เมื่อสัปดาห์ก่อนไปเยี่ยมคนไข้ที่โรงพยาบาลตากสิน ถนนสมเด็จเจ้าพระยา ปากคลองสาน เมื่อมองผ่านหน้าต่างชั้น ๑๑ อาคารสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชออกไป ก็ต้องตะลึงต่อภาพเบื้องหน้าอยู่ชั่วครู่ เมื่อได้เห็นโบราณสถานที่เรียงรายอยู่เพียงในกรอบหน้าต่างนั้น เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ได้มากมายหลายเรื่อง
อันดับแรก หย่อมป่ากลางเมืองที่เขียวขจีอยู่หน้าโรงพยาบาล หรือด้านซ้ายของภาพ ก็คือที่ตั้งของโรงพยาลสมเด็จเจ้าพระยา โรงพยาบาลโรคจิตแห่งแรกของประเทศไทย สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ บนพื้นที่ซึ่งเป็นบ้านเก่าของ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) แต่ก่อนเรียกกันว่า “หลังคาแดง” และป่าแห่งนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของการใช้รักษาคนไข้ด้วยวิธีธรรมชาติบำบัด ส่วนโครงเหล็กสีแดงที่ลอยฟ้าอยู่เหนือหมู่ไม้นั้น ก็คือการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายใหม่ ซึ่งสมเด็จเจ้าพระยาก็คงไม่ได้คาดคิดว่าจะมีรถไฟฟ้าผ่านหน้าบ้านท่าน
ถัดไปบนสุดด้านซ้ายของภาพ จะเห็นพระปรางค์สีขาวเสียดยอดแข่งกับอาคารตึกสมัยใหม่ นั่นก็คือวัดพิชัยญาติ หรือชื่อทางการว่า วัดพิชยญาติการาม ซึ่ง “สมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อย” หรือ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัต บุนนาค) สร้างขึ้นในปี ๒๓๗๒ หลังจากเกิดเรื่องเศร้าโศกที่สุดในชีวิตเกิดขึ้น เมื่ออ้ายพลาย กับ อีทรัพย์ ทาสของ พระสุริยภักดี บุตรชายคนเดียวของท่าน ได้ล่วงรู้ความลับของพระสุริยะภักดี กลัวว่าตัวจะมีความผิดไปด้วย จึงนำเรื่องราวไปร้องต่อ เจ้าพระยาธรรมา เสนาบดีกระทรวงวัง ว่าพระสุริยะภักดีลอบรักใคร่กับ เจ้าจอมอิ่ม พระสนมในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ โดยติดต่อให้ข้าวของกำนัลกัน และเจ้าจอมอิ่มได้สั่งความให้มาบอกพระสุริยะภักดีว่า จะขอลาออกจากราชการมาอยู่บ้านพ่อแม่สักพักก่อน แล้วจึงให้พระสุริยะภักดีส่งเถ้าแก่ไปสู่ขอ ทั้งยังระบุด้วยว่า พระสำราญราชหฤทัย (อ้าว) รู้เห็นเป็นใจรับจะสู่ขอเจ้าจอมอิ่มกับพระมหาเทพ ผู้เป็นบิดาของเจ้าจอมอิ่มให้
จากการไต่สวนได้ความว่า พระสุริยะภักดีกับเจ้าจอมอิ่มยังไม่เคยพบปะพูดจากันเลย เป็นแต่ส่งเพลงยาวและของกำนัลให้กัน โดยมีพระสำราญราชหฤทัย ซึ่งสังกัดกรมวัง และหมอดู หมอเสน่ห์ของทั้งสองฝ่ายทราบเรื่องอีกรวม ๗ คน
