วิธีลงโทษประหารชีวิตด้วยการใช้ดาบฟันให้หัวหลุดกระเด็นจากบ่าลงไปกลิ้งอยู่กับพื้น เลือดพุ่งกระฉูดขึ้นเป็นลำ นับเป็นภาพที่สยดสยองแก่ผู้พบเห็น และแน่นอนว่าจะต้องทารุณจิตใจต่อผู้ที่ถูกประหารอย่างมาก แต่ถ้าย้อนไปดูวิธีลงโทษในอดีตซึ่งมีวิธีอุตริพิสดารมากมาย คนที่ถูกลงโทษอาจขอให้ตัดหัวเสียเลยยังจะดีกว่า
อย่างเช่น พระเพทราชา อดีตคนเลี้ยงช้าง ซึ่งยึดอำนาจได้เมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชสวรรคต ขึ้นชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่โหดร้ายอำมหิต มีความสุขที่ได้เห็นผู้อื่นถูกทารุณ ได้สั่งประหารแม่ทัพนายกองที่ให้ไปตีเมืองนครราชสีมาแล้วทำไม่สำเร็จ กลับมาจึงให้เอาเหล็กเผาไฟจนแดงนาบเท้าทุกคน และให้เอาไม้แหลมแทงลิ้นในระหว่างสอบสวนความผิด มีจดหมายเหตุของชาวฝรั่งเศสในกรุงศรีอยุธยาบันทึกเรื่องนี้ไว้ว่า
“...เมื่อชำระได้ความตามที่ต้องการแล้ว จึงนำทุกคนไปมัดกับหลักไม้ นั่งขัดสมาธิกับพื้นดิน มีไม้อุดปากไว้เพื่อมิให้ร้องอื้ออึงหนวกหู เจ้าพนักงานเอามีดแหลมเฉือนศีรษะถึงกะโหลก แล้วสับหนังให้ละเอียด หลังจากนั้นเอามีดเฉือนเนื้อ แล่ตั้งแต่บั้นเอวจนถึงไหล่ ตัดเนื้อออกจากแขนเป็นชิ้นๆ ตัดนิ้วเท้านิ้วมือ และบังคับนักโทษทุกคนกลืนเนื้อของตัวเอง เจ้าพนักงานได้เรียกบรรดาผู้หญิงที่มุงดูให้มารุมเอากำปั้นทุบเนื้อเละบนศีรษะ เพื่อให้ท่านเหล่านั้นได้รับความอับอายปะปนกับความเจ็บปวด บางคนที่กินเนื้อตัวเองไม่ลงก็เอาเงินที่ละลายร้อนกรอกใส่ปาก ใครตายก็สบายไป ใครไม่ตายก็ถูกทรมานต่อไป บางคนทนอยู่ได้ไม่ยอมสิ้นใจเป็นเวลาถึง ๑๒ วัน...”
เมื่อทรงเบื่อพวกที่ไม่ยอมตายง่ายๆ จึงให้แหวะท้องทุกคนให้เอาศพไปไปเสียบไม้ไว้ที่ประตูเมือง สะด้วยหนามไผ่ไว้รอบเพื่อไม่ให้ใครเอาศพไปเผาหรือไปฝัง ส่วนลูกเมียที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรด้วยก็ให้ต้อนเอาไปไว้กลางทุ่ง แล้วเผาทุ่งให้ไฟคลอกทั้งเป็น
อะไรจะโหดร้ายปานนั้น... อย่างนี้ตัดหัวเสียเลยยังจะดีกว่า
สำหรับโทษที่ประทุษร้ายต่อกษัตริย์นับเป็นความผิดอย่างใหญ่หลวง แค่ตายยังน้อยไป ในหนังสือพระอัยการกบฏศึกจึงกำหนดโทษไว้ว่า
“...สถานหนึ่งคือต่อยกบาลศีรษะออกเสีย แล้วเอาคีมคีบก้อนเหล็กแดงใส่ลงไป ให้มันสมองพุ่งฟูดังหม้อเคี่ยวน้ำส้มพะอูม...”
“...สถานหนึ่งคือให้นอนลงข้างๆหนึ่ง แล้วให้เอาหลาวเหล็กตอกลงไปโดยช่องหูให้แนบกับพื้นดิน แล้วจับเท้าทั้งสองหันเหียนไปดังบุคคลท่าทางเวียน...”
“...สถานหนึ่งคือให้เอาขวานผ่าอกทั้งเป็น แหกทั้งโครงเนื้อ...”
“...สถานหนึ่งคือเชือดเนื้อให้เป็นแร่งเป็นริ้วอย่าให้ขาด ให้เนื่องด้วยหนังตั้งแต่ใต้คอลงไปถึงข้อเท้า แล้วเอาเชือกผูกให้จำเดินเหยียบย่ำริ้วเนื้อหนังแห่งตน ให้ฉุดคร่าตีจำให้เดินไปกว่าจะตาย...”
