xs
xsm
sm
md
lg

นักวิชาการชี้ “รถเมล์” ต้นเหตุก่อฝุ่น PM 2.5 แนะทยอยใช้รถไฟฟ้าช่วยลดมลพิษ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ฝุ่นพิษ PM 2.5 ในกรุงเทพฯ จี้รัฐเร่งเปลี่ยนรถเมล์เก่า 3 พันคัน หนุนแผนฟื้นฟูฯ ขสมก. ทยอยเปลี่ยนใช้รถเมล์ไฟฟ้า ช่วยลดมลพิษ เพิ่มความปลอดภัยให้ประชาชน แนะรัฐปรับความคิดใหม่ อย่าคิดว่าลงทุนแล้วเจ๊ง เชื่อหากปล่อยรถผุพังปล่อยควันพิษ รัฐต้องเสียเงินใช้รักษาคนอยู่ดี

คนกรุงเทพฯ ยังคงต้องใช้ชีวิตเผชิญกับฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่เกินค่ามาตรฐานปกคลุมทั่วทุกพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และยิ่งน่าตกใจเมื่อข้อมูลจากแอปพลิเคชัน Air Visual ระบุว่า กรุงเทพมหานครติดอันดับ 3 เมืองที่มีคุณภาพอากาศแย่ที่สุดในโลก ซึ่งปัญหานี้ต้องยอมรับว่ามาจากหลากหลายสาเหตุ และหนึ่งในนั้นที่พูดถึงกันมากว่าเป็นตัวการสำคัญ นั่นก็คือ “รถเมล์” ที่ปล่อยควันดำทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ
 
ประเด็นนี้ยิ่งตอกย้ำเข้าไปอีก เมื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ โพสต์เฟซบุ๊กว่า ได้ทดลองนั่งรถโดยสารสาธารณะ และพบว่า มลพิษทางอากาศส่วนมากมาจากขนส่งมวลชน มากกว่ารถส่วนบุคคล ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เร่งให้กระทรวงคมนาคมจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ให้แล้วเสร็จ เพราะเชื่อว่ารถเมล์ไฟฟ้าที่อยู่ในแผนฯ จะช่วยลดปัญหาฝุ่นพิษได้
 
รศ.ดร.วันชัย รัตนวงษ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ให้ข้อมูลว่า หากพิจารณาภาคขนส่ง และภาคอุตสาหกรรมที่ปล่อยฝุ่น PM 2.5 พบว่า มีอัตราการปล่อยฝุ่นที่ใกล้เคียงกัน โดยภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ภาคขนส่งอยู่ที่ประมาณ 30-40 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งในส่วนของภาคขนส่ง ประกอบด้วย ทั้งรถโดยสารสาธารณะ และรถบรรทุก ที่เป็นตัวการสำคัญของการปล่อยควันดำออกจากท่อไอเสีย ทำให้เกิดมลพิษทำลายสุขภาพของประชาชน แต่หากพิจารณาเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะพบว่า รถโดยสารสาธารณะเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดปัญหา PM 2.5 เพราะรถบรรทุกส่วนใหญ่จะวิ่งอยู่รอบนอกเมือง
 
รศ.ดร.วันชัย กล่าวต่อว่า หากย้อนไปดูข้อมูลรถเมล์ของ ขสมก. ที่วิ่งให้บริการอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล พบว่า ปัจจุบันมีประมาณกว่า 3,000 คัน โดยในจำนวนนี้ได้ถูกเปลี่ยนจากระบบน้ำมัน มาเป็นระบบก๊าซ NGV แล้วประมาณ 400-500 คัน นอกจากนี้ ในจำนวนรถเมล์กว่า 3,000 คัน ยังพบว่าเป็นรถเมล์ที่มีสภาพเก่า และมีอายุการใช้งานมานานอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งรถเมล์เหล่านี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลจำเป็นต้องเปลี่ยนให้เป็นรถเมล์ใหม่ทั้งหมด เพราะประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ได้ลดน้อยลงไปแล้ว แต่เข้าใจว่าเนื่องจากรถเมล์ทำแล้วยังขาดทุนอยู่ จึงทำให้รัฐอาจไม่อยากเสียงบประมาณในส่วนนี้เพื่อไปลงทุน เพราะเปลี่ยนไปก็ขาดทุนอยู่ดี แต่หากคิดแบบนี้และปล่อยรถให้เก่าผุพังปล่อยควันพิษต่อไป ก็จะทำให้ประชาชนเจ็บป่วย และสุดท้ายรัฐบาลต้องเสียงบประมาณเพื่อใช้ในการรักษาคนอยู่ดี
 
