1.“สุรพงษ์” รอดคุก คดีคืนพาสปอร์ตให้ “ทักษิณ” หลังศาลฎีกาฯ ชั้นอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษจำคุก 2 ปี แต่รอลงอาญา เหตุป่วยมะเร็ง!

เมื่อวันที่ 10 ต.ค. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดอ่านคำพิพากษาอุทธรณ์ คดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อายุ 66 ปี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นจำเลย ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 กรณีออกหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ให้แก่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยมิชอบ
คดีนี้ โจทก์ฟ้องเมื่อเดือน มี.ค. 2560 หลังคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติช่วงต้นเดือน ก.พ. 2560 ชี้มูลความผิดทางอาญาต่อนายสุรพงษ์ ที่ได้ลงนามในการพิจารณาออกหนังสือเดินทางให้นายทักษิณ เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2554 ทั้งที่ขณะนั้นนายทักษิณยังเป็นบุคคลที่ถูกออกหมายจับในคดีร่วมกับ นปช.ก่อการร้าย และคดีอาญาอื่นๆ รวมทั้งคดีที่ศาลมีคำพิพากษาจำคุกแล้ว อันเป็นการกระทำที่ขัดต่อระเบียบข้อบังคับกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ. 2548 ทำให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับความเสียหาย
ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2561 ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.ป. ป.ป.ช. ซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียวแต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงให้ลงโทษตาม พ.ร.ป. ป.ป.ช. ซึ่งโทษหนักสุด โดยให้จำคุกจำเลยเป็นเวลา 2 ปี และเมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่าการกระทำความผิดของจำเลยมีเจตนาช่วยเหลือผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาของศาลซึ่งหลบหนีให้สามารถเดินทางในต่างประเทศได้สะดวก และเป็นผลบั่นทอนความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย จึงไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษ
หลังจากนั้น นายสุรพงษ์ ได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าวต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา และได้ประกันตัวด้วยหลักทรัพย์ 5 ล้านบาท พร้อมเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ
ทั้งนี้ เมื่อถึงกำหนดที่ศาลนัดอ่านคำพิพากษาอุทธรณ์คดีนี้ นายสุรพงษ์ ได้เดินทางมาศาล พร้อมกับคนใกล้ชิด และทนายความ โดยนายสุรพงษ์สวมเสื้อผ้าชุดขาวนั่งรถเข็น สวมหน้ากากอนามัย-แว่นตาดำ และหมวก
ต่อมา องค์คณะชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ 9 คน ได้ร่วมลงมติทำคำพิพากษาแล้วจึงอ่านคำตัดสิน โดยพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลย ทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงใน 6 ประเด็น เช่น จำเลยอุทธรณ์ว่า ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาตนโดยมิชอบ ซึ่งองค์คณะฯ เห็นว่า การแจ้งข้อกล่าวหาและการไต่สวนกระทำโดยชอบแล้ว
ส่วนอุทธรณ์ที่ว่า จำเลยกระทำผิดหรือไม่ องค์คณะฯ เห็นว่า นายทักษิณได้ยื่นคำร้องขอออกหนังสือเดินทาง ส่งผ่านสถานทูตไทยในกรุงอาบูดาบี ในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เมื่อวันที่ 24 ต.ค.2554 เมื่อคำร้องส่งมาถึงกระทรวงการต่างประเทศ ปลัดกระทรวง, อธิบดีกรมการกงสุล, ที่ปรึกษาด้านกฎหมายและเขตแดน ได้ประชุมร่วมทำบันทึกเรื่องดังกล่าวเสนอจำเลย ซึ่งขณะนั้นเป็น รมว.ต่างประเทศ ทราบ โดยจำเลยได้เกษียนคำสั่ง (ข้อความในหนังสือราชการ) 25 ต.ค.2554 แจ้งกลับไปว่า ให้ออกหนังสือเดินทางแก่นายทักษิณ เพราะรัฐบาลมีนโยบายเปลี่ยนแปลงไปจากรัฐบาลเดิมแล้ว
ขณะที่ปรากฏข่าวทางสื่อมวลชนในช่วงเดือน ธ.ค.2554 ที่จำเลยให้สัมภาษณ์ยอมรับว่า มีการพิจารณาออกหนังสือเดินทางให้นายทักษิณ และคำสัมภาษณ์ทำนองว่า จะให้เป็นของขวัญปีใหม่นายทักษิณ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการเกษียนสั่งเรื่องดังกล่าวมาแล้ว 2 เดือน ทั้งที่นายทักษิณถูกศาลพิพากษาจำคุกและถูกออกหมายจับในคดีร้ายแรงอีกหลายคดี การปลดชื่อนายทักษิณออกจากบัญชีรายชื่อที่อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ทั้งที่ต้องตรวจสอบก่อนออกหนังสือเดินทาง และออกหนังสือเดินทางให้นายทักษิณจึงไม่ถูกต้อง การที่จำเลยเกษียนคำสั่งในบันทึกทันทีและเสร็จสิ้นทั้งกระบวนการในวันเดียวกัน เชื่อว่าจำเลยมีส่วนร่วมรู้เห็นในการออกหนังสือเดินทางนี้ตั้งแต่ต้น
ส่วนที่จำเลยอ้างว่าไม่ใช่เจ้าพนักงาน ไม่ได้มีอำนาจโดยตรงในการพิจารณาออกหนังสือเดินทาง แต่เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในกระทรวงนั้น เห็นว่า จำเลยในฐานะ รมว.ต่างประเทศ ถือเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในกระทรวง มีอำนาจให้คุณให้โทษแก่ข้าราชการในกระทรวง ประกอบกับตามหลักการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐมนตรีสามารถมอบนโยบายให้ผู้ใต้บังคับบัญชานำไปปฏิบัติ รัฐมนตรีจึงเป็นเจ้าพนักงานมีส่วนเกี่ยวข้องในหน้าที่ดังกล่าว และหากการกระทำนั้นเป็นไปโดยเจตนาที่จะกระทำต่อกฎหมายโดยตรงแล้วสั่งการ ก็ย่อมจะต้องรับผิดด้วย จำเลยจึงต้องรับผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามฟ้อง
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาโดยอ้างว่า เคยประกอบคุณงามความดีและประโยชน์ต่อประเทศชาติมานั้น องค์คณะฯ เห็นว่า จำเลยเป็นนักการเมืองที่มีประสบการณ์ในการทำงานมายาวนานหลายด้าน จนได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ แต่จำเลยกลับมีพฤติการณ์ในการช่วยเหลือบุคคลที่ถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกที่อยู่ระหว่างการออกหมายจับเพื่อบังคับโทษตามคำพิพากษา และยังมีคดีที่อยู่ระหว่างดำเนินกระบวนพิจารณาอีกหลายคดี จำเลยย่อมทราบดีว่าการที่นายทักษิณได้รับหนังสือเดินทางจะทำให้สามารถหลบหนีการติดตามจับดุมได้โดยสะดวก อันเป็นการขัดขวางกระบวนการยุติธรรมอย่างหนึ่ง ดังนั้นที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กำหนดโทษจำคุก 2 ปีนั้นเหมาะสมกับพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว
ส่วนที่จำเลยขอให้รอการลงโทษ เนื่องจากอายุมากแล้ว มีอาการป่วยหลายโรค ทั้งเป็นเบาหวาน โรคหัวใจ และไขมันในเลือดสูง รวมทั้งมะเร็งซึ่งได้ลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองที่คอและช่องท้องนั้น เมื่อองค์คณะฯ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ไม่เคยปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนและเมื่อได้คำนึงถึงอายุ ประวัติความประพฤติ สภาพความผิด กับที่ได้ความว่าหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาคดีนี้วันที่ 19 มิ.ย.2561 จำเลยมีอาการเจ็บป่วยเป็นเบาหวาน โรคหัวใจ และไขมันในเลือดสูง รวมทั้งมะเร็ง ต้องรักษาอาการที่โรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่มีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไปแล้ว จึงเห็นควรให้โอกาสรอการลงโทษจำเลย แต่ให้ลงโทษปรับอีกสถานหนึ่ง
องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 2 ปี โดยโทษจำคุกนั้นรอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษา และลงโทษปรับด้วยเป็นเงิน 100,000 บาท นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษา
2.“บิ๊กแดง” ออกโรงป้องสถาบัน ลั่นไม่ให้แก้มาตรา 1 ถึงตัวตาย จะมีทหารรุ่นใหม่มาขวางแทน ข้องใจบางคนสมคบ “โจชัว หว่อง”!

