1.เซอร์เบียให้สัญชาติ “ยิ่งลักษณ์” ด้าน “ทักษิณ” อ้างเพราะทำประโยชน์ให้ได้ ขณะที่อัยการยันไม่กระทบขอตัวผู้ร้ายข้ามแดน!

สำนักข่าวตันจุงของทางการเซอร์เบีย รายงานเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 ส.ค.ว่า รัฐบาลเซอร์เบียได้ให้สัญชาติ แก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย วัย 52 ปี ซึ่งหลบหนีออกจากประเทศไทย ก่อนที่จะถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญา ฐานปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว เมื่อเดือน ก.ย.2560 โดยทางการเซอร์เบียให้เหตุผลที่ให้สัญชาติ น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า เพราะไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลเซอร์เบียหลายคนไม่ขอออกความเห็นถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจของรัฐบาลเซอร์เบียในการให้สัญชาติ น.ส.ยิ่งลักษณ์
มีรายงานว่า การได้สัญชาติเซอร์เบียในครั้งนี้ จะทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์สามารถถือหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) เซอร์เบีย ในการเดินทางไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้โดยไม่ต้องขอวีซ่ามากกว่า 100 ประเทศ รวมทั้งประเทศส่วนใหญ่ที่เป็นสมาชิกสหภาพยุโรป
ขณะที่บีบีซี ไทย รายงานว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งหลบหนีคำพิพากษาจำคุกของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในหลายคดี ได้ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทย ผ่านทางโทรศัพท์ โดยยืนยันว่า รัฐบาลเซอร์เบีย ได้มอบสัญชาติให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ น้องสาวของตนแล้ว "เป็นคนคุ้นเคยกัน เป็นความสัมพันธ์ที่เขาเห็นว่า เขาได้อ่านประวัติเรา รู้เรื่องเราเยอะ อะไรเกิดขึ้นในไทย รู้ว่าเราทำอะไรให้ประชาชนได้ เขาอยากให้เราไปช่วยคิดให้เกิดประโยชน์ เมื่อเราทำประโยชน์ให้บ้านเมืองเราไม่ได้ เราก็ไปช่วยเขา”
ทั้งนี้ มีรายงานว่า นายทักษิณเอง ก็เคยได้รับสัญชาติในฐานะพลเมืองกิตติมศักดิ์จากรัฐบาลมอนเตเนโกร เพื่อนบ้านที่เคยร่วมตั้งสหภาพกับประเทศเซอร์เบียเมื่อปี 2553 เช่นกัน
ล่าสุด เมื่อวันที่ 9 ส.ค. นายชัชชม อรรฆภิญญ์ อธิบดีอัยการสำนักงานต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้ออกมายืนยันว่า การได้รับสัญชาติเซอร์เบียของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่มีผลต่อการดำเนินการเพื่อจะขอส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย เนื่องจากความผิดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังปรากฏตามคำพิพากษาของศาลไทยอยู่ และแม้ไทยกับเซอร์เบียจะไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน แต่หากเรามีข้อมูลที่ชัดแจ้งเกี่ยวกับที่อยู่ก็สามารถดำเนินการได้ตาม พ.ร.บ. ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2551 โดยอาศัยหลักต่างตอบแทน ด้วยการให้คำมั่นต่อกันว่า หากต่อมาประเทศผู้รับคำร้องขอ มีคำร้องขอให้ไทยส่งผู้ร้ายให้เขา เราก็ยินดีจะดำเนินการให้เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม หลายประเทศถือหลักจะไม่ส่งคนสัญชาติตนให้ประเทศอื่นดำเนินคดี ซึ่งในกรณีนี้ เราก็จะต้องใช้กลไกความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญาขอให้ประเทศนั้นดำเนินคดีแทนให้ และว่า ปกติความผิดที่สามารถขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ จะต้องเป็นกรณีที่ทั้ง 2 ประเทศกำหนดให้การกระทำนั้นเป็นความผิดตามกฎหมายของตนด้วย
2.“บิ๊กตู่” ยัน ยังเป็นนายกฯ ไม่ไปไหน หลังข่าวลือจ่อลาออกปมนำ ครม.ถวายสัตย์ไม่ครบ!

