นสมาชิกของวง มันค่อนข้างแตกต่างจากที่เราคิดว่าแตกต่างจากที่เคยคิดไว้ในก่อนหน้านี้ครับ
จากที่หนูบอกในตอนแรกค่ะ ว่าหนูรู้จักแค่ซิงเกิล ‘คุกกี้เสี่ยงทาย’ จนเราก็ไปศึกษาเพิ่มเติมอย่างที่บอก ว่าภายในวงมีกิจกรรมยังไงบ้าง ทั้งการแข่งขันต่างๆ หรือการเป็นสถานะไอดอลใช่มั้ยคะ แต่พอได้มาเป็นสมาชิกของวงเอง ก็รู้สึกว่าได้เห็นถึงมิตรภาพของสมาชิกในวง เพราะรู้สึกว่าเหมือนกับเป็นอีกครอบครัวหนึ่ง ที่แม้ว่าเขาอาจจะไม่ใช่ญาติหรือพี่น้องแท้ๆ แต่พอมีพวกเขาแล้ว เรารู้สึกว่า เหมือนเจออะไรมาด้วยกันและมันเข้าใจกัน เลยรู้สึกว่ามีความสุขที่มีพี่ๆ เพื่อนๆ และ น้องๆ สมาชิกในวง มาเป็นครอบครัวเดียวกัน
พอได้มาเป็นสมาชิกในวงซะเอง ถือว่าหนักมั้ยครับ
มันก็หนักอยู่นะคะ พอสมาชิกในวงเยอะขึ้น การแข่งขันมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างการเลือกเซ็มบัทสึในแต่ละซิงเกิลนั้น ก็เป็นส่วนสำคัญในวง หนูก็รู้สึกว่าค่อนข้างเครียดแหละ แต่ก็อย่างที่บอกว่า หนูก็อยู่กับมันได้ เพราะเป็นคนที่ถ้าคิดอะไรที่บั่นทอนจิตใจไป ก็สามารถเอามันออกมาได้เสมอ
ในอีกด้านหนึ่ง พอเข้ามาอยู่ในวงแล้ว ก็ถือว่า มีการเปลี่ยนแปลงในด้านนิสัยส่วนตัวของตัวเองด้วยมั้ย
รู้สึกว่า เวลาว่างของตัวเองคือน้อยมากๆ แล้วมันทำให้ตารางชีวิต อย่างตอนทำงานก็ชนกับเวลาเรียนหนังสือของตัวเอง ทำให้ทุกอย่างมันดูชนกันไปหมด มันก็จะมีช่วงเวลาที่เปิดเทอม แล้วเวลามันทับกันอย่างที่บอก ซึ่งเราก็รู้สึกเหนื่อยมากๆ มาตั้งแต่ตอนมัธยมแล้ว แล้วพอเป็นช่วงที่ ม.ปลาย ที่เรียนหนักด้วยแล้ว ตอนนั้นก็รู้สึกว่าเกือบตายเหมือนกัน เรียกว่าไม่มีทั้งเวลาว่างและเวลานอนเลย รู้สึกว่าผ่านมาได้ แม้ว่าตอนนี้เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว จะผ่อนคลายขึ้น แต่เหมือนพอเจออะไรที่หนักมาแล้ว พอมาเจอตรงนี้แล้ว
คือเพื่อนในวงหลายๆ คน ไปสอบเทียบกัน ซึ่งตอนแรกเราก็มีความคิดว่าจะไปสอบเทียบ GED เหมือนกันนะ แต่หนูเป็นคนที่ชอบเรียนกับเพื่อน แล้วมีความผูกพัน แล้วมีความรู้สึกว่า ช่วงเวลา ม.ปลาย มันไม่มีทางย้อนกลับมาเรียนกับเพื่อนแบบนี้ได้อีก แล้วตัวเองเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความทรงจำหลายๆ อย่าง เลยทำให้หนูอดทนเรียน ม.ปลาย 3 ปีกับเพื่อน ซึ่งพวกเขาก็เป็นพลังที่ช่วยจากเวลาที่เราเหนื่อยจากงาน แล้วไปเรียน เราก็รู้สึกผ่อนคลายเวลาเจอเพื่อน แต่ถ้า GED ก็เหมือนกับตัดสังคมตรงนี้ออกไป เราเลือกความทรงจำตรงนี้ เราก็ต้องอดทน