จากกรณีที่ 7 พรรคร่วมฝ่ายค้านและนักวิชาการแนวร่วมได้จัดเสวนา “พลวัตแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ สู่นับหนึ่งรัฐธรรมนูญใหม่” ที่ลานวัฒนธรรม หน้าศาลากลาง จ.ปัตตานี โดยมีการพูดชักจูงโน้มน้าวให้ประชาชนเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พร้อมกันนี้ ดร.ชลิตา บัณฑุวงศ์ อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งร่วมเสวนาบนเวทีดังกล่าวยังส่งสัญญาณว่าอาจมีการแก้มาตรา 1 ของรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งมาตรา 1 บัญญัติว่า "ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้" แต่ ดร.ชลิตา ระบุว่า "การแก้ปัญหาของประเทศไทย อาจไม่ต้องอยู่กันเป็นรัฐเดี่ยวหรือรวมศูนย์ก็ได้ การแก้รัฐธรรมนูญอาจแก้มาตรา 1 ด้วยก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร" ส่งผลให้หลายภาคส่วนในสังคมออกมาวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดและคำพูดดังกล่าวของ ดร.ชลิตา และ 7 พรรคฝ่ายค้านที่ไม่ได้ทัดทานแนวคิดดังกล่าว
โดยนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ยื่นเรื่องต่ออัยการสูงสุด ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เนื่องจากมองว่าการกระทำของ ดร.ชลิตา และ 7 พรรคฝ่ายค้านเข้าข่ายกบฏและละเมิดรัฐธรรมนูญ ขณะที่ พล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ ผู้ชำนาญการสำนักงานกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ภาค 4 ส่วนหน้า ได้รับมอบอำนาจจากแม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะ ผอ.รมน.ภาค 4 ให้เข้าแจ้งความร้องทุกข์เอาผิดแกนนำพรรคฝ่ายค้านและนักวิชาการดังกล่าวรวม 12 คน ต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองปัตตานี เนื่องจากมองว่าเข้าข่ายยุยงปลุกปั่นฯ เช่น นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ฯลฯ
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 6 ต.ค. ตัวแทน 7 พรรคฝ่ายค้านได้เข้าแจ้งความต่อตำรวจกองปราบฯ ให้ดำเนินคดี กอ.รมน.ที่แจ้งความเอาผิดพวกตน โดยอ้างว่า กอ.รมน.ใช้อำนาจหน้าที่เกินขอบเขต และแจ้งความเท็จทำให้เกิดความเสียหาย พร้อมกันนี้ยังแจ้งความเอาผิด พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 และ พล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ ผู้ชำนาญการสำนักงาน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ด้วย
ด้าน พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง โฆษก กอ.รมน.ได้ออกมายืนยันว่า เรื่องนี้ไม่มีการกลั่นแกล้งทางการเมือง เพราะสิ่งที่ทำ ยึดตามกฎหมายเป็นหลัก หากเพิกเฉย เจ้าหน้าที่เองจะเกิดผลกระทบในฐานที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157
ทั้งนี้ สัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากประเด็นเรื่องมาตรา 1 แล้ว ยังมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์กรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ถ่ายรูปคู่กับนายโจชัว หว่อง แกนนำกลุ่มผู้ประท้วงที่ฮ่องกง ส่งผลให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงความไม่เหมาะสม ทั้งในแง่แทรกแซงการเมืองของฮ่องกง หรืออาจถึงขั้นถูกมองว่าเป็นผู้สนับสนุนกลุ่มผู้ประท้วงในฮ่องกง
โดยกระแสความไม่พอใจการกระทำของนายธนาธรถูกส่งผ่านสถานทูตจีนประจำประเทศไทยด้วย โดยเมื่อวันที่ 10 ต.ค. เฟซบุ๊ก "Chinese Embassy in Bangkok" ของเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ได้เผยแพร่ข้อความเกี่ยวกับสถานการณ์การประท้วงในฮ่องกงที่ดำเนินมาด้วยความรุนแรงและยืดเยื้อกว่า 4 เดือน โดยได้ระบุตอนหนึ่งว่า "กลุ่มที่คิดจะแบ่งแยกฮ่องกงออกจากประเทศจีนยังได้สมคบกับกลุ่มอิทธิพลภายนอก เผยแพร่ข่าวลือ บิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อวัตถุประสงค์ที่มิอาจเปิดเผยของตน นักการเมืองประเทศไทยบางคนมีการติดต่อกับกลุ่มที่คิดจะแบ่งแยกฮ่องกงออกจากประเทศจีนโดยมีท่าทีเชิงสนับสนุน ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดอย่างร้ายแรงและไร้ความรับผิดชอบ ฝ่ายจีนหวังว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องสามารถรับรู้ข้อเท็จจริงของปัญหาฮ่องกง ใช้ความระมัดระวัง ทำในเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อมิตรภาพจีน-ไทย"
เป็นที่น่าสังเกตว่า พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้บรรยายพิเศษที่กองทัพบกเมื่อวันที่ 11 ต.ค.ในหัวข้อ “แผ่นดินของเราในมุมมองด้านความมั่นคง” โดยตอนหนึ่ง พล.อ.อภิรัชต์ได้พูดถึงเรื่องเหตุรุนแรงในภาคใต้ว่า เริ่มจากปี 2545 ยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ประกาศยุบศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) พร้อมประกาศว่า “ไม่มีโจรก่อการร้ายอีกแล้ว พวกที่เหลือเป็นแค่เพียงโจรกระจอก” หลังจากนั้นกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงเริ่มยุทธการใบไม้ร่วง ลอบยิงเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ
นอกจากนี้ พล.อ.อภิรัชต์ ยังยืนยันด้วยว่า จะไม่ยอมให้มีการแก้มาตรา 1 ของรัฐธรรมนูญ โดยบอก ขอย้ำว่า ตนไม่ได้บอกว่ารัฐธรรมนูญแก้ไม่ได้ แต่มาตรา 1 เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ เกี่ยวกับเลือดเนื้อ ชีวิตของบรรพบุรุษที่รักษาขวานทองไว้ บอกได้เลยว่า ไม่มีวัน ถึงตนตายไป ทหารรุ่นใหม่จะเกิดขึ้นมาทดแทน ในโลกนี้ไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับไหนของประเทศใดที่สามารถแบ่งแยกดินแดนได้ ไม่มี จะแก้มาตราใดก็แล้วแต่ ถ้าแก้มาตรา 1 จะกระทบกับมาตราอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ นี่คือความชาญฉลาดของพวกนักวิชาการ ที่ไม่พูดตรงๆ ออกมาว่าอยากทำอะไร แก้อะไร
พล.อ.อภิรัชต์ยังแสดงความข้องใจกรณีที่นักการเมืองไทยบางคนไปพบโจชัว หว่อง แกนนำผู้ประท้วงในฮ่องกงอีกด้วย โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า ถามว่า วันนี้ใครอยากไปฮ่องกง เขาเกิดเหตุการณ์อะไร ไม่ค่อยมีคนอยากไป แต่กลับพบว่ามีบางคนไปพบนายโจชัว หว่อง นักเคลื่อนไหวชาวฮ่องกง และการที่นายโจชัว หว่อง มาไทย เคยมาพบกับใคร มาพบกับคนประเภทไหน มาไทยเพื่อมาวางแผนอะไรหรือเปล่า หรือมาสมคบคิดอะไร และไปเยี่ยมในลักษณะแบบให้กำลังใจ ให้การสนับสนุนด้วย ทำอะไรกันอยู่หรือเปล่า ไปหาดูได้ในสื่อต่างๆ
ด้าน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กพร้อมกับรูปของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ถ่ายรูปคู่กับนายโจชัว หว่อง แกนนำผู้ประท้วงในฮ่องกง โดยใช้หัวข้อ “หยุดชักศึกเข้าบ้าน” ว่า เขาคงคิดไม่ถึงว่า สิ่งที่กระทำที่ฮ่องกงจะนำไปสู่การเตือนแรงๆ จากทางการจีน เขามีพฤติกรรมชักศึกเข้าบ้านหลายเหตุการณ์มาก 1.เชิญ 12 ทูตประเทศอียูและผู้สังเกตการณ์ยูเอ็นไปร่วมสังเกตการณ์ที่ สน.ปทุมวัน ที่ถูกแจ้งความดำเนินคดีอาญา มาตรา 116 จนมีการมองว่าประเทศกำลังถูกแทรกแซง 2.ไปเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ในอาเซียนว่าประชาธิปไตยคือหนทางไปสู่ความกินดีอยู่ดีของประชาชน จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ขัดหลักการอาเซียนที่จะไม่แทรกแซงกิจการภายในซึ่งกันและกัน 3.เดินสายไปยุโรปและอเมริกาพูดคุยเรื่องความผิดปกติเกี่ยวกับการเลือกตั้ง จนมีการมองว่าเป็นการประจานประเทศ 4.จ้าง APCO Worldwide LLC บริษัทล็อบบี้ยิสต์ในสหรัฐฯ จนถูกวิจารณ์ว่า หวังผลทางการเมืองและอาจขัดต่อ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองหรือไม่ และ 5.ล่าสุดไปพูดและถ่ายภาพกับแกนนำผู้ประท้วงในฮ่องกง จนทางการจีนไม่พอใจ สิ่งเหล่านี้คือพฤติกรรมชังชาติ ชักศึกเข้าบ้าน ที่อาจสร้างปัญหาให้ประเทศของเราได้ในอนาคต
