รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี ม.เกษตรศาสตร์ เผยผลแล็บทดสอบน้ำสีม่วงฉีดใส่ม็อบราษฎร 63 ที่แยกเกียกกาย พบสารเคมีหลัก 5 ชนิด สารบางตัวนี้ก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ทั้งต่อดวงตา ผิวหนัง
จากกรณี กลุ่มม็อบคณะราษฎร 63 ถูกเจ้าหน้าที่ฉีดน้ำผสมแก๊สน้ำตา รวมถึงยิงแก๊สน้ำตาอย่างเป็นระยะ บริเวณแยกเกียกกายเมื่อวันที่ 17 พ.ย. ที่ผ่านมา จนทำให้มวลชนบาดเจ็บเล็กน้อย และต้องถอยร่นเข้ามาหลบตามซอกซอย อีกทั้งการ์ดของกลุ่มผู้ชุมนุมได้ระดมขอน้ำ ยาลดกรด และนม เพื่อบรรเทาอาการแสบจากแก๊สน้ำตา แต่ก็ไม่ทราบว่าเป็นสารเคมีชนิดใด ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ต่อมา เมื่อวันที่ 20 พ.ย. เฟซบุ๊ก “Weerachai Phutdhawong” หรือ รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ภาพและวิดีโอขณะนำตัวอย่างน้ำที่เก็บจากสถานที่เกิดเหตุปะทะ ณ บริเวณแยกเกียกกาย ซึ่งพบสารเคมีหลัก 5 ชนิด ในสารละลายสีม่วงนั้น โดยอธิบายว่า “ผลการวิเคราะห์น้ำที่เก็บได้จากแนวปะทะที่เกียกกาย ไม่รู้น้ำใครนะ #อนุญาตให้เผยแพร่ข้อมูลทางวิชาการนี้ทั้งภาพและคลิป น้ำที่เก็บมามีสีฟ้าออกน้ำเงินนะครับ เนื่องจากว่าปนเปื้อนกับสีที่ผู้ชุมนุมใช้สีน้ำเงิน จึงปนกันกับน้ำสีม่วง แต่อาจารย์อ๊อดนำมาสกัดด้วย DCM จนได้สารละลายสีม่วงพร้อมกับสารที่อยู่ในนั้นออกมาแยกชั้นตามภาพที่ 1-3
อาจารย์อ๊อด เอาสารละลายสีม่วงที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยเทคนิค gc-ms (Gas chromatography–mass spectrometry (GC-MS)) พบว่า สีม่วงคือ Methylviolet 2b (เมทิลไวโอเลททูบี) ซึ่งเป็นสีม่วงธรรมดา ไม่มีพิษภัยอะไร และเจอสาร สำคัญ 5 ตัว ในสารละลายสีม่วงนั้น คือ
(1) Dimethyl sulfoxide, DMSO (ไดเมททิล ซัลฟอกไซด์)
เป็นสารประกอบอินทรีย์ซัลไฟด์ มีลักษณะเป็นของเหลวไม่มีสี จุดเดือดสูง นิยมใช้เป็นตัวทำละลายและใช้เป็นสารทำความสะอาดส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ อาจทำให้เกิดการระคายเคืองถ้าได้รับในปริมาณมาก
(2) 2-Chlorobenzaldehyde (2-คลอโรเบนซัลดีไฮด์)
ลักษณะไม่มีสีหรือของเหลวใสสีเหลืองเล็กน้อย ข้อควรระวังคือ ทำให้ผิวหนังไหม้อย่างรุนแรงและทำลายดวงตา
โดย 2-Chlorobenzaldehyde ใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิต o-chlorobenzylidene malononitrile หรือ 2-chlorobenzalmalononitrile หรือ o-Chlorobenzylmalononitrile ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ในแก๊สซีเอส (CS gas) ซึ่งเมื่อโดนแก๊สน้ำตาเข้าไปแล้ว จะเกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุตาและแก้วตาดำ ทำให้มีน้ำตาไหลออกมาก เยื่อบุตาจะแดงและแก้วตาดำจะบวม ตามองไม่เห็น น้ำมูกน้ำลายไหล ไอ หายใจลำบาก เมื่อร่างกายสัมผัสกับแก๊สน้ำตามักจะเกิดอาการภายในวินาทีหรือหลายนาที อาการจะเป็นอยู่นานประมาณ 15-30 นาที ส่วนใหญ่จะหายเองภายในหนึ่งชั่วโมง
(3) 2-Chlorobenzyl alcohol (2-คลอโรเบนซิลแอลกอฮอล์) มีลักษณะเป็นผงสีขาว โดยสารตัวนี้ก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ทั้งต่อดวงตา ผิวหนัง แม้แต่การสูดดมเข้าไป
(4) 2-chlorobenzalmalononitrile (2-คลอโรเบนซัลมาโลโนไนไตร) หรือ o-Chlorobenzylmalononitrile (CS gas)
2-chlorobenzalmalononitrile หรือ o-Chlorobenzylmalononitrile ทางทหารเรียกสั้นๆ ว่า CS จัดเป็นอาวุธเคมี (chemical weapon) ที่ใช้คุมฝูงชน แต่ไม่ทำให้ถึงตาย (non-lethal chemical weapon) โดยปกติในอุณหภูมิห้อง ไม่ได้อยู่ในสถานะก๊าซ เป็นของแข็ง แต่ทำเป็นละอองได้ เหมือนสเปย์พริกไทย
(5) o-Chlorobenzylmalononitrile เป็นสารก่อการระเคืองเหมือนกันที่อยู่ใน CS gas เหมือนกัน เป็นอนุพันธ์ของสารหมายเลข (4)
สารหมายเลข 1 เป็นตัวทำละลาย เพื่อทำให้สารอีก 4 ตัวละลายรวมเป็นเนื้อเดียวกันเป็นหัวเชื้อ ส่วนสารหมายเลข 2 3 4 5 เป็นกลุ่มแก๊สน้ำตา ซึ่งใส่ตัวเดียวก็เกินพอแล้วครับแต่ใส่ไปทั้งหมด 4 ตัว
ความเข้มข้นที่คำนวณได้จากเครื่อง
(1) = 10.39 % V/V
(2) = 10.87 % V/V
(3) = 8.56 % V/V
(4) = 63.93 % V/V
(5) = 6.25 % V/V
งานวิชาการที่เกี่ยวข้อง ไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันได้แน่นอนว่า ความเข้มข้น 1% เทียบกับ 5% แก๊สน้ำตา (CS) อันไหนอันตรายกว่ากัน เนื่องจากความเสียหายส่วนใหญ่มาจากระยะในการยิง
ผลกระทบในคนได้มีการศึกษาผลของ CS smoke or aerosol and exposure via inhalation พบว่า aerosol เมื่อทำการผลิตโดยวิธี thermal dispersionที่มีขนาด 0.5um ในตัวทำละลาย methylene chloride ทำการศึกษากับอาสาสมัครเป็นเวลา 90 นาทีในพื้นที่ขนาด 0.5-1 mg/m3 พบว่า อาสาสมัครมีอาการผิวไหม้บริเวณปาก หายใจแล้วแสบ รวมถึงแน่นหน้าอก”