“พลังงานเสียงของแผ่นเสียง มันมีอยู่จริง” นี่เป็นความรู้สึกของผู้หลงใหลเสน่ห์ของแผ่นเสียง คุณอู่-ไตรเทพ วงศ์ไพบูลย์ อยู่เบื้องหลังการทำงานด้านเสียงมากว่า 20 ปี
วงการดนตรีรู้จักเขาในนามวงอิเล็กทรอนิกส์ป็อบแห่งยุค 90's - อู่ Kidnappers จากความรักในเสียงเพลงกลายเป็นความคลั่งไคล้ สู่การสานฝันให้เกิดขึ้นจริง เขาเปิดโรงงานผลิตแผ่นเสียงยุคใหม่ ‘ResurRec’ ที่เน้นสร้างความแตกต่างด้วยการยกระดับการผลิตแบบบูทีค ผลิตแผ่นต่อแผ่น เน้นคุณภาพและการทำงานอย่างละเอียดทุกขั้นตอน
ปัจจุบันคุณอู่เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท กันตนา ซาวด์ สตูดิโอ และกรรมการผู้จัดการบริษัท อพอลโล แลป (2001) ผู้เชี่ยวชาญการทำเสียงในภาพยนตร์และโฆษณา มีผลงานดัง อาทิ ฉลาดเกมส์โกง ที่ไปคว้ารางวัลในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ และ The Grand Master ของผู้กำกับหว่อง กา ไว
“มันเริ่มจากตอน ป.6 คุณตากับคุณพ่อชอบฟังแผ่นเสียง เราก็ฟังด้วย เริ่มเก็บเงินซื้อ ฟังตลอดเวลา ตื่นเช้ามาก็ฟัง ก่อนนอนก็ฟัง ถ้าไม่ได้ไปเรียนก็ฟัง จำได้ว่าฟังๆ อยู่แล้วมันตกร่อง เสียงมันซ้ำไปเรื่อย ๆ ผมฟังอยู่เป็นชั่วโมง จนเราไปยกเข็มอ่านออก พอเริ่มชอบก็หยิบแผ่นอื่น ๆ มาฟังอีก”
จากความคลั่งไคล้ดนตรีในวัยเด็กกลายเป็นนักสร้างสรรค์ทางดนตรี ชวนสัมผัสมุมมองของผู้ให้ความสำคัญกับกระบวนการปลายน้ำของการผลิตเสียง เพื่อเป็นความสุขสำหรับผู้รับฟังทุกคน
เสน่ห์แผ่นไวนิลที่มากกว่าความคลาสสิก
การฟังเพลงบนออนไลน์หรือผ่านแอปพลิเคชันในมือถือทำให้เข้าถึงเพลงใหม่ได้อย่างง่ายดายและเลือกได้ไม่จำกัด ตรงกันข้ามกับการกลับไปสู่บรรยากาศเก่า ๆ เปิดเครื่องเล่นและนั่งฟังแผ่นเสียงที่ให้ทุกประสาทสัมผัสของเราทำงาน
“ผมชอบทุกอย่างเลยครับ รูป รส กลิ่น เสียง คือตอนนั้นยังไม่ได้ติดใจว่าเป็นเสียงของแผ่นเสียง ติดใจที่เป็นเพลงมากกว่า ชอบอาร์ตเวิร์กปก ข้อมูลของคนทำดนตรี เราก็นั่งอ่านนั่งดู กลิ่นของมันก็ชอบ มันมีกลิ่นพิเศษ แผ่นเก่าจากญี่ปุ่นกลิ่นจะไม่เหมือนคนอื่น มันหอมดี บ้านเมืองเขาอากาศแห้ง
ก็เริ่มอยากฟังเพลงมากขึ้น พวกเพลงที่ยังไม่เคยได้ยิน เริ่มใฝ่หาไปเรื่อย ไปเดินดูร้านขายแผ่น เจอแผ่นอยากได้ แต่ไม่มีเงินซื้อ พอเราเก็บเงินได้ คนอื่นซื้อไปแล้ว มันก็จะมีความอยากมากขึ้น สมัยก่อนคนเล่นแผ่นจะรู้กันว่า ถ้าเราไปแล้วอยากได้แผ่นไหน แต่ยังไม่ซื้อ ต้องเอาไปซ่อน ซ่อนในร้านนี่แหละ (หัวเราะ) เราต้องมีที่ซ่อนของเรา ทำให้เกิดความอยากในการซื้อ ความอยากในการฟัง ความสุขในการเสพ มันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มันก็เลยกลายเป็นเราทุกวันนี้”