ด้านนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้ออกมาชี้แจงถึงการถ่ายรูปคู่โจชัว หว่อง ว่า วันนั้นตนได้รับเชิญจากนิตยสาร The Economist นิตยสารเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการเมืองระดับโลก ให้ไปพูดที่งาน Open Future Festival ที่ฮ่องกง หลังจากงานเลิกแล้ว ตนและนายโจชัว หว่อง พบกันในบริเวณงาน และได้คุยกันประมาณ 5 นาที ก่อนถ่ายรูปด้วยกันและแยกย้ายกัน นายธนาธรยังบอกด้วยว่า นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ตนพบปะกับนายโจชัว หว่อง ตนไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองใดๆ ในฮ่องกง และไม่มีเจตนาที่จะทำในอนาคต
3.ศาล รธน.ไม่เอาผิด “โกวิท” พ่อ “จอห์น วิญญู” กรณีวิจารณ์คำสั่งศาลฯ หลังเจ้าตัวขออภัยแล้ว!

เมื่อวันที่ 10 ต.ค. ศาลรัฐธรรมนูญได้ออกเอกสารข่าวผลการประชุมพิจารณาของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรณีนายโกวิท วงศ์สุรวัฒน์ อดีตอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บิดาของนายวิญญู วงศ์สุรวัฒน์ หรือ จอห์น วิญญู ผู้ดำเนินรายการทางช่องยูทูป ที่โพสต์ข้อความวิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญผ่านทางทวิตเตอร์ kovitw@kovitw1 เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.2562 เกี่ยวกับคำสั่งของศาลฯ ที่รับคำร้องขอให้วินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของ ส.ส.จำนวน 41 คนสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) หรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณา 32 คน (และไม่ได้สั่งให้ ส.ส.32 คนที่ถูกร้อง หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. เหมือนกรณีที่สั่งให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.)
โดยนายโกวิทได้เข้าพบเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ถ้อยคำชี้แจงข้อเท็จจริงเมื่อวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งคณะตุลาการศาลได้มอบหมายให้เลขาธิการศาลดำเนินการรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงเสนอให้คณะตุลาการศาลพิจารณา
ทั้งนี้ เลขาฯ ศาลรัฐธรรมนูญ ได้ให้นายโกวิทพิจารณาเอกสารเผยแพร่ของศาลรัฐธรรมนูญถึงผลที่ต่างกันในข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงและกระบวนการที่ได้มาในข้อเท็จจริงที่แตกต่างกัน เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งนายโกวิทเข้าใจ โดยขออภัยต่อศาล และจะเยียวยาหรืออธิบายข้อเท็จจริงความเห็นในทวิตเตอร์ดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนเข้าใจในเนื้อหาของการชี้แจงถึงความแตกต่างในคดีของหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กับ 32 ส.ส. เนื่องจากคดีของหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ทำการสืบสวนมาพอสมควรแล้ว และมีเอกสารหลักฐานจากกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับบริษัทดังกล่าว แตกต่างจากคดีของ 32 ส.ส.
ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ประชุมและพิจารณาถึงข้อมูลข้อเท็จจริงทั้งในส่วนของบันทึกถ้อยคำของนายโกวิท และข้อความในทวิตเตอร์ดังกล่าวเมื่อวันที่ 13 ก.ย. ที่ชี้แจงต่อประชาชนถึงเหตุผลในการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้แล้ว เห็นว่า ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล กรณีการวิจารณ์คำสั่งหรือคำวินิจฉัยคดีที่มิได้กระทำโดยสุจริต โดยใช้ถ้อยคำที่มีความหมายหยาบคาย เสียดสี หรืออาฆาตมาดร้าย ตามมาตรา 38 พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 นั้น นายโกวิทได้ชี้แจงข้อเท็จจริง และขออภัยต่อศาลแล้ว
4.“ปิยบุตร-สร.” รอด กกต.ยกคำร้องกล่าวหาใส่ร้ายพรรคอื่นด้วยความเท็จ ชี้ แค่แสดงความเห็นทางการเมือง!

เมื่อวันที่ 10 ต.ค. สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เผยแพร่คำวินิจฉัย กกต.กรณีก่อนประกาศการเลือกตั้ง กกต.ได้รับคำร้องว่า พรรคเสรีรวมไทย (สร.) และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ และผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) เป็นผู้ถูกร้องที่ 1-2 ได้กระทำการฝ่าฝืน พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 โดยใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมืองเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเอง
โดยในส่วนของพรรคเสรีรวมไทย มีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “คนไทยหัวใจเสรี” ลงเผยแพร่ข้อความว่า “การบริหารประเทศที่เต็มไปด้วยการผูกขาด กฎระเบียบที่กดหัวประชาชน มองประชาชนเป็นแหล่งหาเงินส่งให้รัฐ ไม่ให้ประชาชนเรียนรู้ ไม่ส่งเสริมการพึ่งพาตนเอง ปากก็อ้างว่าเศรษฐกิจพอเพียง ในเมื่อชาวนาพึ่งพาตัวเองได้ด้วยเมล็ดพันธุ์ที่เก็บไว้แล้ว ซึ่งก็ถูกต้องแล้ว พวกเอ็งยังมีหน้ามาดึงเอาสิ่งที่ชาวนาทำกันมาไปเป็นของนายทุน เราต้องบอกคนเฒ่าคนแก่ว่า พวกเผด็จการ พรรคพลังประชารัฐ และพรรคที่ส่งเสริมประยุทธ์ เป็นนายก กำลังจะทำให้ประชาชนเดือดร้อนกันทั้งแผ่นดิน เพียงเพราะผลประโยชน์ของตัวเอง” และข้อความว่า “มันคืออะไรกัน แอดมินโกรธมาก #xxxx ขายข้าว ต้องผ่านรัฐ ขายเอง จับติดคุก คลอดแล้ว พ.ร.บ.ข้าว เก็บ 17% ชาวนาปวดใจ ปลูกข้าวได้แต่ห้ามขาย ฝืนโทษหนัก 5 ปี ปรับ 5 แสนบาท” ซึ่ง กกต. เห็นว่า เนื้อหาของข้อความเป็นการหยิบยกข่าวสารที่ได้นำเสนอทางสื่อต่างๆ มาวิพากษ์วิจารณ์ และแสดงความเห็นทางการเมือง ข้อความที่เผยแพร่ดังกล่าวไม่ถึงขนาดเป็นการใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง
ส่วนกรณีนายปิยบุตร ได้ลงเผยแพร่ข้อความในเฟซบุ๊กว่า “...คนอีสานถูกทำให้เชื่อว่าเป็นคนตลก เป็นแรงงาน ไม่มีความรู้ แต่แท้จริงแล้ว คนอีสาน คือ “เดินแดงกำแพงเหล็ก” เป็นดินแดนแห่งนักประชาธิปไตย นักต่อสู้ความอยุติธรรม ขจัดความเหลื่อมล้ำในประเทศนี้ ทำให้รัฐจากส่วนกลาง จับมือกับสื่อมวลชนบางกลุ่มผลิตสื่อเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้คนอีสานเป็นคนตลก ไม่มีความรู้ นั่นก็เพราะพวกเขากลัวความเป็นนักต่อสู้ นักประชาธิปไตยแห่งแดนอีสาน ดังนั้นพรรคอนาคตใหม่ยืนยันจะเข้ารัฐสภาเพื่อทวงคืนอำนาจให้กับคนอีสาน…” กกต. เห็นว่า ข้อความดังกล่าว มิได้ระบุถึงบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นการเฉพาะ และเนื้อหาของข้อความเป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ยังไม่ถึงขนาดเป็นการใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่า พรรคเสรีรวมไทย และนายปิยบุตร กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (5) ตามคำร้องแต่อย่างใด จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
5.ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนจำคุก “ลุงวิศวะ” 10 ปี คดียิงวัยรุ่นดับที่เมืองชลฯ เหตุเป็นฝ่ายเริ่มวิวาท-ไม่ยับยั้งชั่งใจ!