นับตั้งแต่ที่ตัวเองติดเซ็มบัทสึตั้งแต่ ‘ฤดูใหม่’ จนมาถึง ‘hashire penguin’ ได้มองเห็นพัฒนาการของตัวเองยังไงบ้างครับ
รู้สึกว่าเราได้รับโอกาสที่มากขึ้นดีกว่า จากทั้งออฟฟิเชียลและแฟนคลับที่เปิดใจยอมรับมาติดตามเรามากขึ้นก็รู้สึกขอบคุณ เพราะว่า เอาจริงๆ ตั้งแต่ที่ติดเซ็มบัทสึ เราก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะติดเซ็มฯ แต่ถ้าประหลาดใจที่สุด น่าจะเป็นซิงเกิล ‘จาบาจา’ เพราะเป็นซิงเกิลที่เราติดเซ็มฯ แล้วสะท้อนถึงความอดทน มุ่งมั่น และ ยอมแลกกับอะไรหลายๆ อย่าง เรียกว่าเป็นก้าวแรกอย่างเป็นทางการดีกว่า แล้วก็เป็นซิงเกิลที่มีพลัง และอยากทำทุกสิ่งในวงให้มันดีขึ้นไปอีกค่ะ
แล้วช่วงที่ประกาศเซ็มบัทสึในแต่ละซิงเกิล ถือว่ามีความบั่นทอนบ้างมั้ย
เรียกว่าเตรียมใจดีกว่า เพราะว่า เราก็รู้สถานะตัวเองพอสมควรมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่า ตัวเองไม่ได้มีกระแสหรือบูมขนาดนั้น แต่พอเป็นอย่างงั้นแล้ว เราก็ไม่ได้บอกตัวเองนะคะว่าจะต้องดังนะ แล้วยิ่งเป็นกระแสจากทางโลกออนไลน์ต่างๆ ที่คนอื่นจะพิมพ์อะไรมาก็ได้ หนูเลือกที่จะเสพข่าวแล้วมาปรับปรุงตัวเองตลอด อย่างเช่น ถ้าเต้นไม่แข็งแรงก็ฝึกเต้น หรือ หนูร้องเพลงเพี้ยนก็มาฝึกร้องให้ดี แล้วเวลามาสายพิธีกรในตู้ปลา (ดิจิตอล ไลฟ์ สตูดิโอ ของ BNK48) เวลาที่มีแฮชแท็กถึงเรา เช่นว่า ทำไมวันนี้น้องพูดเร็ว เป็นต้น เราก็จะเลือกเก็บแต่สิ่งดีๆ แล้วมาพัฒนาตัวเอง จนวันนี้หนูรู้สึกว่า นำคำติชมมาปรับปรุงและพัฒนาจนเป็นตัวเองในวันนี้ มีการเติบโตขึ้น และเป็นจีจี้ที่ดีขึ้นละกันค่ะ (ยิ้มและหัวเราะเบาๆ)
คือบางอย่าง เราก็ต้องรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นด้วยในความรู้สึกหนูนะ เพราะว่า ถ้ามองจากข้างนอก เราก็ไม่เห็นตัวเอง คนมองจากข้างนอกก็จะเห็นเรา แล้วเขาบอกเรา เราก็ยอมรับฟัง ซึ่งถ้าเป็นอะไรที่เราพัฒนาให้ได้ เราก็ยินดีที่จะทำ เพราะรู้สึกว่าเราเป็นคนที่คิดบวกระดับหนึ่ง ไม่งั้นอาจจะดาวน์ได้ เนื่องจากเราอยู่ในตรงนี้เนอะ ต้องมีอะไรมาช่วยเราหน่อย
อย่างในเรื่อง Performance ต่างๆ ถ้าสมมุติว่ามีอยู่ 10 คะแนน ตอนนี้เราอยากจะให้ตัวเองที่เท่าไหร่