เริ่มจากเป็นดีเจเปิดแผ่น จนเจอสิ่งที่เป็นตัวเอง
กว่าจะได้ทำโรงงานผลิตแผ่นเสียง คุณอู่สั่งสมประสบการณ์ในงานด้านเสียงทั้งสายหนังและโฆษณา การทำงานหลายด้านผสานกับความสนใจในการทำเพลงจึงเพิ่มความเชี่ยวชาญในงานเสียงมากยิ่งขึ้น
“ตอน ม.3 เป็นดีเจเปิดแผ่นในผับที่พัทยาชื่อ Disco Duck ครับ เงินเดือนสมัยนั้นประมาณ 50,000 ก็ไม่เลวนะ แต่พ่อแม่ห้ามไว้ อยากให้เราเรียนจบก่อน พี่ที่เป็นดีเจบอกว่า มันมีอีกอาชีพนะที่ทำงานเสียง เขาหยิบนิตยสารมาเปิดข้างใน เป็นรูปในห้องอัด มีคนบันทึกเสียง เขียนว่า mixdown by sound engineer ตอนนั้นก็เลยมุ่งมั่นจะเรียนด้านนี้
แต่สัญญากับพ่อแม่ไว้ว่าต้องเรียนให้จบ เอ็นทรานซ์ติดคณะมนุษยศาสตร์ วรรณคดีอังกฤษ ไปเรียนก็รู้ว่า เราไม่ชอบแน่ ๆ ก็เริ่มศึกษาว่าในโลกนี้มีสอน sound engineer ที่ไหน โชคดีตอนนั้นคุณอาเป็นกงสุลใหญ่อยู่ที่อเมริกา คุณพ่อเลยยอมให้ไป
เรียน 3 ปีจบ เหลือเรียนอีก 1 ปี ก็ลงเพิ่ม เรียน Acoustic design ลงลึกในเชิงฟิสิกส์ เรื่องการสะท้อนของเสียง การบันทึกเสียงในห้อง การออกแบบห้องอัด ออกแบบโรงละคร แล้วก็เรียน Audio for Visual เสียงประกอบกับภาพ ปีแรกเรียน Recording art การบันทึกเสียงในสตูดิโอ การทำเพลง”
ช่วงนั้นถือเป็นยุคแรกที่คอมพิวเตอร์ใช้ทำเพลงได้ กลายเป็นทางออกให้กับคนชอบดนตรี คุณอู่เลือกทางที่ใกล้เคียงกับทักษะตัวเองที่สุด นั่นคือเครื่องสังเคราะห์เสียง (synthesizer)
“ช่วงเรียนได้ไปอยู่สถานีวิทยุ อาจารย์แนะนำให้ไปสตูดิโอห้องอัดแถวนั้น ก็ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ร้านขายเครื่องซินฯ (synthesizer) ก็ไปเล่นทุกวัน จนเรารู้จักเครื่อง พอมีลูกค้าจะซื้อ เจ้าของร้านก็ให้เราไปสอนวิธีใช้ ช่วงนั้นผมอินเพลงยุค 80’s ซึ่งเป็นยุคของซินฯ อยู่แล้ว ส่วนใหญ่ฟังอิเล็กทรอนิกส์ ถึงจะชอบเพลงแจ๊ส เพลงคลาสสิก แต่เพลงที่ใกล้ความเป็นตัวเราเป็นอิเล็กทรอนิกส์”
กว่าจะได้ทำตามความฝัน
การได้ทำสิ่งที่ชอบมักจะสวนทางกับชะตาชีวิตเสมอ แม้จะทำงานเสียงมาตลอด แต่วันหนึ่งความเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดขึ้นได้
“ผมสนใจการทำเสียง แต่จุดประสงค์แรกคืออยากทำเพลง ห้องอัดที่ทำอยู่ ทำทั้งเพลงทำทั้งหนัง แต่เรารู้สึกว่าทำเพลงสนุกกว่า วันนึงมีนายทุนโทรมา อยากทำห้องอัดเสียง ในยุคนั้นคือเกือบสามสิบปีมาแล้ว การทำห้องอัดเสียงไม่เหมือนยุคนี้ที่ใครก็ทำได้ เราก็ตกลงทำเลย เริ่มตั้งแต่ต้น เคยเรียนออกแบบห้องอัดมาก็เอามาใช้ เลือกของเองทุกอย่าง เครื่องรุ่นใหม่ที่สุด สร้างห้องอัดชื่อ Gecko Studio