ความคืบหน้าคดีนายสุเทพ โภชนสมบูรณ์ อายุ 50 ปี อาชีพวิศวกร มีเรื่องกับกลุ่มวัยรุ่น และถูกกลุ่มวัยรุ่นกรูเข้าล้อมรถเก๋งพยายามทำร้าย นายสุเทพจึงใช้ปืนยิงสวน จนเป็นเหตุให้นายนวพล หรือปอน ผึ่งผาย อายุ 17 ปี เสียชีวิต เหตุเกิดบริเวณสามแยกถนนอ่างศิลา ต.อ่างศิลา อ.เมือง จ.ชลบุรี เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 4 ก.พ.2561 ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำคุกนายสุเทพ เป็นเวลา 15 ปี ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือ 10 ปี ปรับคดีอาวุธปืน 2,000 บาท ให้จ่ายค่าสินไหมทดแทน 340,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
ล่าสุด เมื่อวันที่ 10 ต.ค. ศาลจังหวัดชลบุรีได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 คดีนี้ที่พนักงานอัยการจังหวัดชลบุรีเป็นโจทก์ และ น.ส.มณีพร ผึ่งผาย โจทก์ร่วม ฟ้องนายสุเทพ เป็นจำเลย โดยศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามพฤติการณ์ เมื่อพวกของผู้ตายขับรถตู้มาจอดที่หน้าร้านขายของฝาก กีดขวางทางออกของจำเลย แล้วมีการโต้เถียงกันนั้น ยังไม่ปรากฏว่ามีคำพูดที่ไม่สุภาพจากฝ่ายใด แต่หลังจากจำเลยกะพริบไฟใส่รถตู้ และบีบแตรหลายครั้ง จำเลยเริ่มใช้คำพูดไม่สุภาพในลักษณะยั่วโทสะของผู้ตาย โดยขณะนั้นจำเลยมีอาวุธปืนของกลางอยู่ใกล้ตัว แสดงว่าจำเลยและภริยามีโทสะ และพร้อมที่จะมีเหตุวิวาทกับพวกของผู้ตาย การที่จำเลยอุทธรณ์อ้างว่า เหตุการณ์ในขณะนั้นมีปากเสียงกันเพียงเล็กน้อยและจบลงแล้ว จึงฟังไม่ขึ้น
เมื่อพวกของผู้ตายขับรถตู้และรถเก๋งออกไปแล้ว หากจำเลยมีสติ รู้จักยับยั้งชั่งใจบ้าง โดยจอดรถรอสักพักหนึ่งก่อน เพื่อให้โทสะคลายลง แล้วค่อยขับรถออกไป เหตุทะเลาะวิวาทในคดีนี้คงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่จำเลยกลับขับรถตามไปในทันที ขับแซงรถตู้บีบแตรยาวใส่ แสดงให้เห็นว่าจงใจเจตนายั่วโทสะพวกของผู้ตาย มิใช่การบีบแตรเตือนดังที่จำเลยอ้างในอุทธรณ์
จำเลยขับไปอยู่ด้านหน้า เมื่อพวกของผู้ตายซึ่งขับตามรถจำเลยมาบีบแตรยาวและเปิดไฟสูงใส่รถจำเลย อันเป็นการส่งสัญญาณความไม่พอใจและท้าทาย จำเลยก็ชะลอความเร็วลงจนเกือบจะหยุดรถ เพื่อให้พวกผู้ตายขับชนท้ายและบีบแตรรถในลักษณะส่งสัญญาณโต้ตอบกลับไป อันเป็นการรับคำท้าทายของฝ่ายผู้ตายกับพวก ทั้งมีเจตนายั่วโทสะฝ่ายผู้ตายให้เพิ่มมากขึ้น และไม่กรงกลัวจะมีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน เหตุที่จำเลยมีพฤติการณ์เช่นนี้ ก็เนื่องจากจำเลยมีอาวุธปืนติดตัวไปด้วย แสดงให้เห็นถึงนิสัยและพฤติกรรมของจำเลยว่า พร้อมที่จะสมัครใจวิวาท
นอกจากนี้ จำเลยยังขับรถปาดหน้าและขัดขวางมิให้รถเก๋งของพวกผู้ตายขับต่อไปได้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาวิวาทกับผู้ตายและพวกมาตลอดเส้นทาง จนกระทั่งถึงที่เกิดเหตุ จำเลยก็ยังมีเจตนาวิวาทอยู่ เมื่อจำเลยเห็นว่าผู้ตายกับพวกมากันหลายคนก็เริ่มเกิดความกลัว แต่ยังคงพูดกับผู้ตายและพวกด้วยน้ำเสียงดุดัน ในลักษณะไว้ท่าทีว่าจะเอาเรื่อง มิใช่คำพูดในทำนองขอโทษการกระทำของตน หรือแสดงให้เห็นว่าไม่อยากมีเรื่องหรือให้เลิกแล้วกันไป แม้ฝ่ายผู้ตายกับพวกทำร้ายร่างกายจำเลยก่อน จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย แต่เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อเนื่องเชื่อมโยงกันมาไม่ขาดตอน นับระยะเวลาตั้งแต่ต้นจนจบเพียง 5 นาทีเศษ ตามพฤติการณ์ จำเลยเป็นผู้เริ่มต้นก่อให้เกิดเหตุทะเลาะวิวาท และเมื่อจำเลยยั่วโทสะท้าทายจนฝ่ายผู้ตายโต้ตอบ และสมัครใจร่วมวิวาทกับจำเลยแล้ว จำเลยจึงไม่อาจกล่าวอ้างว่าฝ่ายผู้ตายเป็นผู้ก่อเหตุ จำเลยจึงจำต้องชักปืนออกมายิงเพื่อป้องกันชีวิตของจำเลยและคนในครอบครัว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
หลังศาลฯ อ่านคำพิพากษา นายสุเทพได้ให้ทนายความยื่นขอประกันตัวเพื่อขอสู้คดีต่อในชั้นฎีกา ด้วยเงินสดจำนวน 874,000 บาท พร้อมกล่าวว่า ยอมรับในคำตัดสินของศาล แต่ต้องการสู้เพื่อให้ความจริงปรากฏ อีกทั้งตนยังมีปัญหาในเรื่องสุขภาพ เป็นโรคเบาหวานและอีกหลายโรค
ขณะที่มารดาของผู้เสียชีวิต กล่าวว่า รู้สึกพอใจคำตัดสินของศาล ทำให้เห็นว่าความยุติธรรมมีจริง
เมื่อวันที่ 10 ต.ค. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดอ่านคำพิพากษาอุทธรณ์ คดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อายุ 66 ปี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นจำเลย ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 กรณีออกหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ให้แก่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยมิชอบ
คดีนี้ โจทก์ฟ้องเมื่อเดือน มี.ค. 2560 หลังคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติช่วงต้นเดือน ก.พ. 2560 ชี้มูลความผิดทางอาญาต่อนายสุรพงษ์ ที่ได้ลงนามในการพิจารณาออกหนังสือเดินทางให้นายทักษิณ เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2554 ทั้งที่ขณะนั้นนายทักษิณยังเป็นบุคคลที่ถูกออกหมายจับในคดีร่วมกับ นปช.ก่อการร้าย และคดีอาญาอื่นๆ รวมทั้งคดีที่ศาลมีคำพิพากษาจำคุกแล้ว อันเป็นการกระทำที่ขัดต่อระเบียบข้อบังคับกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ. 2548 ทำให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับความเสียหาย
ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2561 ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.ป. ป.ป.ช. ซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียวแต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงให้ลงโทษตาม พ.ร.ป. ป.ป.ช. ซึ่งโทษหนักสุด โดยให้จำคุกจำเลยเป็นเวลา 2 ปี และเมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่าการกระทำความผิดของจำเลยมีเจตนาช่วยเหลือผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาของศาลซึ่งหลบหนีให้สามารถเดินทางในต่างประเทศได้สะดวก และเป็นผลบั่นทอนความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย จึงไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษ
หลังจากนั้น นายสุรพงษ์ ได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าวต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา และได้ประกันตัวด้วยหลักทรัพย์ 5 ล้านบาท พร้อมเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ
ทั้งนี้ เมื่อถึงกำหนดที่ศาลนัดอ่านคำพิพากษาอุทธรณ์คดีนี้ นายสุรพงษ์ ได้เดินทางมาศาล พร้อมกับคนใกล้ชิด และทนายความ โดยนายสุรพงษ์สวมเสื้อผ้าชุดขาวนั่งรถเข็น สวมหน้ากากอนามัย-แว่นตาดำ และหมวก
ต่อมา องค์คณะชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ 9 คน ได้ร่วมลงมติทำคำพิพากษาแล้วจึงอ่านคำตัดสิน โดยพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลย ทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงใน 6 ประเด็น เช่น จำเลยอุทธรณ์ว่า ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาตนโดยมิชอบ ซึ่งองค์คณะฯ เห็นว่า การแจ้งข้อกล่าวหาและการไต่สวนกระทำโดยชอบแล้ว
ส่วนอุทธรณ์ที่ว่า จำเลยกระทำผิดหรือไม่ องค์คณะฯ เห็นว่า นายทักษิณได้ยื่นคำร้องขอออกหนังสือเดินทาง ส่งผ่านสถานทูตไทยในกรุงอาบูดาบี ในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เมื่อวันที่ 24 ต.ค.2554 เมื่อคำร้องส่งมาถึงกระทรวงการต่างประเทศ ปลัดกระทรวง, อธิบดีกรมการกงสุล, ที่ปรึกษาด้านกฎหมายและเขตแดน ได้ประชุมร่วมทำบันทึกเรื่องดังกล่าวเสนอจำเลย ซึ่งขณะนั้นเป็น รมว.ต่างประเทศ ทราบ โดยจำเลยได้เกษียนคำสั่ง (ข้อความในหนังสือราชการ) 25 ต.ค.2554 แจ้งกลับไปว่า ให้ออกหนังสือเดินทางแก่นายทักษิณ เพราะรัฐบาลมีนโยบายเปลี่ยนแปลงไปจากรัฐบาลเดิมแล้ว
ขณะที่ปรากฏข่าวทางสื่อมวลชนในช่วงเดือน ธ.ค.2554 ที่จำเลยให้สัมภาษณ์ยอมรับว่า มีการพิจารณาออกหนังสือเดินทางให้นายทักษิณ และคำสัมภาษณ์ทำนองว่า จะให้เป็นของขวัญปีใหม่นายทักษิณ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการเกษียนสั่งเรื่องดังกล่าวมาแล้ว 2 เดือน ทั้งที่นายทักษิณถูกศาลพิพากษาจำคุกและถูกออกหมายจับในคดีร้ายแรงอีกหลายคดี การปลดชื่อนายทักษิณออกจากบัญชีรายชื่อที่อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ทั้งที่ต้องตรวจสอบก่อนออกหนังสือเดินทาง และออกหนังสือเดินทางให้นายทักษิณจึงไม่ถูกต้อง การที่จำเลยเกษียนคำสั่งในบันทึกทันทีและเสร็จสิ้นทั้งกระบวนการในวันเดียวกัน เชื่อว่าจำเลยมีส่วนร่วมรู้เห็นในการออกหนังสือเดินทางนี้ตั้งแต่ต้น
ส่วนที่จำเลยอ้างว่าไม่ใช่เจ้าพนักงาน ไม่ได้มีอำนาจโดยตรงในการพิจารณาออกหนังสือเดินทาง แต่เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในกระทรวงนั้น เห็นว่า จำเลยในฐานะ รมว.ต่างประเทศ ถือเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในกระทรวง มีอำนาจให้คุณให้โทษแก่ข้าราชการในกระทรวง ประกอบกับตามหลักการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐมนตรีสามารถมอบนโยบายให้ผู้ใต้บังคับบัญชานำไปปฏิบัติ รัฐมนตรีจึงเป็นเจ้าพนักงานมีส่วนเกี่ยวข้องในหน้าที่ดังกล่าว และหากการกระทำนั้นเป็นไปโดยเจตนาที่จะกระทำต่อกฎหมายโดยตรงแล้วสั่งการ ก็ย่อมจะต้องรับผิดด้วย จำเลยจึงต้องรับผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามฟ้อง
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาโดยอ้างว่า เคยประกอบคุณงามความดีและประโยชน์ต่อประเทศชาติมานั้น องค์คณะฯ เห็นว่า จำเลยเป็นนักการเมืองที่มีประสบการณ์ในการทำงานมายาวนานหลายด้าน จนได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ แต่จำเลยกลับมีพฤติการณ์ในการช่วยเหลือบุคคลที่ถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกที่อยู่ระหว่างการออกหมายจับเพื่อบังคับโทษตามคำพิพากษา และยังมีคดีที่อยู่ระหว่างดำเนินกระบวนพิจารณาอีกหลายคดี จำเลยย่อมทราบดีว่าการที่นายทักษิณได้รับหนังสือเดินทางจะทำให้สามารถหลบหนีการติดตามจับดุมได้โดยสะดวก อันเป็นการขัดขวางกระบวนการยุติธรรมอย่างหนึ่ง ดังนั้นที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กำหนดโทษจำคุก 2 ปีนั้นเหมาะสมกับพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว
ส่วนที่จำเลยขอให้รอการลงโทษ เนื่องจากอายุมากแล้ว มีอาการป่วยหลายโรค ทั้งเป็นเบาหวาน โรคหัวใจ และไขมันในเลือดสูง รวมทั้งมะเร็งซึ่งได้ลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองที่คอและช่องท้องนั้น เมื่อองค์คณะฯ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ไม่เคยปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนและเมื่อได้คำนึงถึงอายุ ประวัติความประพฤติ สภาพความผิด กับที่ได้ความว่าหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาคดีนี้วันที่ 19 มิ.ย.2561 จำเลยมีอาการเจ็บป่วยเป็นเบาหวาน โรคหัวใจ และไขมันในเลือดสูง รวมทั้งมะเร็ง ต้องรักษาอาการที่โรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่มีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไปแล้ว จึงเห็นควรให้โอกาสรอการลงโทษจำเลย แต่ให้ลงโทษปรับอีกสถานหนึ่ง
องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 2 ปี โดยโทษจำคุกนั้นรอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษา และลงโทษปรับด้วยเป็นเงิน 100,000 บาท นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษา
2.“บิ๊กแดง” ออกโรงป้องสถาบัน ลั่นไม่ให้แก้มาตรา 1 ถึงตัวตาย จะมีทหารรุ่นใหม่มาขวางแทน ข้องใจบางคนสมคบ “โจชัว หว่อง”!