ความเคลื่อนไหวทางการเมืองสัปดาห์ที่ผ่านมา ไฮไลต์อยู่ที่เรื่อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะหาทางออกกรณีนำ ครม.ถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่ไม่ครบถ้วนอย่างไร โดยข้อความที่หายไป ไม่ได้กล่าว คือ “ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 5 ส.ค. พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์กรณีฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องถวายสัตย์ปฏิญาณตนไม่ครบถ้วน โดยยืนยันว่า ทุกอย่างเป็นไปตามรัฐธรรมนูญทุกประการในการถวายสัตย์ฯ ต่อหน้าพระมหากษัตริย์ ซึ่ง ณ ตรงนั้นเสร็จไปแล้วว่า จะต้องทำอะไรในการดูแลประชาชนคนไทย ที่สำคัญที่สุดเป็นไปตามพระปฐมบรมราชโองการ พระองค์ทรงรับสั่งมาให้ทำงานเพื่อประชาชนและประเทศชาติ ตรงกับรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า ทำเพื่อประชาชนทั้งเพื่อประเทศ ดังนั้นคิดว่าเรื่องนี้ควรจบดีกว่า อย่าให้บานปลาย หลายคนในนั้นก็เป็นทหาร ขอร้องว่าเคยเป็นพี่น้องกันมา อย่าให้การเมืองมาทำให้ประเทศชาติปั่นป่วนไปทั้งหมด ถ้าจะดีหรือไม่อย่างไร ก็ให้รอเลือกตั้งคราวหน้าก็แล้วกัน
วันเดียวกัน นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เข้ายื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ตรวจสอบกรณี พล.อ.ประยุทธ์ นำ ครม.เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณเมื่อวันที่ 16 ก.ค.มีเนื้อหาไม่ครบถ้วนตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 161 บัญญัติ จึงเข้าข่ายเป็นการกระทำขัดรัฐธรรมนูญ ขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาและส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองวินิจฉัย
ส่วนที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุทำนองว่า เรื่องดังกล่าวจบไปแล้ว นายศรีสุวรรณกล่าวว่า นายวิณุกล่าวเช่นนี้ถือว่าทำให้หลักกฎหมายของประเทศเสียหาย ออกมาพูดในลักษณะชี้นำ เบี่ยงเบนประเด็นว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิด ทุกคนต้องยึดตามกฎหมาย และว่า ประเด็นดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ และนายวิษณุเข้าข่ายผิดมาตรฐานจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะมีการยื่นร้อง ป.ป.ช.ต่อไปในต้นสัปดาห์หน้า “พล.อ.ประยุทธ์ อาจเจตนา หรือจงใจที่จะไม่กล่าวถ้อยคำสุดท้ายรัฐธรรมนูญกำหนด ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ การไม่กล่าวถ้อยคำดังกล่าวให้ปรากฏ ถือเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน ซึ่งคนที่จะทำหน้าที่ตัดสินเรื่องนี้ไม่ใช่นายวิษณุ ที่เป็นเนติบริกร เพราะเป็นผู้มีส่วนได้เสีย เรื่องนี้จึงต้องให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาส่งศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองวินิจฉัย และหากศาลวินิจฉัยว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ ก็จะถือว่าการบริหารงานของนายกฯ หรือ ครม.เป็นโมฆะ”
วันต่อมา 6 ส.ค. พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการนำ ครม.ถวายสัตย์ฯ ไม่ครบถ้วนว่า กำลังพยายามแก้ไขปัญหาอยู่ แต่ยืนยันว่าได้ทำครบถ้วน