เมื่อตระลาการนำคำไต่สวนขึ้นกราบบังคมทูล ได้รับสั่งให้สมเด็จเจ้าพระยา ซึ่งขณะนั้นยังมีบรรดาศักดิ์เป็น พระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษาธิบดี ตำแหน่งพระคลัง เข้าเฝ้า มีพระราชกระแสรับสั่งว่า พระสุริยะภักดียังเป็นหนุ่มรุ่นคะนอง ย่อมจะทำผิดพลาดไปโดยไม่ทันได้คิดถึงความผิดถูก อีกทั้งก็ยังมิได้พบปะพูดจากันเลย จึงมีพระกรุณาธิคุณจะยกโทษให้ แต่เมื่อมีเรื่องราวกล่าวโทษมีโจทก์ขึ้นมาเช่นนี้แล้ว จะทรงปล่อยให้เรื่องเงียบหายไปเลยก็ไม่ได้ ทรงพระมหากรุณารับสั่งให้พระยาพระคลังทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นมา และขอทำทัณฑ์บนไว้ จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานอภัยโทษให้พระสุริยะภักดี
พระยาพระคลังกราบทูลว่า ท่านเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัย เมื่อบุตรของท่านทำผิดบทพระอัยการร้ายแรงเช่นนี้ ยิ่งสมควรจะรักษากฎหมายของบ้านเมืองไว้ มิฉะนั้นจะเป็นการเสียหายต่อแผ่นดิน เสมือนเป็นบุตรของท่านแล้วย่อมมีอภิสิทธิ์ทำอะไรก็ไม่มีความผิด ขอให้ลงพระราชอาญาตามแต่คณะลูกขุนจะพิจารณาเถิด
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้ลูกขุนศาลา ซึ่งก็มีพระยาพระคลังร่วมอยู่ในคณะด้วย ดำเนินการพิจารณาโทษของพระสุริยะภักดีไปตามกฎระเบียบตามที่พระยาพระคลังทูลขอ
พระกฤษฎีกาได้กำหนดโทษในเรื่องนี้ไว้ว่า ชายใดบังอาจสมรักด้วยนางใน ก็ให้ประหารชีวิตเสียทั้งชายและหญิง ส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องรู้เห็นเป็นใจ ก็ให้ประหารชีวิตเสียด้วยกัน ด้วยเหตุนี้ พระสุริยะภักดีและเจ้าจอมอิ่มกับผู้ที่รู้เห็นเป็นใจอีก ๗ คน จึงถูกลงโทษด้วยการประหารชีวิตทั้งหมด
แน่นอนว่า สมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อยและท่านผู้หญิง หวังจะให้ลูกชายคนเดียวเป็นผู้สืบสกุล ย่อมจะต้องปวดร้าวใจเป็นอย่างยิ่งในการรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายและเกียรติยศของวงศ์ตระกูลที่จงรักภักดีต่อแผ่นดิน รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๑
หลังจากนั้น สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ ก็ได้สร้างวัดพิชัยญาติขึ้น ซึ่งต่อมารัชกาลที่ ๔ ได้พระราชทานนามให้ว่า “วัดพิชยญาติการาม” ส่วนท่านผู้หญิงน้อย ผู้เป็นมารดาของพระสุริยะภักดี ก็ได้สร้าง “วัดอนงคาราม” ขึ้นในที่ดินซึ่งเป็นสวนกาแฟของท่าน อยู่ฝั่งตรงข้ามคลองสมเด็จเจ้าพระยากับวัดพิชัยญาติ ที่วงเวียนเล็กในปัจจุบัน
หลังวัดอนงคารามเข้าไปเกือบถึงริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งไม่เห็นสิ่งก่อสร้างปรากฏในภาพนี้ เป็นนิวาสสถานเก่าของ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี “สมเด็จย่า” แม่ฟ้าหลวงของปวงชนชาวไทย ซึ่งเรียบง่ายตามบุคลิกของ “สมเด็จย่า” จึงไม่มีสิ่งก่อสร้างสูงเด่น
“บ้าน” ในหนังสือ “แม่เล่าให้ฟัง” พระนิพนธ์ของสมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ กล่าวไว้ว่า