จากกรณีที่ 7 พรรคร่วมฝ่ายค้านและนักวิชาการแนวร่วมได้จัดเสวนา “พลวัตแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ สู่นับหนึ่งรัฐธรรมนูญใหม่” ที่ลานวัฒนธรรม หน้าศาลากลาง จ.ปัตตานี โดยมีการพูดชักจูงโน้มน้าวให้ประชาชนเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พร้อมกันนี้ ดร.ชลิตา บัณฑุวงศ์ อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งร่วมเสวนาบนเวทีดังกล่าวยังส่งสัญญาณว่าอาจมีการแก้มาตรา 1 ของรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งมาตรา 1 บัญญัติว่า "ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้" แต่ ดร.ชลิตา ระบุว่า "การแก้ปัญหาของประเทศไทย อาจไม่ต้องอยู่กันเป็นรัฐเดี่ยวหรือรวมศูนย์ก็ได้ การแก้รัฐธรรมนูญอาจแก้มาตรา 1 ด้วยก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร" ส่งผลให้หลายภาคส่วนในสังคมออกมาวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดและคำพูดดังกล่าวของ ดร.ชลิตา และ 7 พรรคฝ่ายค้านที่ไม่ได้ทัดทานแนวคิดดังกล่าว
โดยนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ยื่นเรื่องต่ออัยการสูงสุด ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เนื่องจากมองว่าการกระทำของ ดร.ชลิตา และ 7 พรรคฝ่ายค้านเข้าข่ายกบฏและละเมิดรัฐธรรมนูญ ขณะที่ พล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ ผู้ชำนาญการสำนักงานกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ภาค 4 ส่วนหน้า ได้รับมอบอำนาจจากแม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะ ผอ.รมน.ภาค 4 ให้เข้าแจ้งความร้องทุกข์เอาผิดแกนนำพรรคฝ่ายค้านและนักวิชาการดังกล่าวรวม 12 คน ต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองปัตตานี เนื่องจากมองว่าเข้าข่ายยุยงปลุกปั่นฯ เช่น นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ฯลฯ
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 6 ต.ค. ตัวแทน 7 พรรคฝ่ายค้านได้เข้าแจ้งความต่อตำรวจกองปราบฯ ให้ดำเนินคดี กอ.รมน.ที่แจ้งความเอาผิดพวกตน โดยอ้างว่า กอ.รมน.ใช้อำนาจหน้าที่เกินขอบเขต และแจ้งความเท็จทำให้เกิดความเสียหาย พร้อมกันนี้ยังแจ้งความเอาผิด พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 และ พล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ ผู้ชำนาญการสำนักงาน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ด้วย
ด้าน พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง โฆษก กอ.รมน.ได้ออกมายืนยันว่า เรื่องนี้ไม่มีการกลั่นแกล้งทางการเมือง เพราะสิ่งที่ทำ ยึดตามกฎหมายเป็นหลัก หากเพิกเฉย เจ้าหน้าที่เองจะเกิดผลกระทบในฐานที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157
ทั้งนี้ สัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากประเด็นเรื่องมาตรา 1 แล้ว ยังมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์กรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ถ่ายรูปคู่กับนายโจชัว หว่อง แกนนำกลุ่มผู้ประท้วงที่ฮ่องกง ส่งผลให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงความไม่เหมาะสม ทั้งในแง่แทรกแซงการเมืองของฮ่องกง หรืออาจถึงขั้นถูกมองว่าเป็นผู้สนับสนุนกลุ่มผู้ประท้วงในฮ่องกง
โดยกระแสความไม่พอใจการกระทำของนายธนาธรถูกส่งผ่านสถานทูตจีนประจำประเทศไทยด้วย โดยเมื่อวันที่ 10 ต.ค. เฟซบุ๊ก "Chinese Embassy in Bangkok" ของเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ได้เผยแพร่ข้อความเกี่ยวกับสถานการณ์การประท้วงในฮ่องกงที่ดำเนินมาด้วยความรุนแรงและยืดเยื้อกว่า 4 เดือน โดยได้ระบุตอนหนึ่งว่า "กลุ่มที่คิดจะแบ่งแยกฮ่องกงออกจากประเทศจีนยังได้สมคบกับกลุ่มอิทธิพลภายนอก เผยแพร่ข่าวลือ บิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อวัตถุประสงค์ที่มิอาจเปิดเผยของตน นักการเมืองประเทศไทยบางคนมีการติดต่อกับกลุ่มที่คิดจะแบ่งแยกฮ่องกงออกจากประเทศจีนโดยมีท่าทีเชิงสนับสนุน ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดอย่างร้ายแรงและไร้ความรับผิดชอบ ฝ่ายจีนหวังว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องสามารถรับรู้ข้อเท็จจริงของปัญหาฮ่องกง ใช้ความระมัดระวัง ทำในเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อมิตรภาพจีน-ไทย"
เป็นที่น่าสังเกตว่า พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้บรรยายพิเศษที่กองทัพบกเมื่อวันที่ 11 ต.ค.ในหัวข้อ “แผ่นดินของเราในมุมมองด้านความมั่นคง” โดยตอนหนึ่ง พล.อ.อภิรัชต์ได้พูดถึงเรื่องเหตุรุนแรงในภาคใต้ว่า เริ่มจากปี 2545 ยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ประกาศยุบศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) พร้อมประกาศว่า “ไม่มีโจรก่อการร้ายอีกแล้ว พวกที่เหลือเป็นแค่เพียงโจรกระจอก” หลังจากนั้นกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงเริ่มยุทธการใบไม้ร่วง ลอบยิงเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ
นอกจากนี้ พล.อ.อภิรัชต์ ยังยืนยันด้วยว่า จะไม่ยอมให้มีการแก้มาตรา 1 ของรัฐธรรมนูญ โดยบอก ขอย้ำว่า ตนไม่ได้บอกว่ารัฐธรรมนูญแก้ไม่ได้ แต่มาตรา 1 เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ เกี่ยวกับเลือดเนื้อ ชีวิตของบรรพบุรุษที่รักษาขวานทองไว้ บอกได้เลยว่า ไม่มีวัน ถึงตนตายไป ทหารรุ่นใหม่จะเกิดขึ้นมาทดแทน ในโลกนี้ไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับไหนของประเทศใดที่สามารถแบ่งแยกดินแดนได้ ไม่มี จะแก้มาตราใดก็แล้วแต่ ถ้าแก้มาตรา 1 จะกระทบกับมาตราอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ นี่คือความชาญฉลาดของพวกนักวิชาการ ที่ไม่พูดตรงๆ ออกมาว่าอยากทำอะไร แก้อะไร
พล.อ.อภิรัชต์ยังแสดงความข้องใจกรณีที่นักการเมืองไทยบางคนไปพบโจชัว หว่อง แกนนำผู้ประท้วงในฮ่องกงอีกด้วย โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า ถามว่า วันนี้ใครอยากไปฮ่องกง เขาเกิดเหตุการณ์อะไร ไม่ค่อยมีคนอยากไป แต่กลับพบว่ามีบางคนไปพบนายโจชัว หว่อง นักเคลื่อนไหวชาวฮ่องกง และการที่นายโจชัว หว่อง มาไทย เคยมาพบกับใคร มาพบกับคนประเภทไหน มาไทยเพื่อมาวางแผนอะไรหรือเปล่า หรือมาสมคบคิดอะไร และไปเยี่ยมในลักษณะแบบให้กำลังใจ ให้การสนับสนุนด้วย ทำอะไรกันอยู่หรือเปล่า ไปหาดูได้ในสื่อต่างๆ
ด้าน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กพร้อมกับรูปของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ถ่ายรูปคู่กับนายโจชัว หว่อง แกนนำผู้ประท้วงในฮ่องกง โดยใช้หัวข้อ “หยุดชักศึกเข้าบ้าน” ว่า เขาคงคิดไม่ถึงว่า สิ่งที่กระทำที่ฮ่องกงจะนำไปสู่การเตือนแรงๆ จากทางการจีน เขามีพฤติกรรมชักศึกเข้าบ้านหลายเหตุการณ์มาก 1.เชิญ 12 ทูตประเทศอียูและผู้สังเกตการณ์ยูเอ็นไปร่วมสังเกตการณ์ที่ สน.ปทุมวัน ที่ถูกแจ้งความดำเนินคดีอาญา มาตรา 116 จนมีการมองว่าประเทศกำลังถูกแทรกแซง 2.ไปเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ในอาเซียนว่าประชาธิปไตยคือหนทางไปสู่ความกินดีอยู่ดีของประชาชน จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ขัดหลักการอาเซียนที่จะไม่แทรกแซงกิจการภายในซึ่งกันและกัน 3.เดินสายไปยุโรปและอเมริกาพูดคุยเรื่องความผิดปกติเกี่ยวกับการเลือกตั้ง จนมีการมองว่าเป็นการประจานประเทศ 4.จ้าง APCO Worldwide LLC บริษัทล็อบบี้ยิสต์ในสหรัฐฯ จนถูกวิจารณ์ว่า หวังผลทางการเมืองและอาจขัดต่อ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองหรือไม่ และ 5.ล่าสุดไปพูดและถ่ายภาพกับแกนนำผู้ประท้วงในฮ่องกง จนทางการจีนไม่พอใจ สิ่งเหล่านี้คือพฤติกรรมชังชาติ ชักศึกเข้าบ้าน ที่อาจสร้างปัญหาให้ประเทศของเราได้ในอนาคต