วันต่อมา 7 ส.ค. ผู้สื่อข่าวถาม พล.อ.ประยุทธ์ อีกครั้งถึงการนำ ครม.ถวายสัตย์ฯ ไม่ครบถ้วน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “เดี๋ยวคงเรียบร้อยนะ เพราะผมไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้ผิด เขาดูกันที่เจตนา”
วันต่อมา 8 ส.ค. พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีที่หลายฝ่ายท้วงติงเรื่องถวายสัตย์ฯ ไม่ครบอีกครั้งระหว่างเป็นประธานประชุมชี้แจงนโยบายรัฐบาลต่อผู้บริหารระดับสูงว่า “ผมขอเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว นั่นคือเรื่องที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญหรืออะไรก็แล้วแต่ ผมเป็นห่วงกังวลอยู่อย่างเดียวว่าจะทำอย่างไรถึงจะทำงานได้ ก็หวังให้ทุกคนได้ทำงานต่อไป อย่างไรก็ตาม ต้องไปศึกษาในรัฐธรรมนูญดูเขียนว่าอย่างไร อย่างไรก็ตาม ก็คงยังจะมีรัฐบาลอยู่ และไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ก็ต้องขอโทษบรรดารัฐมนตรีด้วย เพราะผมถือว่าผมได้ทำของผมเต็มที่แล้ว เรื่องใดก็ตามที่ยังบกพร่องอยู่ สิ่งใดก็ตามที่มีปัญหา ก็ต้องขอโทษ แล้วก็รับผิดชอบไว้แต่เพียงผู้เดียว และคงไม่ตอบคำถามเรื่องนี้อีกแล้ว”
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ขอรับผิดชอบคนเดียวกรณีนำ ครม.ถวายสัตย์ฯ ไม่ครบ ทำให้บางฝ่ายตีความว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะลาออกจากตำแหน่งนายกฯ หรือไม่ ซึ่งล่าสุด 9 ส.ค. พล.อ.ประยุทธ์ ได้ส่งสัญญาณว่าจะไม่ลาออก โดยกล่าวระหว่างเป็นประธานในพิธีเปิดทดลองให้บริการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคตว่า "ผมยืนยันวันนี้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เพราะผมเป็นนายกรัฐมนตรี อยู่ตรงนี้ ผมไม่ไปไหน ไม่ต้องเป็นห่วง พอแล้วเดี๋ยวนอกเรื่องอีก"
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า จะอยู่ทำงานต่อหมายความว่าอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ก็เป็นนายกฯ ไงเล่า" ทั้งนี้ ก่อนจะเดินทางกลับ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ทักทายประชาชนที่มาใช้บริการรถไฟฟ้า และก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะขึ้นรถกลับได้มีประชาชนกลุ่มหนึ่งยืนตะโกนให้กำลังใจพร้อมเรียก "ลุงตู่" โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้หันไปโบกมือ พร้อมทำสัญลักษณ์ "ไอเลิฟยู" ให้อีกด้วย
3.ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด “สุเทพ” ทุจริตสร้างโรงพัก 396 แห่ง ด้าน “วิรัช รัตนเศรษฐ” กับพวกโดนเรื่องสนามฟุตซอล!

เมื่อวันที่ 6 ส.ค. นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช. ) แถลงว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาผลการไต่สวนของคณะกรรมการไต่สวนแล้ว มีมติเอกฉันท์ชี้มูลความผิดนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทุจริตโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 แห่ง เป็นเหตุให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับความเสียหาย เป็นเงิน 1,728 ล้านบาท และมีมติว่า การกระทำของ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ อดีตรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 79 (1) (5) และ (6)
นอกจากนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังมีมติเอกฉันท์ชี้มูลความผิดนายสุเทพ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี กับพวก ทุจริตโครงการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย (แฟลต) จำนวน 163 หลัง เป็นเหตุให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับความเสียหายเป็นเงิน 3,994 ล้านบาท นอกจากนั้นยังปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐเรียกรับเงินจากผู้รับจ้างเป็นเงิน 91,678,000 บาทด้วย
สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ ป.ป.ช.จะส่งรายงาน เอกสาร หลักฐาน พร้อมความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาผู้ถูกชี้มูลความผิดต่อศาลต่อไป
นอกจากนี้ ป.ป.ช.ยังมีมติชี้มูลความผิดนายวิรัช และนางทัศนียา รัตนเศรษฐ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กับพวกรวม 24 ราย กรณีทุจริตการจัดสรรงบประมาณเพื่อก่อสร้างสนามฟุตซอล ในเขต 2 จ.นครราชสีมา จากงบแปรญัตติ โดยในการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย งบประมาณ พ.ศ.2555 (งบแปรญัตติ) ให้กับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างงานปรับปรุงสนามกีฬาพร้อมอุปกรณ์ (สนามฟุตซอล) มีลักษณะมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม โดยพบว่าเป็นการทุจริตเชิงนโยบาย มีการแบ่งหน้าที่กันทำ ทั้งนักการเมือง ข้าราชการ และเอกชน มีการวางแผนทุจริตตั้งแต่ขั้นตอนการของบประมาณ การแปรญัตติ รวมทั้งในขั้นตอนปฏิบัติที่เอื้อประโยชน์ให้เอกชนบางรายเข้ามาทำโครงการ และการก่อสร้างไม่ได้มาตรฐานตามรูปแบบรายการและวิธีการก่อสร้าง สนามกีฬาไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง
คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีมติเอกฉันท์ชี้มูลผู้ถูกกล่าวหา 24 ราย ประกอบด้วย ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 3 ราย ข้าราชการ 11 ราย เอกชน 10 ราย (บุคคลธรรมดา 7 ราย นิติบุคคล 3 ราย)
ด้านนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค พปชร.แถลงหลังถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดว่า ได้ยื่นหนังสือทักท้วงต่อ ป.ป.ช.ไปแล้ว เพราะหลักฐานของ ป.ป.ช.เป็นเพียงเอกสารลอยๆ ไม่มีการระบุที่มา และไม่มีการเซ็นชื่อรับรองว่าเอกสารจากหน่วยงานใด แค่มีชื่อตนเข้าไปปรากฏอยู่ ก็ถูกนำไปชี้มูลความผิดแล้ว
ขณะที่นายทศพล เพ็งส้ม ทีมทนายความคดีทุจริตสนามฟุตซอลของนายวิรัช กล่าวว่า ทีมกฎหมายเตรียมฟ้องดำเนินคดีเอาผิด ป.ป.ช.ตามมาตรา 157 ประมวลกฎหมายอาญา และมาตรา 172 พ.ร.บ. ป.ป.ช. เนื่องจากหลักฐานเรื่องการแปรญัตติงบที่ ป.ป.ช.นำมาใช้เอาผิดนายวิรัช ไม่ได้สอบสวนอย่างละเอียดรอบคอบ เป็นเอกสารลอยๆ ที่ไม่มีใครกล้าเซ็นรับรอง แต่กลับนำมาใช้เอาผิด
ไม่เท่านั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังยังมีมติชี้มูลความผิดนายพนม ศรศิลป์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กรณีร่ำรวยผิดปกติกว่า 216 ล้านบาท ซึ่งเกี่ยวพันกับคดีทุจริตงบประมาณอุดหนุนบูรณปฏิสังขรณ์วัดพนัญเชิง จ.อยุธยา ประจำปีงบประมาณ 2557 และประจำปีงบประมาณ 2558