ยุคที่เทปพี่เบิร์ดขายได้ล้านตลับ Gecko อยู่ใกล้กับบริษัทแกรมมี่ที่แรก เขาก็จะเหมาห้องอัดเป็นเดือนเลย เรากินนอนที่นั่น แล้วทำ Kidnappers ตอนห้องอัดว่างด้วย สนุกมาก
แต่มันมีช่วงขาลงคือยุคโฮมสตูดิโอ โปรดิวเซอร์สามารถซื้อคอมพิวเตอร์แล้วทำเพลงที่บ้านเองได้ อัดเสียงร้องก็อัดที่บ้านได้ ลูกค้าเลยน้อยลง โชคดีที่ช่วงนั้นดิสนีย์เข้ามาเมืองไทยแรก ๆ เริ่มหาบุคลากรเกี่ยวกับการอัดเสียง แล้วต้องการอัดเสียงร้องในภาคภาษาไทย หนังเรื่องแรกของดิสนีย์ที่ผมทำคือ สโนไวท์ เป็นเวอร์ชั่นวิดีโอ
เขาพิถีพิถันกับทุกขั้นตอน มีเทรนนิ่งให้ ได้บินไปฝึกต่างประเทศ ก็เลยได้ทำเสียงในภาพยนตร์ ทีนี้กันตนาเป็นหนึ่งในลูกค้า ก็ชวนทำ คิดว่าได้อัพเลเวลมาอีกเลเวล เพราะเป็นห้องอัดใหญ่ เราก็เริ่มจากทำที่นี่ก่อน ตอนนั้นทำห้องอัดเล็ก ๆ กับพี่เมย์ Kidnappers (ภควัฒน์ ไววิทยา) เป็น ‘อพอลโล แลป (2001)’ เน้นเพลงกับเสียงประกอบโฆษณาทีวี ไม่แย่งลูกค้าที่เก่า ก็หาเลี้ยงชีพได้”
พอได้ทำต้องไม่หยุดพัฒนา
ขณะที่คุณอู่ยังคงมุ่งมั่นกับการทำงานสายหนังพร้อมกับงานมาสเตอริ่ง (ควบคุมภาพรวมของเสียงในขั้นตอนสุดท้าย) ให้เหล่าศิลปินดังมากมาย แต่ความชอบแผ่นเสียงก็ไม่เคยหายไป
“synthesizer มีระบบอะแนล็อกกับดิจิทัลนะ ผมชอบ synthesizer ที่เป็นอะแนล็อก มันเป็นยุคเริ่มต้นที่จะเป็นระบบแผ่นเสียง ระบบคอมพิวเตอร์ที่เป็นดิจิทัลตอนนั้นยังไม่มี เทียบให้เห็นภาพง่ายๆ เหมือนคนเขียนหนังสือที่ยังชอบพิมพ์ดีดอยู่
ทีนี้พอทำงานได้สักสิบปี ทำเพลงประกอบหนัง ทำเสียงในหนัง เรื่องเพลงก็ยังทำเรื่อยๆ โดยเฉพาะมาสเตอริ่ง พอเริ่มอยู่ตัว ชีวิตเริ่มสบายขึ้น ก็เลยย้อนกลับมาว่า เราก็ยังชอบทำแผ่นเสียงอยู่ ถ้าชีวิตนี้สามารถทำแผ่นเสียงเองได้ มันคือสุดมากๆ
ก็ไปรู้มาว่า มีคุณลุงอยู่คนหนึ่งอยู่ที่เยอรมนี (Ulrich Sourisseau) เขามีเครื่องเขียนแผ่น เรียกว่า Vinyl dubplate เขียนแผ่นต่อแผ่น เขาทำขายและสอนวิธีทำ ผมก็เลยติดต่อเขาไป ไปเรียนแล้วซื้อเครื่องของเขากลับมา เอามาทำต่อ”
คุณอู่ใช้เวลาฝึกทำหลายปี ลองผิดลองถูก ปรึกษากับเพื่อนและมาสเตอร์ จนทำได้และเรียนรู้ว่าต้องทำให้ดีกว่านี้อีก
