กาเอ๋ยกาดำ
รู้จำรู้จักรักเพื่อน
ได้เหยื่อเผื่อแผ่ไม่เชือน
ร้องเตือนพวกพ้องร้องเรียกมา
เพลงเก่าแก่ของไทยบทหนึ่ง หรืออีกเพลงหนึ่งที่ว่า
กาเอ๋ยกา บินมาไวๆ ขับต้นโพธิ์ โผมาต้นไทร
เพลงเหล่านี้ล้วนแต่แสดงความรักความเอ็นดูต่ออีกา นกตัวดำๆที่ร้องเสียงดัง
นอกจากคนไทยสมัยก่อนจะมีความชื่นชมต่ออีกาว่า เป็นสัตว์ที่รู้รักสามัคคี มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อพวกพ้องแล้ว ยังนิยมชมชื่นว่าเป็นสัตว์ขยัน ออกหากินแต่เช้าตรู่ จนมีคำสอนลูกหลานไว้ว่า จงเอาเยี่ยงกา แต่อย่าเอาอย่างกา
ทั้งนี้ก็เพราะกาเป็นสัตว์ที่ขึ้นชื่อลือชาว่าเป็นจอมขโมยอย่างร้ายกาจ
ถึงแม้จะมีความเอ็นดูชื่นชมอยู่หลายอย่างก็ตาม แต่คนเราก็มีความโกรธแค้นอีกาอยู่ไม่น้อย ตรงทีมันเป็นสัตว์ขี้ขโมย แอบโฉบเอาทุกอย่างที่คนเผลอทิ้งไว้ไป ไม่ว่าจะเป็นผลิตผลในสวนในไร่ ลูกเป็ดลูกไก่ที่เลี้ยงไว้ หรืออาหารที่ตากแดดไว้ อีกาที่ชุกชุมมากในสมัยก่อนจะโฉบเอาไปกินเสียสิ้น
ด้วยเหตุนี้คนจึงคิดวิธีต่างๆนานาเอาไว้ขับเคี่ยวกับอีกา มีตั้งแต่ตักเตือนขับไล่จนถึงขั้นลงโทษถึงตายอย่างหฤโหดพิสดาร เช่น
ทำเกราะจากกระบอกไม้ไผ่แขวนไว้กลางสวน แล้วผูกเชือกโยงยาวไปถึงในบ้าน ใครเดินไปเดินมาผ่านเชือกก็ช่วยกันกระตุกคนละทีสองที ทำให้เกิดเสียงดังขึ้นที่เกราะ นกกาที่แอบเข้ามากินผลผลิตในสวนก็จะแตกตื่นตกใจบินหนีไป
อีกวิธีเอาฟางมามัดทำหุ่น เอเสื้อไปใส่ เอาหมวกไปครอบ ปักไว้กลางนาให้ดูเหมือนคนยืนเฝ้า เรียกว่า “หุ่นไล่กา” ทั้งๆที่ตัวการไปขโมยข้าวในนากินก็คือนกกระจาบ แต่ไปโทษอีกา เพราะมีชื่อเสียงในเรื่องขี้ขโมย
แม้แต่เรื่องที่ทิ้งบัตรสนเท่ห์ใส่ความกัน ผู้ไม่ประสงค์จะออกนามเขียนจดหมายใส่ความคนหนึ่งคนใด แล้วแอบเอาไปวางทิ้งไว้ให้คนมาพบ ก็บอกว่าอีกาคาบเอามาวาง หรือจะนินทาใครโดยไม่มีที่มา ก็อ้างว่าอีกาคาบข่าวมาบอก
มาตรการอีกอย่างที่จัดการกับอีกาอย่างเจ็บปวดให้สมกับความโกรธแค้น ก็คือทำบ่วงล่ออีกาไว้ พอจับได้ก็เอามาตัดปากจนทู่ แล้วเอาทั้งตัวจุ่มลงในชามอ่างที่มีน้ำผสมพริก เกลือ และกะปิ น้ำที่ละลายเกลือและพริกจะทำความปวดแสบปวดร้อนให้แก่แผลสดที่ปากของมันอย่างสาหัส ทำให้มันแหกปากร้องลั่นบอกถึงความทุกข์ทรมาน อีกทั้งพวกพ้องที่บินว่อนมาดูด้วยความห่วงเพื่อนนั้น ต่างอกสั่นขวัญแขวนไปด้วย ที่สำคัญก็คือกลิ่นกะปิจะติดตัวไปอีกนาน ทำให้ต้องทนทุกข์ทรมานจากกลิ่นของตัวเองแล้ว ยังเข้าฝูงไม่ได้จนกว่าจะหมดกลิ่น เพราะกลิ่นกะปิเป็นที่รังเกียจของสัตว์หลายประเภท เช่นลิงเมื่อเผลอไปหยิบกะปิเข้าเมื่อใด จะเอามือไปถูหินถูต้นไม้เพื่อให้หมดกลิ่น ถึงขั้นเลือดตกยางออกทีเดียว เมื่อปล่อยอีกาเคราะห์ร้ายตัวนั้นไป ก็จะทำให้อีกาทั้งฝูงเข็ดหลาบ ไม่กล้าย่างกรายเข้ามาย่านนั้นอีก