“...สถานหนึ่งคือให้แล่สับฟันทั่วกาย แล้วเอาแปรงหวีชุบน้ำแสบกรีดครูดขุดเซาะหนังและเนื้อและเอ็นน้อยใหญ่ ให้ลากออกมาให้สิ้น ให้อยู่แต่ร่างกระดูก...”
โห...ช่างคิดกันจริงๆ และในกำหนดโทษนี้ไม่ใช่แค่ให้ตายคนเดียว แต่ให้ลงโทษฆ่ากันทั้งโคตรเลย
นอกจากนี้ยังมีวิธีฆ่าแบบโหดๆให้ตายอย่างทารุณทีละน้อย อย่างเช่น ใช้เหล็กงอเป็นเบ็ดเกี่ยวคางแขวนไว้ให้แตะพื้นแค่ปลายเท้า.. ให้แล่เนื้อทีละชิ้นจนกว่าจะตาย.. ให้ช้างแทง.. ให้เสือกิน.. เป็นต้น
การตัดหัวประหารชีวิตในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก่อนที่จะเลิกวิธีการนี้ มีการกำหนดขั้นตอนไว้อย่างรัดกุม คือเมื่อศาลตัดสินประหารชีวิตนักโทษแล้ว ก็จะต้องถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานเพื่อป้องกันการเปลี่ยนตัว เพราะเริ่มมีการใช้กล้องถ่ายรูปกันแล้วตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ ๔ จากนั้นก็ส่งตัวไปคุมขังในห้องรอประหารของกองมหันตโทษ โดยกระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้กำหนดวันให้เอานักโทษไปสู่หลักประหารภายในเวลาไม่เกิน ๑ ปี
เมื่อกรมราชทัณฑ์ได้รับคำสั่งให้เอานักโทษไปประหารแล้ว ยังมีระบบตรวจสอบอีกมาก เพื่อป้องกันการเปลี่ยนตัว โดยจะเบิกตัวนักโทษมาพิมพ์ลายมือส่งไปให้กองพิมพ์ลายมือตรวจสอบว่าเป็นคนเดียวกับที่พิมพ์ไว้ในคำพิพากษาหรือไม่ ทั้งยังให้เจ้าหน้าที่ที่ทำการจับกุม ผู้เห็นเหตุการณ์ โจทก์หรืออัยการมาชี้ตัวนักโทษด้วย
สถานที่ใช้เป็นแดนประหารนี้ต้องย้ายกันหลายครั้ง เพราะเป็นที่รังเกียจของคนในท้องที่ยิ่งกว่ากองขยะในสมัยนี้เสียอีก แต่เดิมใช้วัดโคก หริอวัดพลับพลาชัย ต่อไปย้ายไปป่าช้ามักกะสัน แต่ต่อมาเห็นว่าอยู่ใกล้กับใจกลางพระนครเกินไป มีเรือกสวนไร่นาและชุมชนอยู่โดยรอบ เลยย้ายไปประหารที่วัดบางปลากด เมืองพระประแดง การเดินทางไปค่อนข้างลำบาก ต้องรอให้น้ำขึ้นจึงเอาเรือเข้าไปได้ สถานที่แห่งใหม่นี้แม้กรมราชทัณฑ์จะสร้างกำแพงคอนกรีตขึ้นล้อมป่าช้า แต่สมภารและชาวบ้านรอบวัดร้องทุกข์กันมาก จึงย้ายข้ามไปที่วัดโบสถ์ฝั่งเมืองสมุทรปราการ ซึ่งเป็นวัดร้างไม่มีพระจำพรรษา
แดนประหารเหล่านี้ในสมัยมีการตัดถนน เมื่อไปตรงกับป่าช้าเข้า ก็เจอโครงกระดูกเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีหัว
ใน พ.ศ.๒๔๗๗ มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ร.ศ.๑๒๗ ว่าด้วยการประหารชีวิต ได้เปลี่ยนจากการ “ให้เอาไปตัดศีรษะเสีย” เป็น “ให้เอาไปยิงเสียให้ตาย” อาวุธที่ใช้ประหารจึงเปลี่ยนจาก ๒ ดาบ มาเป็น ๑๕ นัดจากปืนกลแบบแบล็คมันน์ ก่อนจะมาเป็นฉีดยา ๓ เข็มอย่างในวันนี้
นักโทษที่ถูกตัดหัวรายสุดท้าย มีขึ้นเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๔๖๒ ที่วัดภาษี คลองตัน กทม.นักโทษที่ถูกประหารด้วยแบล็คมันน์คนแรกเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๔๗๘ ส่วนคนแรกที่ถูกประหารด้วยการฉีดยาคือวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๔๖ ส่วนนักโทษคนสุดท้ายที่ถูกประหารชีวิต เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๑ มานี่เอง และยังมีรอคิวอีกหลายคน