นายวรวิทย์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนายพนม ศรศิลป์ ที่ได้ยื่นไว้ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการ พศ. เมื่อวันที่ 1 ตุ.ค.2557 พบว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2552-2561 นายพนม และนางนิสา ศรศิลป์ คู่สมรส มีการนำฝากเงินและซื้อหุ้นในสหกรณ์ออมทรัพย์ข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ จำกัด สหกรณ์ออมทรัพย์ครูอุบลราชธานี จำกัด รวมทั้งมีการซื้อที่ดิน โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง และยานพาหนะเป็นจำนวนมาก คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีเหตุอันควรสงสัยว่า นายพนม มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ จึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน ซึ่งผลการไต่สวนข้อเท็จจริงปรากฏว่า พบเงินฝากและทรัพย์สินต่างๆ ของนายพนม และบุคคลใกล้ชิด ประกอบด้วย นางนิสา คู่สมรส นางจรินรัตน์ แซ่ตั้ง และนางสมพิศ สุทธิบุญ ภรรยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส รวมทั้งบุตรและญาติพี่น้อง ซึ่งบุคคลดังกล่าวไม่สามารถพิสูจน์ที่มาของทรัพย์สินดังกล่าวได้
สำหรับทรัพย์สินดังกล่าว ประกอบด้วย 1. เงินฝาก จำนวน 16 แห่ง เป็นเงิน 163,022,595.05 บาท 2. เงินลงทุน จำนวน 8 แห่ง มูลค่า 22,470,000 บาท 3. ที่ดินตั้งอยู่ในท้องที่จังหวัดอุดรธานี จำนวน 7 แปลง มูลค่า 5,119,400 บาท 4. บ้าน พร้อมที่ดิน จำนวน 2 หลัง ตั้งอยู่ในจังหวัดอุดรธานี และจังหวัดนครปฐม รวมมูลค่า 805,919 บาท 5. ห้องชุดตั้งอยู่ในจังหวัดอุดรธานี 1 ห้อง และจังหวัดปทุมธานี 2 ห้อง รวม 3 ห้อง มูลค่า 3,960,000 บาท 6. รถยนต์ จำนวน 9 คัน รวมมูลค่า 4,931,200 บาท 7. กรมธรรม์ประกันชีวิต จำนวน 4 กรมธรรม์ รวมมูลค่า 828,489 บาท 8. เงินที่นำไปชำระหนี้เงินกู้สถาบันการเงิน จำนวน 4 แห่ง เป็นเงิน 14,925,216.49 บาท รวมมูลค่าทรัพย์สินทั้งสิ้น 216,062,819.54 บาท
ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อขอให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดินต่อไป
4.ผบ.ตร. แถลงมือวางระเบิดป่วน ตร.เคยบุกฐานนาวิกโยธินภาคใต้ เชื่อเหตุป่วนกรุงโยงการเมือง แฉบางส่วนถูกหลอกใช้!

หลังเกิดเหตุคนร้ายป่วนกรุงด้วยระเบิดหลายจุดใน กทม.เมื่อวันที่ 1-2 ส.ค.และเจ้าหน้าที่จับกุมผู้ต้องสงสัยได้บางส่วนนั้น เมื่อวันที่ 8 ส.ค. พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้นำทีมแถลงความคืบหน้าคดีคนร้ายลอบวางระเบิดที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เมื่อวันที่ 1 ส.ค. หลัง ผบ.ตร.ได้ร่วมสอบปากคำนายลูไซ แซแง อายุ 22 ปี และนายวิลดัน มาหะ อายุ 29 ปี สองผู้ต้องสงสัยชาว จ.นราธิวาส ซึ่งจับได้ที่ จ.ชุมพร โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า คดีนี้ต้องใช้เวลา แม้จะคุมตัวคนร้ายได้ใน 10 ชั่วโมง แต่การจะซักถามเพื่อให้รู้ขั้นตอนทั้งหมดไม่ใช่เรื่องง่าย จึงขอให้เข้าใจการทำงานของตำรวจซึ่งต้องรัดกุมทุกกระบวนการ เพราะคนร้ายไม่ได้โง่ หากให้ข้อมูลไป อาจไหวตัวหนีไปได้