(นิ่งคิด) ขอให้ 8 คะแนน ส่วน 2 คะแนนที่หักไป รู้สึกว่าทุกโชว์มันยังไม่มีความสมบูรณ์แบบ แล้วสิ่งนี้ในแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน แล้วหนูก็คิดว่ายังไงมันก็ไม่เต็ม 10 อยู่แล้ว แล้วจริงๆ มันก็อยู่ที่คนมองนะ ถ้าเป็นแฟนคลับมองเราในตอนนี้ หนูว่า บางคนก็อาจจะให้ 9 คะแนน เพราะเห็นพัฒนาการของเรามาตั้งแต่แรก ที่มาถึงขนาดนี้ก็ดี แต่คนที่เพิ่งมาตาม อาจจะให้แค่ 7 คะแนน เพราะว่า น้องอาจจะยังเต้นไม่แข็งแรงขนาดนั้น ก็รู้สึกว่าแล้วแต่คนมอง แต่คะแนนที่ให้ตัวเองก็อย่างที่บอกค่ะ เพระเราก็รู้สึกว่า ทำอะไรก็เต็มที่มากๆ ส่วนที่หักไป 1 คะแนน คือความผิดพลาด อีก 1 คะแนน มาจากที่เรารู้สึกว่ายังเต้นไม่ค่อยแข็งแรง แต่หนูก็ตั้งใจแล้วนะทุกคน (หัวเราะเบาๆ)
อยากให้จีจี้เล่าถึงช่วงตั้งแต่เริ่มต้น จนจบการแข่งขัน ของกิจกรรมจังเก้น (เป่ายิ้งฉุบ) มาพอสังเขปหน่อยครับว่า มีความรู้สึกยังไงบ้าง
พอรู้ว่ามีงาน Janken Tournament ใช่มั้ยคะ ก็รู้สึกว่าเป็นงานที่หนูไม่อยากเข้าร่วมที่สุด เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีเรื่องดวง ตั้งแต่เข้าวงมาจนถึงก่อนช่วงนั้น คือแฟนคลับก็จะรู้ดีว่าเราไม่มีดวงเลย ทุกคนก็จะคอยให้กำลังใจเราว่าไม่เป็นไรนะ หรือ ก็คงมีงานหน้าที่สามารถติดเซ็มได้ ซึ่งเราก็ขอบคุณแฟนคลับทุกคนที่เข้าใจ แต่ถึงช่วงก่อนจะเริ่มแข่งจริง มันจะมีรอบรันทรูก่อน เราก็ขึ้นไปซ้อม แล้วก้ลงมาพูดคุยกับเพื่อนๆ สมาชิกวง ว่า ‘คนที่ได้มันต้องขนาดไหนนะ’ เพราะว่ามันต้องแข่งหลายรอบมาก กว่าจะเป็น janken queen ได้ เรารู้สึกนับถือใจมากๆ นะ กับคนที่ได้ เป็นคนที่มีดวงจริงๆ
แต่พอปรากฏว่ามาเป็นตัวเองจริงๆ เราไม่ได้ยินอะไรเลย โดยเฉพาะในช่วงท้ายๆ รอบลึกๆ พิธีกรอย่าง พี่กันต์ (กันตถาวร) พูดอะไรมาก็ไม่รู้เรื่องแล้ว แล้วอย่างชุดที่หนูแต่งมา ก็กะเรียกเสียงฮา แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรเลย ได้หรือไม่ได้ก้ไม่เป็นไร อย่างน้อยแฟนคลับก็ยิ้มมุมปาก แต่สุดท้ายก็ยังมีความตลกอยู่ดี เพราะว่าช่วงที่เราต้องไปนั่งบนที่นั่งบัลลังค์ ปรากฏว่ามันนั่งไม่ได้ ซึ่งจังหวะที่เรากำลังเดินไปที่นั่ง ก็มีการคิดในใจอยู่ว่า จะนั่งยังไงดี เพราะว่าคนดูเต็มฮอลล์แล้วก็เขินด้วย พอนั่งไปแล้ว ขามันก็ลอยขึ้นมา ซึ่งขนาดที่งานที่ตัวเองเป็นเซ็นเตอร์ ก็ถือว่าเป็นภาพจำอยู่ดี (หัวเราะ) ซึ่งจำได้ว่า ทั้งฮอลล์เงียบมากเลย และลุ้นว่าจะนั่งยังไง ปรากฏว่านั่งได้ค่ะ แต่มันจะตลกนิดนึง
