บางแสน 10 ผงาดขึ้นทำเนียบงานวิ่งท็อป 3 ระยะ 10K ของเอเชีย พร้อมผลักดันชลบุรีสู่เมืองกีฬาระดับโลก
วันนี้ (25 ม.ค.63) บริษัท ไมซ์ แอนด์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด ร่วมกับ เทศบาลเมืองแสนสุข แถลงข่าวจัด “งานวิ่งบางแสน10” ภายใต้แนวคิด “The Inspiration to the World Experience” มีนักวิ่งกว่า 10,000 คน เข้าร่วมประลองฝีเท้า เป็นงานวิ่งระยะ 10K งานแรกและงานเดียวของไทยและอาเซียนที่ยื่นขอรับรองมาตรฐาน World Athletics Label Road Race และเป็นงานลำดับที่3 ของเอเชีย ต่อจากอินเดียและจีน
รัฐ จิโรจน์วณิชชากร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมซ์ แอนด์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด และในฐานะผู้อำนวยการจัดการแข่งขัน (Race Director) เปิดเผยว่า เราตั้งใจที่จะสร้างสนามบางแสน ให้เป็นที่รู้จ้กของนักวิ่งทั่วโลก จากการที่สนามรุ่นพี่อย่างบางแสน21 ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลก World Athletics Silver Label Road Race รวมทั้งสนามบางแสน42 ที่ได้ยื่นขอมาตรฐาน World Athletics Bronze Label Road Race ไปแล้วนั้น เราก็ตั้งใจที่จะผลักดันให้สนามของบางแสน10 ก้าวไปสู่สนามระดับโลก ในปีนี้เราจึงได้ยื่นขอรับรองมาตรฐาน World Athletics Bronze Label Road Race เช่นกัน ซึ่งจะทำให้ บางแสนและจังหวัดชลบุรีกลายเป็น 1 ใน 5 เมืองกีฬาของโลกที่มี Label มากถึง 3 ใบ
(ซ้ายไปขวา) รัฐ จิโรจน์วณิชชากร-ณรงค์ชัย คุณปลื้ม (นายกตุ้ย)-นายแพทย์ สิรวิชญ์ เดชธรรม
เราสร้างมาตรฐานให้กับสนามบางแสน10 เพื่อให้นักวิ่งกลุ่มใหญ่สามารถมาร่วมสัมผัสประสบการณ์งานวิ่งมาตรฐานระดับโลก โดยในปีนี้เรามีนักวิ่งอีลิทฝีเท้าระดับโลกมาร่วมแข่งขัน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ เอมมานูเอล บอร์ จากประเทศเคนย่า ที่มีสถิติระดับ 27.41 นาที ในระยะ 10K และนอกจากนี้ยังมี ยาสิน เฮยาโต้ จากประเทศเอธิโอเปีย ด้วยสถิติ 27.48 นาที มาร่วมชิงชัยในครั้งนี้ด้วย นอกจากนี้ยังมีระยะ5 กิโลเมตร ที่มีการแข่งขันในรุ่นเด็กและเยาวชน ในรุ่นอายุ10ปี 12ปี และ15 ปี ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้วิ่งในระยะที่เหมาะสมกับอายุ เพื่อฝึกฝนและก้าวไปสู่การเป็นนักวิ่งอาชีพในอนาคต รวมถึงการแข่งขันในรุ่นอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เพื่อเป็นการส่งเสริมสุขภาพและสร้างสังคมที่แข็งแรงให้กับผู้สูงวัย ทั้งหมดนี้จะเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างประสบการณ์ระดับเวิร์ลคลาสให้กับนักวิ่งทุกคน
รัฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในส่วนของการยื่นขอมาตรฐาน เราได้ทำตามข้อกำหนด World Athletics Bronze Label Road Race เช่น มีการปิดการจราจร 100% ตลอดการแข่งขัน มีการทำประกันอุบัติเหตุวงเงินรักษาพยาบาล 100,000 บาทให้กับนักวิ่งทุกคน รวมถึงมีการสุ่มตรวจการใช้สารกระตุ้น (Anti-Doping) และที่สำคัญคือมีระบบการแพทย์ฉุกเฉินที่ได้มาตรฐาน สำหรับนวัตกรรมทางด้าน AI เรายังคงนำเทคโนโลยี FaceX ทั้ง Face ID ระบบจดจำใบหน้า มาใช้เพื่อช่วยในการตรวจสอบยืนยันตัวบุคคลของนักวิ่ง ด้วยการมารับเสื้อและเบอร์วิ่งด้วยตนเองเท่านั้น เพื่อใช้ในการบันทึกและยืนยันข้อมูลสำคัญทางการแพทย์ ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินและป้องกันการเปลี่ยนตัวนักวิ่งตามกฎของ World Athletics รวมถึงระบบ Face Search ที่จะมาช่วยในการตัดสินนักวิ่งที่ได้รับรางวัล และการค้นหารูปถ่าย เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้นักวิ่งสามารถหารูปของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นงานวิ่งที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดอีกด้วย”