“...เมื่อจำความได้แม่ก็อยู่ที่ธนบุรีแล้ว ที่ซอยซึ่งปัจจุบันเป็นซอยวัดอนงค์ “บ้าน” จะเป็นส่วนหนึ่งของอาคารซึ่งก่อด้วยอิฐ หลังคาเป็นกระเบื้องและประกอบด้วยหลายชุด (Unit) ด้านหนึ่งของ “บ้าน” มี ๔-๕ ชุดซึ่งมีคนอยู่ อีกด้านหนึ่งพังไปแล้วและร้าง “บ้าน” ที่อยู่นั้นเก่าพอใช้และอยู่ในสถานที่ไม่ดี เพราะไม่มีการซ่อมแซมเลย บ้านนั้นเป็นบ้านเช่า แต่เช่าเพียงกำแพง ผนังและหลังคา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นไม้ เช่นพื้นนั้นผู้เช่านำมาเอง...และข้างหน้าบ้านมีระเบียง พื้นเป็นไม้ ปิดข้างๆ และหลังคามุงจาก ส่วนนอกก่อนจะถึงถนนเป็นอิฐแล้วจึงเป็นถนน เมื่อเข้าไปในบ้านแล้วจะมีห้องโล่งๆ ด้านขวามือมียกพื้นเป็นไม้ทั้งสองห้อง ห้องพระและห้องประกอบอาชีพของพ่อแม่ ทุกเช้าผู้ใหญ่จะถวายข้าวพระพุทธ และหลังเที่ยงแม่จะเป็นผู้สวด “เสสังมังคะลังยาจามิ” เพื่อลาของถวาย และนำอาหารที่บรรจุอยู่ในถ้วยเล็กๆ มากิน ถัดไปมีห้องซึ่งเป็นห้องนอน และข้างหลังจะมีห้องครัวยาวตลอดซึ่งกั้นด้วยกำแพง หลังกำแพงนี้มีที่โล่งๆ ซึ่งจะไปถึงได้ถ้าอ้อมไป เพราะทางครัวไม่มีประตูออก ในบ้านไม่มีห้องน้ำ การอาบน้ำนั้นอาบกันที่หน้าบ้าน ตุ่มน้ำจะตั้งอยู่ที่ระเบียง หรือไปอาบกันที่คลองสมเด็จเจ้าพระยา...”
ในกลางปี ๒๕๓๖ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ทรงพระราชทานกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับนักดนตรีวง อ.ส.ผู้หนึ่ง มีพระราชกระแสให้ไปสำรวจถึงสภาพพื้นที่ที่ทรงทำเครื่องหมายไว้ในกระดาษแผ่นนั้น
ในวันรุ่งขึ้น นักสำรวจ ๓ คนจึงไปที่ซอยช่างนาคหลังวัดอนงคาราม ตระเวนเคาะประตูสอบถามถึงความทรงจำในอดีตกับคนที่อยู่มานาน และเมื่อประมวลข้อเท็จจริงแล้วก็สรุปได้ว่า บริเวณที่ทรงทำเครื่องหมายไว้นั้น ปัจจุบันได้กลายเป็นห้องแถว ๒ ชั้นที่เพิ่งสร้างเมื่อ ๓๐ กว่าปีมานี่เอง จึงนำความขึ้นกราบบังคมทูล
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไปสำรวจเพิ่มเติมบริเวณโดยรอบจุดนั้น โดยทรงเล่าถึงบรรยากาศและเหตุการณ์ที่สมเด็จพระศรีนครินทร์ฯ ทรงเล่าไว้เกี่ยวกับเรื่องราวเมื่อครั้งประทับอยู่ ครั้งนี้คณะสำรวจได้บันทึกภาพกลุ่มอาคารเก่าแก่ซึ่งเป็นตึกแถวชั้นเดียว ยาวติดกัน ๑๒ คูหา มีสภาพทรุดโทรม มีลักษณะที่นิยมสร้างกันในสมัยรัชกาลที่ ๓ เดิมเป็นบ้านของเจ้าพระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษาธิบดี (แพ บุนนาค) อธิบดีกรมพระคลังสินค้าในรัชกาลที่ ๕ มีลักษณะคล้ายคลึงกับอาคารที่สมเด็จศรีนครินทร์ฯ เคยประทับ