จากตอนที่บอกว่าไม่ชอบการแข่งขัน แล้วพอมาอยู่ในสถานะแบบนี้ ค่อนข้างซีเรียสและกดดันด้วยมั้ยครับ
เรียกว่าไม่ซีเรียสดีกว่า หนูว่ามันเป็นเรื่องของดวง อย่างที่บอกว่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แล้วแต่ดวงตามที่เราทำมา แต่ช่วงที่เป่าชนะในรอบแรกๆ ก็คิดเล่นๆ ว่า คงฟลุ้คแหละ อย่างน้อยก็ผ่านรอบแรก แต่พอชนะมาเรื่อยๆ เราก็เริ่มงงๆ นะ แล้วก็จำไม่ได้ด้วยว่าออกอะไร พอหนูขึ้นไปปุ๊บ เราก็รู้สึกว่า เราอยากจะออกแบบนี้ แล้วเราเชื่อสัญชาตญาณตัวเองว่า จะออกเป็นอะไรก็ออกตาม แล้วเราก็ทำแบบนี้ทั้งงานเลย จนได้รับชัยชนะแบบงงๆ เหมือนกัน
จนกระทั่งพอได้มาเป็นผู้ชนะการแข่งขันครั้งแรกของกิจกรรมแล้ว นอกจากคำว่า ‘ช็อค’ แล้ว ยังมีความรู้สึกอะไรเพิ่มเติมมั้ยครับ
หลังจากความรู้สึกนั้นแล้ว ก็คิดนะคะว่าพูดอะไรดี (หัวเราะ) แล้วหนูจำได้ว่าคนที่ชนะต้องไปนั่งที่บัลลังค์นะ นั่งเสร็จแล้วมาพูดด้วย ว่าพูดอะไรก็ได้ อย่างที่เคยบอกไปว่า ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะได้ แต่ก็แบบว่า งานเข้าแล้วจะพูดอะไรดี ตอนนั้นก้รู้สึกกดดันแล้ว แต่ก็พูดโดยรวมไปว่า ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย ก็คือพูดจากใจเลย คือก็มีความตื่นเต้นตรงนั้นด้วย บวกกับเราไม่ได้ยินอะไรเลย ทำให้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่มีคำหนึ่งที่แว้บเข้ามา ตอนนั้นเรายังไม่มั่นใจในตัวเองมากๆ ที่อยู่ดีๆ เราได้ไปเป็นเซ็นเตอร์เลย เราก็มีความรู้สึกอย่างที่บอก แต่ก็มีการเถียงกับตัวเองในใจก่อนพูดอยู่นะคะ ว่าถ้าเราไม่มั่นใจ แล้วใครจะมามั่นใจในตัวเรา หนูก็เลยพูดไปว่า หนูคิดว่าหนูทำได้ จะทำให้ทุกคนเห็นว่าเราทำได้ ก็เลยมั่นใจในตัวเองก่อนที่แฟนคลับมั่นใจในตัวเรา
แน่นอนว่า พอขยับมาเป็นเซ็นเตอร์ของซิงเกิล ที่ตัวเราบอกว่า ไม่ได้คาดหวังว่ามาเร็วขนาดนี้ นอกจากความกดดันแล้ว ยังมีความรู้สึกยังไงต่อบ้างครับ
การเป็นเซ็นเตอร์ของซิงเกิล หนูรู้สึกว่าต้องมีความรับผิดชอบในเพลงที่จะสื่อออกมาให้คนรู้สึกยังไงกับเพลงนี้ ตรงนี้หนูรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ยาก อย่างเพลงนี้ ที่มีลักษณะคือความเป็นตลกหน้าตายแล้วต้องทำให้ทุกึคนเห็นแล้วยิ้มเวลาที่ดูมิวสิควีดีโอเพลงนี้ เราก็พยายามคิดกิมมิคเล็กๆ อย่างทำหน้าตายตอนเต้น แล้วตอนจบก็เป็นท่ายิ้ม ทีทุกคนช่วยกันคิดออกแบบกันมา แล้วทำยังไงให้ทุกคนที่ดูเอ็มวีรู้สึกยิ้มและหัวเราะตามชื่อเพลงภาษาไทยที่เราตั้งไว้