“ผมเห็นด้วยกับแผนฟื้นฟูกิจการของ ขสมก. ซึ่งมีการบรรจุเรื่องการจัดหารถเมล์ใหม่ ที่เป็นรูปแบบรถเมล์ไฟฟ้า (อีวี) ไว้ในแผนพื้นฟูฯ ด้วย เพราะแม้ ขสมก. จะขาดทุนที่มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการเก็บค่าโดยสารราคาถูก แต่ก็ถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องส่งเสริม และสนับสนุนให้ประชาชนได้รับการบริการที่ดี และมีประสิทธิภาพมากที่สุด อย่างไรก็ตาม หากได้รับการสนับสนุนให้จัดหารถเมล์ใหม่เป็นระบบอีวีจริง ขสมก.ควรพิจารณาความคุ้มค่าขององค์กรด้วย หากไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และยังเก็บค่าโดยสารที่ถูกเกินไป อาจทำให้ขาดทุนเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องปรับให้สูงจนทำให้มีกำไร แต่อยากให้เป็นราคาที่เหมาะสมยอมรับได้ทั้งผู้ใช้บริการ และผู้ให้บริการ” รศ.ดร.วันชัย กล่าว
 
รศ.ดร.วันชัย กล่าวอีกว่า การเปลี่ยนรถเมล์เก่าเป็นเรื่องที่จำเป็นจริงๆ ที่ ขสมก.ควรต้องเร่งดำเนินการ แต่การจะเปลี่ยนนั้น ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนยกลอตทีเดียวทั้งหมด อาจจะทยอยเปลี่ยนก็ได้ จะได้ไม่เป็นภาระงบประมาณมากเกินไป โดยให้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญเปลี่ยนรถเมล์ที่มีอายุการใช้งานมากๆ ก่อน เพราะในหลายประเทศ เช่น ไต้หวัน รถเมล์ที่ใช้น้ำมันที่มีอายุการใช้งานประมาณ 7 ปี จะได้รับการเปลี่ยนใหม่ แต่ปัจจุบันรถเมล์ที่วิ่งในกรุงเทพฯ มีอายุกว่า 10-20 ปีแล้ว ยังไม่ได้รับการเปลี่ยนใหม่ จึงถึงเวลาแล้วที่ควรโละทิ้งและเปลี่ยนใหม่ให้เป็นรถเมล์พลังงานสะอาดทั้งหมด
 
ด้าน ดร.สุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า เชื่อว่า หากแผนฟื้นฟูฯ ขสมก. ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะเกิดประโยชน์กับทั้ง ขสมก. และประชาชน ซึ่งเท่าที่ดูเบื้องต้นในหลักการถือเป็นแผนฟื้นฟูฯ ที่ดี โดยเฉพาะการการจ้างเอกชนวิ่งรถโดยสารตามระยะทางที่ให้บริการ โดยจ่ายค่าจ้างเป็นกิโลเมตร (กม.)  เพราะ ขสมก. จะได้ไม่ต้องแบกรับภาระต้นทุนค่าซ่อมบำรุง และค่าเสื่อมสภาพของรถโดยสารจำนวนมากเหมือนในปัจจุบัน นอกจากนี้ การจัดหารถเมล์ใหม่ใช้พลังงานไฟฟ้ามาให้บริการ มั่นใจว่า จะตรงกับความต้องการของประชาชน และเพิ่มความปลอดภัยในการใช้บริการให้ประชาชน ไม่ต้องทนกับการนั่งรถเมล์ผุพัง สูดควันพิษอีกต่อไป แต่ทั้งนี้ เมื่อมีรถเมล์ใหม่แล้วควรควบคุมเรื่องคุณภาพการบริการด้วย




กำลังโหลดความคิดเห็น