พบหมวดจราจร สน.บางนา สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ถวายงานพระราชพิธีพยุหยาตราชลมารค ทั้งๆ ที่โรคเบาหวานกำเริบ ขาเป็นแผล แถมวูบตลอดทาง แต่อยากถวายความปลอดภัยให้ลุล่วง ผบก.น.5 รุดเยี่ยม เผยต้นเหตุไม่ไปหาหมอเพราะต้องกินยา กลัวเป็นโรคไต กำชับให้รักษาอย่างถูกวิธี
วันนี้ (15 ธ.ค.) จากกรณีที่ในโซเชียลมีเดียมีการแชร์ภาพของผู้ใช้เฟซบุ๊กข้าราชการตำรวจรายหนึ่ง ระบุว่า ได้ปฎิบัติหน้าที่ระหว่างกำแพงพระบรมหาราชวัง ประตูวิมานเทเวศร์ ถึงประตูวิเศษไชยศรี ในพระราชพิธีพยุหยาตราชลมารค เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2562 ที่ผ่านมา ขณะวางกำลังได้พบ ร.ต.ต.สุทธินันท์ สุตะนา รองสารวัตร (จราจร) สน.บางนา นั่งประจำจุดเหยียดขาในลักษณะไม่เรียบร้อย จึงได้สอบถาม ปรากฎว่า ร.ต.ต.สุทธินันท์ รื้อขากางเกงขึ้นให้ดู แล้วตอบว่าขาเป็นแผล เจ็บมาก นั่งพับเพียบไม่สะดวก เนื่องจากมีโรคประจำตัว คือโรคเบาหวาน เมื่อเกิดแผลขึ้นมาจึงพุพองลุกลามรักษาไม่หาย และพบว่าบนศีรษะมีแผลพุพองเต็มไปหมด
โดย ร.ต.ต.สุทธินันท์ กล่าวกับเจ้าของโพสต์ว่า ได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติหน้าที่ในงานพระราชพิธีดังกล่าว เพิ่งออกเวรมาเมื่อเวลา 05.00 น. ของวันนั้น ยังไม่ได้พักผ่อน ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์มาจากบางนา ระหว่างขับขี่มีอาการป่วยจะวูบมาตลอดทาง แต่ก็แข็งใจขับมาจนถึงที่งาน ด้วยความเป็นผู้สำนึกในหน้าที่และมีวินัย ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ อยากปฏิบัติหน้าที่ถวายความปลอดภัยให้สำเร็จลุล่วงให้จงได้ โดยไม่ห่วงเรื่องของตนเองมีจิตใจที่แข็งแกร่ง ไม่หลบ ไม่อู้ ไม่หลีกเลี่ยงเกี่ยงงาน ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือลูกน้องก็เปรียบเหมือนแขนเหมือนขาของผู้บังคับบัญชา จึงนำเรียนเพื่ออยากให้ ร.ต.ต.สุทธินันท์ ได้รับการเข้าถึงการรักษาที่ดี และขอพระเมตตาจากพระองค์
อ่านโพสต์ต้นฉบับ คลิกที่นี่
หลังเรื่องราวถูกเผยแพร่ออกไป พบว่าได้รับความช่วยเหลือจากตำรวจชั้นผู้ใหญ่ โดย พล.ต.ต.สามารถ ศรีสิริวิบูลย์ชัย ผบก.น. 5 พร้อมด้วย พ.ต.อ.นคร ทองพานิช ผกก.สน.บางนา เดินทางเข้าไปให้กำลังใจ ร.ต.ต.สุทธินันท์ ที่บ้านพัก พร้อมมอบกระเช้าของขวัญและเงินช่วยเหลือ ก่อนหน้านี้ ร.ต.ต.สุทธินันท์ มีอาการป่วยด้วยโรคเบาหวาน รักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ แต่ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาไม่ไปพบแพทย์ เพราะไม่อยากทานยาตามที่แพทย์สั่ง เกรงว่าจะเป็นโรคไตแทรกซ้อน ระหว่างนั้นผู้บังคับบัญชาขอกำลังดูแลงานพระราชพิธีพยุหยาตราชลมารค ร.ต.ต.สุทธินันท์ขออาสาไปปฏิบัติหน้าที่ด้วยความจงรักภักดี โดยไม่ได้บอกให้ใครทราบมาก่อน แต่ระหว่างนั้นอาการกำเริบจนทนไม่ไหว จึงได้ให้กำลังใจและตักเตือนให้ไปพบแพทย์ตามที่นัดหมายเพื่อทำการรักษาอย่างถูกวิธีต่อไป