ตอนที่ได้โจทย์เป็นเพลงนี้ ความรู้สึกแรกเป็นยังไงครับ
ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าเหมาะกับเรา แต่พอมีการแปลเป็นเนื้อไทย หรือ ในเรื่องของท่าเต้น ซึ่งถ้าเพลงนี้ไม่ใช่ของเรา ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นของใครแล้วแหละ (หัวเราะเบาๆ) เพราะว่ามันค่อนข้างแหวกแนวจากผลงานที่ผ่านๆ มาของทั้ง BNK48 และ CGM48 ก็รู้สึกว่าก็เป็นอะไรที่เปิดโลกดี เป็นเซ็นเตอร์แบบสายป่วน ก็เป็นภาพจำที่ใครหลายๆ คน จำเราได้ เวลาเปิดเพลงนี้ ว่าต้องจีจี้ดีค่ะ (หัวเราะเบาๆ อีกครั้ง) แต่คือไม่ได้เซอร์ไพรส์ คือหนูงงค่ะ ว่ามันเป็นเพลงอะไร เพราะว่าเราไม่รู้จัก เพราว่ามันมาจากวง NMB48 ซึ่งปกติแล้ว เราจะนำเพลงมาจาก AKB48 แล้วเราก็คิดไม่ถึงว่า ทางออฟฟิเชียลจะนำเอาเพลงนี้มา เราก็เลยทำการบ้านอย่างหนักหน่วงมาก ประมาณว่า หลังจากที่ทราบว่าเป็นเพลงนี้ปุ๊บ เราก็ศึกษาเกี่ยวกับเพลงนี้เลย ทั้งตัวเพลงและท่าเต้น จนพอศึกษาไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่ามันแปลกดีเนอะ เรารู้สึกว่ามันท้าทายจากเพลงก่อนหน้านี้ เราก็เลยรู้สึกตื่นเต้นมากว่า เขาจะทำการตัดเอ็มวีว่าเป็นอย่างไร รู้สึกว่ามันโบ๊ะบ๊ะดี แล้วก็อยากจะให้เป็นเอ็มวีที่มีเสียงหัวเราะ อย่างที่เราเคยบอกไว้ตั้งแต่ตอนที่เข้าวงว่า อยากให้ทุกคนที่ได้ฟังมีความสุข แล้วเพลงนี้ก็ตรงกับที่เราต้องการจะสื่อให้ทุกคน
เหมือนจะค่อยๆ เผยอีกมุมหนึ่ง ของทั้งตัววงเองและตัวคุณเองด้วย
จริงๆ ถ้าใครรู้จักวงเรา หรือทั้ง 48 กรุ๊ป ก็จะรู้ว่าเราได้ทุกสายจริงๆ คือเมมเบอรืในวงหลายคนนี่คือ มีความเป็นตลกธรรมชาติ น่ารัก หรือว่า สวย เท่ หรือ เปรี้ยวก็มี หนูรู้สึกว่าวงนี้ก็เป็นวงที่แบบว่า ถ้าคนไม่ได้ติดตามวง ก็อาจจะแปลกใจว่า วงเราก็มีสายนี้ได้เหมือนกัน แล้วก็อยากเปิดโลกให้ทุกคนเห็นด้วย
พอมาถึงตอนถ่ายเอ็มวี ด้วยความที่เคยบอกว่าไม่ชอบแมว แต่ต้องมาแสดงคาแรคเตอร์นี้ซะเอง เราก้าวข้ามความรู้สึกนี้ยังไง
ตอนแรกที่รู้ว่าเป็นแมว ก็คิดว่าเขาคงล้อเล่นแหละ เขาไม่เอาจริงหรอก เพราะโดยส่วนตัว เราเป็นคนที่กลัวแมวไง แต่หนูว่าเขาคงลืมว่าหนูกลัวแมว ซึ่งหนูก็ถามเหมือนกันนะว่าทำไมถึงต้องเป็นแมว ทางออฟฟิเชียลเขาก็บอกว่า แมวก็ฮิตดีนี่ คนก็เลี้ยงเยอะ หนูก็โอเค แมวก็ได้ (ทำเสียงแผ่ว) แต่เป็นแมวในแบบตัวเอง หนูก็คงไม่กลัวตัวเองนะ ก็เลยโอเค เป็นคอสตูมแมว