ด้านนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้ออกมาชี้แจงถึงการถ่ายรูปคู่โจชัว หว่อง ว่า วันนั้นตนได้รับเชิญจากนิตยสาร The Economist นิตยสารเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการเมืองระดับโลก ให้ไปพูดที่งาน Open Future Festival ที่ฮ่องกง หลังจากงานเลิกแล้ว ตนและนายโจชัว หว่อง พบกันในบริเวณงาน และได้คุยกันประมาณ 5 นาที ก่อนถ่ายรูปด้วยกันและแยกย้ายกัน นายธนาธรยังบอกด้วยว่า นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ตนพบปะกับนายโจชัว หว่อง ตนไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองใดๆ ในฮ่องกง และไม่มีเจตนาที่จะทำในอนาคต
3.ศาล รธน.ไม่เอาผิด “โกวิท” พ่อ “จอห์น วิญญู” กรณีวิจารณ์คำสั่งศาลฯ หลังเจ้าตัวขออภัยแล้ว!
เมื่อวันที่ 10 ต.ค. ศาลรัฐธรรมนูญได้ออกเอกสารข่าวผลการประชุมพิจารณาของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรณีนายโกวิท วงศ์สุรวัฒน์ อดีตอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บิดาของนายวิญญู วงศ์สุรวัฒน์ หรือ จอห์น วิญญู ผู้ดำเนินรายการทางช่องยูทูป ที่โพสต์ข้อความวิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญผ่านทางทวิตเตอร์ kovitw@kovitw1 เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.2562 เกี่ยวกับคำสั่งของศาลฯ ที่รับคำร้องขอให้วินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของ ส.ส.จำนวน 41 คนสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) หรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณา 32 คน (และไม่ได้สั่งให้ ส.ส.32 คนที่ถูกร้อง หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. เหมือนกรณีที่สั่งให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.)
โดยนายโกวิทได้เข้าพบเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ถ้อยคำชี้แจงข้อเท็จจริงเมื่อวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งคณะตุลาการศาลได้มอบหมายให้เลขาธิการศาลดำเนินการรวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงเสนอให้คณะตุลาการศาลพิจารณา
ทั้งนี้ เลขาฯ ศาลรัฐธรรมนูญ ได้ให้นายโกวิทพิจารณาเอกสารเผยแพร่ของศาลรัฐธรรมนูญถึงผลที่ต่างกันในข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงและกระบวนการที่ได้มาในข้อเท็จจริงที่แตกต่างกัน เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งนายโกวิทเข้าใจ โดยขออภัยต่อศาล และจะเยียวยาหรืออธิบายข้อเท็จจริงความเห็นในทวิตเตอร์ดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนเข้าใจในเนื้อหาของการชี้แจงถึงความแตกต่างในคดีของหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กับ 32 ส.ส. เนื่องจากคดีของหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ทำการสืบสวนมาพอสมควรแล้ว และมีเอกสารหลักฐานจากกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับบริษัทดังกล่าว แตกต่างจากคดีของ 32 ส.ส.
ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ประชุมและพิจารณาถึงข้อมูลข้อเท็จจริงทั้งในส่วนของบันทึกถ้อยคำของนายโกวิท และข้อความในทวิตเตอร์ดังกล่าวเมื่อวันที่ 13 ก.ย. ที่ชี้แจงต่อประชาชนถึงเหตุผลในการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้แล้ว เห็นว่า ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล กรณีการวิจารณ์คำสั่งหรือคำวินิจฉัยคดีที่มิได้กระทำโดยสุจริต โดยใช้ถ้อยคำที่มีความหมายหยาบคาย เสียดสี หรืออาฆาตมาดร้าย ตามมาตรา 38 พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 นั้น นายโกวิทได้ชี้แจงข้อเท็จจริง และขออภัยต่อศาลแล้ว
4.“ปิยบุตร-สร.” รอด กกต.ยกคำร้องกล่าวหาใส่ร้ายพรรคอื่นด้วยความเท็จ ชี้ แค่แสดงความเห็นทางการเมือง!
เมื่อวันที่ 10 ต.ค. สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เผยแพร่คำวินิจฉัย กกต.กรณีก่อนประกาศการเลือกตั้ง กกต.ได้รับคำร้องว่า พรรคเสรีรวมไทย (สร.) และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ และผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) เป็นผู้ถูกร้องที่ 1-2 ได้กระทำการฝ่าฝืน พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 โดยใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมืองเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเอง
โดยในส่วนของพรรคเสรีรวมไทย มีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “คนไทยหัวใจเสรี” ลงเผยแพร่ข้อความว่า “การบริหารประเทศที่เต็มไปด้วยการผูกขาด กฎระเบียบที่กดหัวประชาชน มองประชาชนเป็นแหล่งหาเงินส่งให้รัฐ ไม่ให้ประชาชนเรียนรู้ ไม่ส่งเสริมการพึ่งพาตนเอง ปากก็อ้างว่าเศรษฐกิจพอเพียง ในเมื่อชาวนาพึ่งพาตัวเองได้ด้วยเมล็ดพันธุ์ที่เก็บไว้แล้ว ซึ่งก็ถูกต้องแล้ว พวกเอ็งยังมีหน้ามาดึงเอาสิ่งที่ชาวนาทำกันมาไปเป็นของนายทุน เราต้องบอกคนเฒ่าคนแก่ว่า พวกเผด็จการ พรรคพลังประชารัฐ และพรรคที่ส่งเสริมประยุทธ์ เป็นนายก กำลังจะทำให้ประชาชนเดือดร้อนกันทั้งแผ่นดิน เพียงเพราะผลประโยชน์ของตัวเอง” และข้อความว่า “มันคืออะไรกัน แอดมินโกรธมาก #xxxx ขายข้าว ต้องผ่านรัฐ ขายเอง จับติดคุก คลอดแล้ว พ.ร.บ.ข้าว เก็บ 17% ชาวนาปวดใจ ปลูกข้าวได้แต่ห้ามขาย ฝืนโทษหนัก 5 ปี ปรับ 5 แสนบาท” ซึ่ง กกต. เห็นว่า เนื้อหาของข้อความเป็นการหยิบยกข่าวสารที่ได้นำเสนอทางสื่อต่างๆ มาวิพากษ์วิจารณ์ และแสดงความเห็นทางการเมือง ข้อความที่เผยแพร่ดังกล่าวไม่ถึงขนาดเป็นการใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง
ส่วนกรณีนายปิยบุตร ได้ลงเผยแพร่ข้อความในเฟซบุ๊กว่า “...คนอีสานถูกทำให้เชื่อว่าเป็นคนตลก เป็นแรงงาน ไม่มีความรู้ แต่แท้จริงแล้ว คนอีสาน คือ “เดินแดงกำแพงเหล็ก” เป็นดินแดนแห่งนักประชาธิปไตย นักต่อสู้ความอยุติธรรม ขจัดความเหลื่อมล้ำในประเทศนี้ ทำให้รัฐจากส่วนกลาง จับมือกับสื่อมวลชนบางกลุ่มผลิตสื่อเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้คนอีสานเป็นคนตลก ไม่มีความรู้ นั่นก็เพราะพวกเขากลัวความเป็นนักต่อสู้ นักประชาธิปไตยแห่งแดนอีสาน ดังนั้นพรรคอนาคตใหม่ยืนยันจะเข้ารัฐสภาเพื่อทวงคืนอำนาจให้กับคนอีสาน…” กกต. เห็นว่า ข้อความดังกล่าว มิได้ระบุถึงบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นการเฉพาะ และเนื้อหาของข้อความเป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ยังไม่ถึงขนาดเป็นการใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่า พรรคเสรีรวมไทย และนายปิยบุตร กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (5) ตามคำร้องแต่อย่างใด จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
5.ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนจำคุก “ลุงวิศวะ” 10 ปี คดียิงวัยรุ่นดับที่เมืองชลฯ เหตุเป็นฝ่ายเริ่มวิวาท-ไม่ยับยั้งชั่งใจ!