วิธีการอีกอย่างที่เล่นงานอีกาอย่างโหดสุดๆถึงขั้นตายอย่างพิสดาร แต่ก็เป็นที่สนุกสนานของคนทำ นับว่าเป็นวิธีการของมนุษย์ที่มีจิตใจอำมหิตยิ่งกว่าอีกาหลายเท่านัก
วิธีนี้ก็คือจับอีกาตัวแรกมาด้วยบ่วง จากนั้นเอาไปมัดให้นอนหงายอยู่กลางแจ้ง เสียงร้องของมันจะทำให้อีกาทั้งฝูงบินมาหาทางช่วยเพื่อน และด้วยสัญชาติญาณ ตัวที่ถูกมัดก็จะเอาขาทั้งสองจับเพื่อนที่ลงมาช่วยไว้ แม้คนวิ่งเข้าไปมันก็ไม่ยอมปล่อย ทำให้เพื่อนที่ลงมาช่วยต้องเคราะห์ร้ายไปด้วย
เมื่อได้อีกาตามที่ต้องการแล้ว การเล่นเกมส์หฤโหดก็เริ่มขึ้น โดยใช้ไม้ ๒ ท่อนมามัดประกบคออีกาไว้ ทำให้มันก้มหัวลงไม่ได้ เมื่อมันถูกปล่อยให้บินขึ้นไปในแนวตั้ง จึงไม่สามารถปรับทิศทางการบินได้ ต้องบินตรงขึ้นไป...ตรงขึ้นไป...จนหมดแรงตกลงมาตาย
แน่นอนว่าคนที่เลวกว่าอีกาเท่านั้นที่จะเล่นเกมส์นี้ได้
สมัยก่อน อีกามีอยู่ชุกชมทั่วไป ในกรุงเทพฯก็มีมาก ไม่เว้นแม้แต่ในรั้วในวัง และเข้ามารุมกันเป็นฝูงเมื่อบรรดาเจ้านายใส่บาตร จากพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในหนังสือ “สาส์นสมเด็จ” กล่าวว่า ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ได้โปรดให้เด็กผู้ชายที่เข้ามาอยู่กับญาติในวัง เข้ารับหน้าที่คอยไล่กาเวลาทรงบาตร เรียกว่า “มหาดเล็กไล่กา” ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งเสด็จลงทรงบาตรทุกเช้า ได้รื้อฟื้นมหาดเล็กไล่กาขึ้นมาอีกครั้ง และให้เด็กเหล่านี้มีเครื่องแบบแต่งเข้าฝึกทหารด้วย ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ในเวลาต่อมา
คงจะเป็นเพราะอีกาเป็นสัตว์ที่คนเกลียด จนลดปริมาณลงไปอย่างน่าใจหาย คนสมัยนี้จึงหาอีกาดูได้ยาก บริเวณที่นิยมมาใส่บาตรก็มีแต่นกพิราบเข้ายึดครอง คงจะเป็นเพราะนกพิราบน่ารักกว่าอีกา ทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อย คอยรับแต่ความเมตตาที่มีผู้โปรยให้เท่านั้น ไม่ฉกชิงวิ่งราวเอาเหมือนอีกา
ถึงแม้ว่าอีกาจะได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ที่ได้ชื่อว่ารักพวกรักพ้อง แต่มาสมัยนี้กลับได้เห็นอีกายกพวกตีกันเอาเป็นเอาตาย แล้วที่อื่นก็ไม่ตีกัน เคยไปตีกันแถวทำเนียบรัฐบาล ทำให้หนังสือพิมพ์ถ่ายรูปเอาไปทำข่าวหน้าหนึ่งกันเอิกเกริก ทั้งยังระบายสีใส่ไข่ไปด้วยว่า เป็นลางร้ายที่จะทำให้รัฐบาลล่ม แต่ไม่มีฉบับไหนสืบเสาะหาสาเหคุว่าทำไมอีกาถึงได้ยกพวกตีกัน ขัดแย้งทางความคิดหรือผลประโยชน์ด้วยเรื่องอันใด หรือว่าติดนิสัยชอบทะเลาะกันมาจากคนแถวๆนั้น ทั้งๆที่สอนให้รู้รักสามัคคีแล้วก็ยังไม่รู้จักจำ