“รสนา” ส่งหนังสือถึงกรมศุลฯ รอบ 2 จี้ยึดนาฬิกา “ป้อมยืมเพื่อน” เข้าหลวง หลังรายงานของ ป.ป.ช.ชี้ชัดลักลอบนำเข้าโดยไม่เสียภาษี
วันที่ 16 มิ.ย. 63 น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.กรุงเทพมหานคร ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ว่า ... ยื่นหนังสือถึงกรมศุลกากรครั้งที่ 2 ให้ริบนาฬิกาผิดกฎหมายเข้าหลวง
วันนี้ดิฉันได้ส่งหนังสือถึงอธิบดีกรมศุลกากรให้ดำเนินการริบนาฬิกาหรูที่ไม่ได้เสียภาษีนำเข้าให้ตกเป็นของแผ่นดิน โดยดิฉันส่งหนังสือทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ
ดิฉันเคยยื่นเรื่องดังกล่าวเป็นหนังสือถึงอธิบดีศุลกากรคนก่อนเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2561 แต่ไม่ได้รับคำตอบกลับ บัดนี้เมื่อ ป.ป.ช.มีมติชัดเจนว่า นาฬิกาดังกล่าวเป็นสมบัติของ นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว นาฬิกาดังกล่าวจึงตกทอดไปยังทายาทของนายปัฐวาท เมื่อมีผู้ครอบครองชัดเจน และเป็นนาฬิกาที่ไม่ได้ผ่านพิธีศุลกากรอย่างถูกต้อง คือ เป็นการลักลอบนำเข้าโดยไม่เสียภาษี ดิฉันจึงทำหน้าที่ทวงถามอีกครั้งให้อธิบดีกรมศุลกากรปฏิบัติตามกฎหมายศุลกากรที่ต้องริบนาฬิกาเหล่านั้นให้ตกเป็นของแผ่นดิน
หนังสือถึงอธิบดีศุลกากรมีเนื้อหาดังนี้
“ตามที่เคยมีข่าวในสื่อมวลชนระบุว่า ทาง ป.ป.ช. แจ้งว่าไม่สามารถหาข้อมูลเจ้าของนาฬิกาที่ พล.อ ประวิตร วงษ์สุวรรณ สวมใส่จากบริษัทผู้ผลิตในต่างประเทศได้เลย จึงได้ตรวจสอบวิธีใหม่ โดยการสอบถามไปยังตัวแทนจำหน่ายในประเทศ แต่ก็ได้คำตอบว่า นาฬิกาเหล่านั้นไม่ได้ซื้อผ่านตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย ทาง ป.ป.ช. จึงตรวจสอบต่อไปยังกรมศุลกากร เนื่องจากคาดว่า นาฬิกาจะถูกนำเข้ามาผ่านทางศุลกากร แต่ก็ปรากฏว่าไม่พบข้อมูลใดๆ อีก ป.ป.ช. เห็นว่า การจงใจไม่แสดงทรัพย์สินไม่ถือเป็นความผิดทางอาญา จึงอาจทั้งเสียเวลาและไม่ได้คำตอบอยู่ดี ดังนั้น จึงเห็นว่าควรยุติการพิจารณาเรื่องนี้ไปเลยดีกว่า และ ป.ป.ช. มีมติต่อมาว่านาฬิกาทั้ง 21 เรือน ที่ พล.อ ประวิตร สวมใส่เป็นนาฬิกาที่ยืมจาก นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว และได้คืนให้ทายาทเจ้าของไปหมดแล้ว
ป.ป.ช. มีมติว่าการยืมใช้คงรูปไม่ต้องแจ้งในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่ง จึงถือว่าคดีดังกล่าวจบสิ้นลงในชั้นของ ป.ป.ช.
อย่างไรก็ตาม การที่กรมศุลกากรได้ชี้แจงต่อ ป.ป.ช. ว่าไม่พบข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับนาฬิกาดังกล่าว จึงแสดงว่า นาฬิกาที่ พล.อ.ประวิตร ยืมนายปัฐวาทมาสวมใส่เป็นนาฬิกาที่มีการลักลอบนำเข้ามาโดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร จึงเป็นนาฬิกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ศุลกากรต้องริบของนั้นไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่
ดังบัญญัติไว้ใน พ.ร.บ ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242 ว่า “ผู้ใดนำเข้ามาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร หรือเคลื่อนย้ายของออกไปจากยานพาหนะ คลังสินค้าทัณฑ์บน โรงพักสินค้า ที่มั่นคง ท่าเรือรับอนุญาต หรือเขตปลอดอากร โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานศุลกากร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ริบของนั้นไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่
ผู้ใดพยายามกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน”
จึงขอเรียนมายังอธิบดีกรมศุลกากรให้ดำเนินการริบนาฬิกาที่ไม่ได้เสียภาษีนำเข้าให้ตกเป็นของแผ่นดินโดยเร็วต่อไป และขอให้แถลงความคืบหน้าเรื่องดังกล่าวต่อสาธารณชนภายใน 30 วัน”
ดิฉันหวังว่า อธิบดีกรมศุลกากรจะไม่ปล่อยให้คดีอื้อฉาวเรื่องนาฬิกาที่ลักลอบนำเข้ามาโดยหลบเลี่ยงการเสียภาษีให้เงียบหายไปกับสายลม แต่ต้องดำเนินการริบของที่หลบเลี่ยงการเสียภาษีให้ตกเป็นของแผ่นดินตามกฎหมาย ทั้งนี้ เพื่อแสดงให้สาธารณชนเชื่อมั่นว่ากรมศุลกากรบังคับใช้กฎหมายกับประชาชนอย่างถ้วนหน้า และขอให้อธิบดีรายงานความคืบหน้าของการริบนาฬิกาหรูให้สาธารณชนได้รับทราบโดยเร็ว