เมื่อ นายแดง นานา กับ นายเล็ก นานา สองพี่น้องผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินทราบถึงพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงพร้อมใจกันแสดงความจำนงที่จะทูลเกล้าฯ ถวายที่ดิน ๔ ไร่นี้ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิชัยพัฒนารับเป็นเจ้าของที่ดิน พัฒนาเป็นอุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระราชดำเนินทรงเปิดอุทยานฯ ในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๐
อุทยานเฉลิมพระเกียรติฯ แห่งนี้ เปรียบประดุจพระราชอนุสรณ์สถานที่ระลึกถึงความรัก ความผูกพัน กอปรด้วยพระราชหฤทัยอันเปี่ยมไปด้วยกตัญญุตาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงถวายแด่สมเด็จพระราชมารดาของพระองค์ ซึ่งผู้ได้รับประโยชน์จากสวนสาธารณะแห่งนี้ ก็คือเหล่าผู้อยู่ใต้เบื้องพระยุคลบาททั้งหลายนั่นเอง
ทางขวาของภาพ ด้านบนจะเห็นเจดีย์สีขาวสูงเสียดฟ้าอีกแห่ง นั่นก็คือ “วัดรั้วเหล็ก” สมญานามที่ชาวบ้านเรียกวัดประยุรวงศาวาส ที่อยู่เชิงสะพานพุทธฯฝั่งธนบุรี เพราะมีรั้วแปลกกว่าทุกแห่ง เป็นเหล็กหล่อทาสีแดง ทั้งยังเป็น “รั้วสั่งนอก” ทำเป็นรูปอาวุธโบราณ คือ หอก ดาบ และขวาน อันเป็นที่มาของสร้อยที่ชาวบ้านพูดให้คล้องจองกันว่า “ขวานสามหมื่น ปืนสามกระบอก หอกสามแสน”
รั้วเหล็กเหล่านี้ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) ซึ่งเรียกกันว่า “สมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่” สั่งเข้ามาจากประเทศอังกฤษ ทูลเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เผื่อทรงใช้ล้อมสถานที่ต่างๆในพระบรมมหาราชวัง โดยเอาน้ำตาลทรายซึ่งเป็นสินค้าไทยที่ยุโรปต้องการมากในสมัยนั้น ไปแลกมาด้วยอัตราน้ำหนักต่อน้ำหนัก และเป็นรั้วแบบที่กำลังได้รับความนิยมในกรุงลอนดอน แต่รัชกาลที่ ๓ ไม่ทรงโปรด ฉะนั้นเมื่อสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่สร้างวัดขึ้นในปี ๒๓๗๑ จึงขอพระราชทานรั้วซึ่งไม่ทรงนิยมนี้มาถวายวัด และเมื่อถวายวัดเป็นพระอารามหลวงในปี ๒๓๗๕ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯได้พระราชทานนามให้ว่า “วัดประยุวงศาวาส”
ต่อมาในวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๓๗๙ มีงานเฉลิมฉลองวัดประยุรวงศ์ฯ มีมหรสพมากมาย ทางผู้จัดต้องการจะให้เป็นงานใหญ่สมกับเป็นงานของสมเด็จเจ้าพระยา จึงใช้ปืนใหญ่เป็นที่จุดไฟพะเนียง โดยเอาโคนกระบอกฝังลงดินให้ปลายชี้ขึ้น และอัดดินปืนเข้าไปแน่น หวังจะให้เป็นไฟพะเนียงที่ยิ่งใหญ่ แต่พอจุดก็ได้เรื่อง ดินปืนที่อัดแน่นเกินขนาด ทำให้กระบอกปืนใหญ่แตกเป็นเสี่ยง สะเก็ดกระบอกปืนปลิวว่อน บางชิ้นข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปถึงฝั่งพระนคร คนที่อยู่ใกล้ตายทันที ๘ คน และยังมีผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก หลายรายอยู่ในขั้นสาหัส หมอบรัดเลย์ มิชชันนารีอเมริกัน ซึ่งเป็นผู้นำวิทยาการแพทย์แผนตะวันตกมาสู่ประเทศไทย และเปิดคลินิกอยู่ห่างที่เกิดเหตุราว ๒๕๐ เมตร ถูกตามตัวมาทันที ที่พอใส่ยาได้ก็ใส่ยาฝรั่งกันไป แต่ที่เป็นแผลฉกรรจ์ฉีกขาดยับเยิน หมอบรัดเลย์ว่าต้องตัดแขนหรือขาทิ้งสถานเดียว มิฉะนั้นแผลจะลามทำให้เสียชีวิต คนเจ็บส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าคนเราสามารถตัดบางส่วนของร่างกายออกได้โดยไม่ทำให้ตาย จึงถอยกันเป็นแถว แต่พระสงฆ์รูปหนึ่งใจเด็ด ยอมให้หมอบรัดเลย์ตัดแขนที่ถูกสะเก็ดกระบอกปืนจนกระดูกแตก ทั้งๆที่ตอนนั้นยังไม่มียาชาหรือยาสลบ แต่พระสงฆ์รูปนั้นก็ปลอดภัย แผลหายสนิทในเวลาไม่นาน ซึ่งถือว่าเป็นการผ่าตัดครั้งแรกของประเทศไทย
เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร) บุตรชายของสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ ได้สร้างอนุสาวรีย์ขึ้นที่ใกล้ภูเขาจำลองภายในวัด เพื่อไว้อาลัยผู้เสียชีวิตในครั้งนี้ โดยมีปืนใหญ่ปักคว่ำไว้ ๓ กระบอก คำที่ชาวบ้านพูดว่า “ปืนสามกระบอก” จึงหมายถึงปืนที่อนุสาวรีย์ปืนใหญ่ระเบิดนั่นเอง ส่วน “ขวานสามหมื่น หอกสามแสน” คือรั้ว
เลยจากเจดีย์ของวัดประยุรวงศ์ไป จะเห็นหลังคาโบสถ์สีแดงสูงตะหง่าน นั่นก็คือพระวิหารหลวงของวัดกัลยาณมิตร สร้างขึ้นโดย เจ้าพระยานิกรบดินทร์มหินทรมหากัลยาณมิตร (โต) ต้นตระกูล “กัลยาณมิตร” ว่าที่สมุหนายก ซึ่งอุทิศบ้านและซื้อบ้านที่มีพระภิกษุจีนพำนักอยู่ เรียกกันว่า “บ้านกุฎีจีน” สร้างเป็นวัดขึ้นในปี ๒๓๘๐ น้อมเกล้าฯถวายเป็นพระอารามหลวง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานนามว่า “วัดกัลยาณมิตร” และทรงสร้างพระวิหารหลวงพร้อมพระประธานเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ จำลองมาจากพระพุทธไตรรัตนนายก หรือหลวงพ่อโต ของวัดพนัญเชิง ที่อยุธยา แต่เล็กกว่าเกือบครึ่ง และสร้างหลังจากหลวงพ่อโตของวัดพนัญเชิงถึง ๕๑๓ ปี เป็นที่นับถือของชาวจีน เรียกกันว่า “หลวงพ่อซำปอกง”
ที่ด้านหน้าพระวิหารหลวงแห่งนี้ ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง ก็คือหอระฆังยักษ์ ซึ่งแขวนระฆังใหญ่ที่สุดของประเทศไทย มีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑๙๒ เมตร หนัก ๑๓ ตัน สร้างขึ้นในปี ๒๔๗๔ มานี่เอง กล่าวกันว่าช่างไทยเป็นผู้ริเริ่ม แต่ทำไม่สำเร็จ ช่างญี่ปุ่นมารับต่อ แต่ก็หล่อถึง ๓ ครั้งจึงสำเร็จ