“มันเป็นเครื่องเขียนแผ่น ไม่ใช่ปั๊มแผ่นนะครับ วิธีการก็คือ เราเอาแผ่นเปล่าที่เป็นไวนิลเรียบๆ เข้าไปในเครื่อง เครื่องจะขูดแผ่นเป็นร่องๆ จนมันฟังได้ และต้องทำแบบ real-time เป็นแผ่นต่อแผ่น ผมฝึกทำมาจนทำได้ ก็คิดว่าชีวิตก็ฟินแล้วล่ะ แต่ถ้ากลับไปฟังงานเก่า มันยังไม่ดี จนทุกวันนี้ก็ยังคิดอยู่ว่า ทำอย่างไรให้มันดีที่สุด ดีกว่านี้ไปเรื่อยๆ มันเป็นทักษะที่ต้องใช้เวลา”
‘คัท คัท คัท’ คุณอู่เล่าถึงอีเมลที่ถามคุณอุลริชไปเวลาเกิดปัญหา มันหมายถึงการตัดแผ่นไปเรื่อยๆ สิ่งเดียวที่จะเรียนรู้ได้หรือเก่งได้ คือต้องทำ ยิ่งทำเยอะก็ยิ่งเก่งขึ้น เขาไม่ตอบ แต่บอก คัท คัท คัท อย่างเดียว (หัวเราะ) มึงไปทำเลย เดี๋ยวมึงก็รู้เอง
ResurRec งานผลิตแผ่นเสียงแบบบูทีค เน้นคุณภาพ
คุณอู่ไขข้อสงสัยและบอกถึงเสน่ห์ของแผ่นเสียงที่หลายคนหลงใหลและ ResurRec ก็มีเป้าหมายที่จะเก็บทุกรายละเอียดเหล่านั้นไว้
“คนทำแผ่นในโลกนี้มีน้อยที่ที่คอนเนกต์กับห้องอัด เป็นโรงงานที่อาจไม่ได้ทำการเทสต์ ไม่ได้ผ่านการมาสเตอริ่งที่ละเอียด ของเราเน้นที่คุณภาพ ผมทำงานด้านนี้เป็นอาชีพอยู่แล้วด้วย มีห้องอัดที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าแผ่นที่ออกมาจะได้คุณภาพดีจริง เสมือนฟังจากต้นฉบับ เราดึงคาแรกเตอร์ของแผ่นเสียงออกมาได้ เพราะเสียงที่ออกมาจากแผ่นเสียงหรือไฟล์ดิจิทัลคนละแบบกัน
ในโลกนี้ไม่มีเสียงที่เงียบจริง ๆ มันมีนอยซ์อยู่ เสียงของแผ่นไวนิลใกล้เคียงกับชีวิตของเรา ไฟล์ดิจิทัล มันเป็น 0 กับ 1 มันเงียบก็เงียบไปเลย แต่ไวนิลมี surface noise ออกมาอยู่
แล้วถ้าพูดถึงคลื่นเสียง มันจะมีคลื่นที่เรียกว่า Square wave ซึ่งเสียงในระบบดิจิทัลทำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่แผ่นเสียงไม่สามารถทำได้ มันจะถูกทำให้มนตามธรรมชาติ เปิดฟังแต่ละครั้งจะไม่เหมือนกัน สิ่งที่แตกต่างกับระบบดิจิทัลแน่ ๆ คือพลังงานเสียงของแผ่นเสียง มันมีอยู่จริง”
แม้การผลิตแผ่นเสียงดั้งเดิมในไทย สามารถทำได้หลักหมื่นแผ่นต่อวัน แต่สำหรับ ResurRec ที่อยากให้แผ่นเสียงคุณภาพดีได้ ‘ฟื้นคืนชีพ’ อีกครั้ง วิธีการแบบละเอียดทุกขั้นตอนกำลังพาพวกเรากลับไปสัมผัส ‘พลังแห่งเสียง’ ... ทั้งนี้แผ่นเสียงแรกที่จะผลิตจากโรงงานนี้คือแผ่น BE MY WORLD แผ่นเสียงที่เกิดจากโปรเจกต์พิเศษระหว่างพี่บอย โกสิยพงษ์ กับบีเอ็มดับเบิลยู ในแผ่นมีเพลงของพี่บอย ที่รับประกันว่าคุณไม่เคยได้ฟัง เพราะไม่เคยลงอัลบั้มไหนมาก่อน รายละเอียดแผ่นเสียง ติดตามได้ทางเฟซบุ๊ก www.facebook.com/bmwultimatejoy
ท่านผู้อ่านสามารถติดตามผลงานล่าสุด ของ ResurRec ได้ที่ >> https://www.facebook.com/resurrecvinyl/