ความคืบหน้าคดีนายสุเทพ โภชนสมบูรณ์ อายุ 50 ปี อาชีพวิศวกร มีเรื่องกับกลุ่มวัยรุ่น และถูกกลุ่มวัยรุ่นกรูเข้าล้อมรถเก๋งพยายามทำร้าย นายสุเทพจึงใช้ปืนยิงสวน จนเป็นเหตุให้นายนวพล หรือปอน ผึ่งผาย อายุ 17 ปี เสียชีวิต เหตุเกิดบริเวณสามแยกถนนอ่างศิลา ต.อ่างศิลา อ.เมือง จ.ชลบุรี เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 4 ก.พ.2561 ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำคุกนายสุเทพ เป็นเวลา 15 ปี ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือ 10 ปี ปรับคดีอาวุธปืน 2,000 บาท ให้จ่ายค่าสินไหมทดแทน 340,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
ล่าสุด เมื่อวันที่ 10 ต.ค. ศาลจังหวัดชลบุรีได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 คดีนี้ที่พนักงานอัยการจังหวัดชลบุรีเป็นโจทก์ และ น.ส.มณีพร ผึ่งผาย โจทก์ร่วม ฟ้องนายสุเทพ เป็นจำเลย โดยศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามพฤติการณ์ เมื่อพวกของผู้ตายขับรถตู้มาจอดที่หน้าร้านขายของฝาก กีดขวางทางออกของจำเลย แล้วมีการโต้เถียงกันนั้น ยังไม่ปรากฏว่ามีคำพูดที่ไม่สุภาพจากฝ่ายใด แต่หลังจากจำเลยกะพริบไฟใส่รถตู้ และบีบแตรหลายครั้ง จำเลยเริ่มใช้คำพูดไม่สุภาพในลักษณะยั่วโทสะของผู้ตาย โดยขณะนั้นจำเลยมีอาวุธปืนของกลางอยู่ใกล้ตัว แสดงว่าจำเลยและภริยามีโทสะ และพร้อมที่จะมีเหตุวิวาทกับพวกของผู้ตาย การที่จำเลยอุทธรณ์อ้างว่า เหตุการณ์ในขณะนั้นมีปากเสียงกันเพียงเล็กน้อยและจบลงแล้ว จึงฟังไม่ขึ้น
เมื่อพวกของผู้ตายขับรถตู้และรถเก๋งออกไปแล้ว หากจำเลยมีสติ รู้จักยับยั้งชั่งใจบ้าง โดยจอดรถรอสักพักหนึ่งก่อน เพื่อให้โทสะคลายลง แล้วค่อยขับรถออกไป เหตุทะเลาะวิวาทในคดีนี้คงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่จำเลยกลับขับรถตามไปในทันที ขับแซงรถตู้บีบแตรยาวใส่ แสดงให้เห็นว่าจงใจเจตนายั่วโทสะพวกของผู้ตาย มิใช่การบีบแตรเตือนดังที่จำเลยอ้างในอุทธรณ์
จำเลยขับไปอยู่ด้านหน้า เมื่อพวกของผู้ตายซึ่งขับตามรถจำเลยมาบีบแตรยาวและเปิดไฟสูงใส่รถจำเลย อันเป็นการส่งสัญญาณความไม่พอใจและท้าทาย จำเลยก็ชะลอความเร็วลงจนเกือบจะหยุดรถ เพื่อให้พวกผู้ตายขับชนท้ายและบีบแตรรถในลักษณะส่งสัญญาณโต้ตอบกลับไป อันเป็นการรับคำท้าทายของฝ่ายผู้ตายกับพวก ทั้งมีเจตนายั่วโทสะฝ่ายผู้ตายให้เพิ่มมากขึ้น และไม่กรงกลัวจะมีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน เหตุที่จำเลยมีพฤติการณ์เช่นนี้ ก็เนื่องจากจำเลยมีอาวุธปืนติดตัวไปด้วย แสดงให้เห็นถึงนิสัยและพฤติกรรมของจำเลยว่า พร้อมที่จะสมัครใจวิวาท
นอกจากนี้ จำเลยยังขับรถปาดหน้าและขัดขวางมิให้รถเก๋งของพวกผู้ตายขับต่อไปได้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาวิวาทกับผู้ตายและพวกมาตลอดเส้นทาง จนกระทั่งถึงที่เกิดเหตุ จำเลยก็ยังมีเจตนาวิวาทอยู่ เมื่อจำเลยเห็นว่าผู้ตายกับพวกมากันหลายคนก็เริ่มเกิดความกลัว แต่ยังคงพูดกับผู้ตายและพวกด้วยน้ำเสียงดุดัน ในลักษณะไว้ท่าทีว่าจะเอาเรื่อง มิใช่คำพูดในทำนองขอโทษการกระทำของตน หรือแสดงให้เห็นว่าไม่อยากมีเรื่องหรือให้เลิกแล้วกันไป แม้ฝ่ายผู้ตายกับพวกทำร้ายร่างกายจำเลยก่อน จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย แต่เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อเนื่องเชื่อมโยงกันมาไม่ขาดตอน นับระยะเวลาตั้งแต่ต้นจนจบเพียง 5 นาทีเศษ ตามพฤติการณ์ จำเลยเป็นผู้เริ่มต้นก่อให้เกิดเหตุทะเลาะวิวาท และเมื่อจำเลยยั่วโทสะท้าทายจนฝ่ายผู้ตายโต้ตอบ และสมัครใจร่วมวิวาทกับจำเลยแล้ว จำเลยจึงไม่อาจกล่าวอ้างว่าฝ่ายผู้ตายเป็นผู้ก่อเหตุ จำเลยจึงจำต้องชักปืนออกมายิงเพื่อป้องกันชีวิตของจำเลยและคนในครอบครัว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
หลังศาลฯ อ่านคำพิพากษา นายสุเทพได้ให้ทนายความยื่นขอประกันตัวเพื่อขอสู้คดีต่อในชั้นฎีกา ด้วยเงินสดจำนวน 874,000 บาท พร้อมกล่าวว่า ยอมรับในคำตัดสินของศาล แต่ต้องการสู้เพื่อให้ความจริงปรากฏ อีกทั้งตนยังมีปัญหาในเรื่องสุขภาพ เป็นโรคเบาหวานและอีกหลายโรค
ขณะที่มารดาของผู้เสียชีวิต กล่าวว่า รู้สึกพอใจคำตัดสินของศาล ทำให้เห็นว่าความยุติธรรมมีจริง