แล้วการทำงานโดยรวมของซิงเกิลนี้ เป็นยังไงบ้างครับ
รู้สึกว่าค่อนข้างแปลก เพราะว่า อย่างถ่ายทำเอ็มวีเพลงอื่นก่อนหน้านี้ จะเป็นความรู้สึกแบบว่า เราก็จะเต้นตามความรู้สึกแบบว่า น่ารัก ยิ้มตามเพลง แต่ซิงเกิลนี้จะทำหน้าตาย ปั่นหน่อย ซึ่งมันยากกว่า เต้นแบบยิ้มอีกนะคะ (หัวเราะเบาๆ) ซึงช่วงท้ายเอ็มวี ก็งงตัวเองเหมือนกันว่า เราจะย่อตัวเองอะไรขนาดนั้น แล้วจังหวะนั้นเราก็ไม่รู้ว่ามีคนที่อยู่ข้างหลังเรามั้ย หนูก็ย่อแบบสุดๆ เลย ย่อจนรู้สึกว่า เรากำลังทำสควอซอยู่ แล้วทำอยู่อย่างงั้นนานมาก กว่าเขาจะสั่งคัด ซึ่งก็ใช้เวลาอยู่ 4-5 เทค
ที่จีจี้เคยบอกว่า การทำงานในวงนี้ มันเหมือนกับเป็นขั้นบันได ถ้าให้เปรียบตัวเองในตอนนี้ คิดว่าเราอยู่ในขั้นไหนยังไงบ้างครับ
คือมันก็ไม่ได้มีแบบเป็นขั้นตายตัว แต่ก็ไม่ได้มีแบบสุดขั้น สมมุติว่า ต่อให้เราอยู่ในสถานะไหนในวงก็ตาม มันก็มีบันไดที่จะไปต่อได้เรื่อยๆ แต่เราก็ไม่กดดันตัวเองนะคะ เรียกว่าค่อยๆ ไปดีกว่า แต่ถามว่ามีสิ่งที่เราอยากทำมั้ย นอกจากการเป็นเซ็นเตอร์ของซิงเกิล ก็อยากทำอะไรที่มันท้าทายขึ้นในปีนี้ ก็อยากจะเป็นนักแสดงดูบ้าง เพราะตั้งแต่เข้าวงมา ก็ยังไม่เคยลองในทักษะนี้เลย อีกอย่างทางวงก็มีช่องทางอยู่หลากหลายรูปแบบ หนูก็อยากให้ทั้งแฟนคลับ หรือ คนที่ไม่ได้ติดตามวงเรา ได้รู้ว่า เราก็ไม่ได้จำกัดอยู่ในกรอบซะทีเดียว มีหลายอย่างที่เราทำได้ อะไรที่ทำให้ทุกคนมีความสุข หรือเป็นแบบอย่างที่ดี หรือว่าสร้างรอยยิ้ม พวกเราก็อยากทำอยู่แล้วค่ะ (ยิ้ม)
แต่ถ้าถามว่า เราอยู่ในขั้นสูงสุด นับตั้งแต่ที่อยู่ในวงหรือยัง หนูรู้สึกว่า ไม่นะคะ ยังไม่ใช่จุดสูงสุด ไม่ใช่ว่าเป็นเซ็นเตอร์แล้วหยุดเลย เราสามารถไปได้แบบเรื่อยๆ แล้วแต่โอกาสที่เราได้รับ อย่างรอบนี้ได้เป็นเซ็นเตอร์จากงานจังเก้น แต่รอบหน้า อาจจะได้เป็นเซ็นเตอร์จากแฟนคลับ หรือ จากทางผู้บริหาร เราสามารถไปได้แบบเรื่อยๆ แต่เราก็ต้องตั้งเป้าหมายไว้ เพื่อที่จะมี passion ในการทำสิ่งต่างๆ ต่อไป คอยพัฒนาตัวเอง คือถ้าเป้าหมายนี้ทำได้แล้ว เราก็จะตั้งความท้าทายใหม่ เพื่อสร้าง passion ในการฮึกเหิมไปเรื่อยๆ ค่ะ
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : ดรงค์ ฤทธิปัญญา