ทางด้านใต้ของวัดกัลยาณมิตร มาทางด้านวัดประยุรวงศ์ ยังมีชุมชนเก่าแก่อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไป ก็คือ “กุฎีจีน” มีวัดซางตาครูสเป็นศาสนสถานที่สำคัญที่อยู่คู่กับชุมชน โดยพระเจ้าตากสินมหาราชได้พระราชทานที่ดินให้กับชาวโปรตุเกสสังกัดกรมทหารแม่นปืน ที่มี หลวงฤทธิ์สำแดง เป็นเจ้ากรม ซึ่งเข้าร่วมกับกองทหารไทยจีน ขับไล่ทหารพม่าออกจากเมืองบางกอกและอยุธยา เมื่อเสร็จศึกแล้วจึงพระราชทานที่ดินใกล้กับพระราชวัง สร้างเป็นที่อยู่อาศัย และได้สร้างโบสถ์ซางตาครูสขึ้น
ชุมชนกุฎีจีนไม่ได้มีแต่ชาวโปรตุเกสจากอยุธยาอพยพมาอาศัยเท่านั้น แต่ยังเป็นที่รวมของชนหลายเชื้อชาติ ทั้งไทย จีน ญวน มอญ มาอยู่รวมกัน จนทุกวันนี้ไม่เหลือความเป็นโปรตุเกสอยู่เลย นอกจาก “ขนมฝรั่งกุฎีจีน” ที่สืบตำรับขนมโปรตุเกสมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของกุฎีจีนในวันนี้
เลยจากยอดพระวิหารวัดกัลยาณมิตรออกไป ทางขวาด้านบนของภาพ จะเห็นยอดแหลมของพระปรางค์องค์หนึ่งอยู่เกือบสุดสายตา นั่นก็คือ พระปรางค์วัดอรุณราชวราราม ที่เป็นสัญลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทย ปรากฏหลักฐานว่าสร้างมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา มีชื่อว่า “วัดมะกอก” เมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชขับไล่พม่าออกไปแล้ว เสด็จทางชลมารคมากรุงธนบุรี ถึงวัดมะกอกเมื่อรุ่งแจ้งพอดี ทรงถือว่าเป็นนิมิตมงคล จึงเสด็จขึ้นไปนมัสการพระเจดีย์ โปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์วัด แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดแจ้ง” สร้างพระราชวังใหม่ที่ด้านทิศใต้ของวัดนั้น เป็นผลให้วัดแจ้งเป็นพระอารามหลวงในเขตพระราชวังกรุงธนบุรี
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้พระราชทานนามใหม่ให้วัดแจ้ง ตามความหมายเดิมว่า “วัดอรุณราชวราราม” ยกฐานะเป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชั้นราชวรมหาวิหาร และเป็นวัดประจำรัชกาล อีกทั้งโปรดให้สร้างพระปรางค์องค์ใหม่ขึ้นแทนองค์เก่า แต่ในระหว่างที่รื้อพระปรางค์องค์เดิมออก ขุดดินวางรากพระปรางค์องค์ใหม่ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยก็เสด็จสวรรคต
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงสืบสานพระราชดำริพระราชบิดา เสด็จมาวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๓๘๕ จนแล้วเสร็จในปี ๒๓๙๔ ใช้เวลาสร้าง ๙ ปี
พระปรางค์วัดอรุณฯองค์ใหม่ มีความสูงจากฐานถึงยอด ๘๒.๘๕ เมตร ครองตำแหน่งสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดของกรุงเทพฯอยู่นาน และเป็นพระปรางค์ที่สูงที่สุดในโลกอีกด้วย
นี่ก็เป็นประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯจากกรอบหน้าต่างบานหนึ่งเท่านั้น หน้าต่างบานอื่นก็ยังมีสิ่งสำคัญอีกมาก ซึ่งเป็นที่มาของกรุงเทพฯ ก่อนที่จะเป็นมหานครในวันนี้