ณรงค์ชัย คุณปลื้ม (นายกตุ้ย) นายกเทศมนตรีเมืองแสนสุข กล่าวว่า "เทศบาลเมืองแสนสุขเล็งเห็นถึงความสำคัญของนโยบายของรัฐบาลในการให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sport Tourism) เพื่อตอบสนองนโยบายการเป็นเมืองสุขภาพดี (Healthy City) ของบางแสนและเป็นการตอกย้ำการเป็นเมืองกีฬา (Sport City) ของจังหวัดชลบุรีอย่างแท้จริง การที่งานบางแสน มาราธอน ซีรี่ส์ ทั้ง 3 งาน ได้รับมาตรฐาน World Athletics Road Race Label ถึง 3 ใบ จะทำให้ จ.ชลบุรีกลายเป็นเมืองกีฬา1 ใน 5 เมืองของโลกเทียบเท่าแมดริด บาเลนเซีย ปราก ลิสบอน ซึ่งล้วนเป็นเมืองใหญ่ของโลกทั้งสิ้น
ในส่วนของการเตรียมความพร้อม เทศบาลเมืองแสนสุข ได้มีการปรับปรุงภูมิทัศน์และพัฒนาสถานที่ เพื่อเตรียมต้อนรับนักวิ่งที่มาจากทั่วประเทศ เรามีความพร้อมในทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ การประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคประชาชน ประสานการปิดการจราจรกับทางตำรวจ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับนักวิ่ง ซึ่งขณะนี้ทุกภาคส่วนต่างร่วมมือร่วมใจกันเพื่อจะทำให้งานนี้ประสบความสำเร็จในฐานะเจ้าบ้าน ที่จะสร้างความประทับใจให้กับนักวิ่งที่มาจากทั่วประเทศและทั่วโลก ให้สมกับที่ชลบุรีเป็นเมืองกีฬา ที่จะทำให้นักวิ่งอยากจะกลับมาวิ่งที่บางแสน ซึ่งจะเป็นแนวทางสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับประเทศได้เป็นอย่างดี"
นายแพทย์ สิรวิชญ์ เดชธรรม แพทย์ผู้ช่วยบริหาร โรงพยาบาลสมิติเวช ชลบุรี ในฐานะผู้อำนวยการด้านการแพทย์ งานวิ่งบางแสน10 กล่าวว่า “เราได้เตรียมความพร้อมตามการขอรับรองมาตรฐาน World Athletics Bronze Label Road Race ซึ่งจะดูแลทั้งในเรื่องของภาวะการเจ็บป่วยและการเกิดอุบัติเหตุระหว่างการวิ่ง ซึ่งสำหรับระยะ 10 กิโลเมตรและ 5 กิโลเมตร เป็นระยะที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บได้เช่นกัน เนื่องจากเป็นระยะที่เน้นการแข่งขัน จึงมักจะวิ่งกันด้วยความเร็วสูง บางครั้งอาจเกินลิมิตของตนเอง ทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ ดังนั้นทางการแพทย์ ก็ได้เตรียมความพร้อมในการเข้าช่วยเหลือ โดยในครั้งนี้ เราจะมีจุดบริการทางการแพทย์ทุกๆ 2 กิโลเมตร และได้เพิ่มกิโลเมตรที่ 9 และ 9.5 เข้ามาด้วย ซึ่งเป็นจุดที่ทีมแพทย์คาดว่าเป็นจุดสุ่มเสี่ยงหรือจุดเพลี่ยงพล้ำของนักวิ่ง ทั้งนี้นอกจากบุคลากรทางการแพทย์แล้ว เรายังได้รับการสนับสนุนจากโรงพยาบาลพันธมิตร อาสาสมัครทางการแพทย์ รวมถึงอาสากู้ภัย มีการเตรียมรถพยาบาลฉุกเฉินชั้นสูง มีเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า (AED Philips) ที่พร้อมให้ความช่วยเหลือนักวิ่ง ดังนั้นนักวิ่งสบายใจได้ว่า หากเกิดเหตุการณ์ใดๆ ทางทีมแพทย์และทีมอาสาสมัครทุกฝ่าย มีความพร้อมที่จะดูแลนักวิ่งอย่างเต็มที่และเป็นไปตามมาตรฐานจากทาง World Athletics อย่างแน่นอน”