ส่วนสาเหตุที่ต้องควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยดังกล่าวลงภาคใต้นั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า เพราะทั้งคู่มีประวัติคดีในฐานข้อมูล เคยเข้าตีนาวิกโยธิน และว่า คำให้การของคนร้าย ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องศาสนา แต่จากประสบการณ์ทำงานของผม มองว่าอาจเกี่ยวกับเหตุการเมือง โดย 1 ในคนร้ายยอมรับว่า ในวันก่อเหตุวางระเบิดหน้าป้าย ตร. ก็ยังเกี่ยงกันวางและบางจุดที่นำไปวาง ก็ไม่ได้หวังผลเอาชีวิต และว่า จากภาพจากวงจรปิดจะเห็นว่า คนร้ายแบกกระเป๋าเป้ที่ใบใหญ่มา ในนั้นมีเสื้อผ้า กางเกง หมวก และแว่นตาอย่างละ 5 ชุด ที่คนร้ายนำมาเปลี่ยน “ขอฝากพี่น้องประชาชนว่า หากพบบุคคลลักษณะต้องสงสัยสวมหน้ากาก ใส่แว่นตาปิดบังใบหน้า หรือมีหลักฐานภาพวงจรปิด กล้องหน้ารถต่างๆ ขอให้แจ้งเบาะแสกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้”
ด้าน พล.ต.ท.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.กล่าวว่า ภาพรวมเหตุการณ์ทั้งหมดพบว่า คนร้ายได้ใช้อุปกรณ์ 2 ชนิด ชิ้นแรกคือระเบิด และอุปกรณ์ทำให้เกิดเพลิงไหม้ โดยตำรวจภูธรภาค 9 จับตัว 2 ผู้ต้องสงสัยได้ในช่วงดึกวันที่ 1 ส.ค.ต่อเนื่องวันที่ 2 ส.ค. จึงอาศัยอำนาจการคุมตัวตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เนื่องจากภาพรวมในคดีนี้ไม่ได้เกิดแค่เพียงพื้นที่ กทม. แต่มีการกระจายกำลังกันออกไปหลายพื้นที่ และว่า ขณะนี้สามารถรวบรวมหลักฐานขอศาลออกหมายจับทั้งคู่ได้แล้ว ส่วนการสืบหาผู้ต้องหารายอื่นนั้น แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ มาสเตอร์มายด์ ซึ่งเป็นผู้วางแผน กลุ่มสองคือ ระดับสั่งการ คอยกำหนดขั้นตอนรายละเอียดปฏิบัติการต่างๆ รวมถึงหาตัวแนวร่วม กลุ่มสามคือ ผู้ช่วยเหลือสนับสนุนทั้งก่อนเกิดเหตุ ระหว่างเกิดเหตุ และหลังก่อเหตุ ซึ่งบางส่วนถูกหลอกมาทำ บางส่วนจงใจทำ และสุดท้ายคือ กลุ่มที่ลงมือปฏิบัติ ซึ่งเชื่อว่ามีมากกว่า 15 ราย
พล.ต.ท.สุวัฒน์ กล่าวด้วยว่า กลุ่มที่ออกหมายจับ เป็นเพียงระดับปฏิบัติเท่านั้น เบื้องต้นตำรวจแจ้งข้อหา 2 คนร้ายดังกล่าวฐานอั้งยี่ ซ่องโจร มีวัตถุระเบิดไว้ครอบครอง และพยายามฆ่า หลังจากนี้ต้องขยายผลถึงรายอื่นๆ ต่อไป ขณะนี้ยังระบุไม่ได้ว่าเป็นกลุ่มใด แม้จะมีความเชื่อมโยงไปถึงเหตุความไม่สงบในอดีตก็ตาม พล.ต.ท.สุวัฒน์ ยังเชื่อด้วยว่า ขณะนี้มีผู้ต้องหาบางส่วนหลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว
วันเดียวกัน (8 ส.ค.) ตำรวจได้จับกุมนายเสน่ห์ ฮิมวาด อายุ 29 ปี ผู้ต้องหาที่นำวัตถุต้องสงสัยไปวางข้างกำแพงสำนักงานขายคอนโดฯ ซอยรัชดา 32 เขตจตุจักร กทม.เมื่อวันที่ 3 ส.ค. หลังสอบสวน นายเสน่ห์อ้างว่า เป็นอาสาสมัครรายการวิทยุ และเป็น รปภ.บริษัทแห่งหนึ่ง รายได้ไม่พอใช้ น้อยใจที่บริษัทไม่ยอมให้เบิกเงินล่วงหน้า จึงนำขวดน้ำเกลือเปล่าในกระเป๋ายาที่ติดรถไว้ช่วยคนเจ็บมาพันเทปกาว ก่อนนำไปวางไว้ตรงจุดดังกล่าว พร้อมยืนยันว่า ไม่เกี่ยวข้องกับการสร้างสถานการณ์แต่อย่างใด
ทั้งนี้ ตอนแรกนายเสน่ห์อ้างว่า มีผู้ต้องสงสัยนำวัตถุดังกล่าวไปวางไว้ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่เชิญตัวนายเสน่ห์มาสอบเพิ่ม ท่าทางคล้ายคนเมา เมื่อตรวจปัสสาวะพบเมตแอมเฟตามีน จึงคุมตัวไว้ ก่อนจะรับสารภาพว่า เป็นคนวางวัตถุดังกล่าว เพราะน้อยใจบริษัท เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาให้การเท็จ กระทำการให้ผู้อื่นเกิดความหวาดกลัว และเสพสารเสพติด
ล่าสุด เมื่อวันที่ 9 ส.ค. ศาลแขวงพระนครเหนือ พิพากษาว่า นายเสน่ห์ จำเลยมีความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษ ฐานทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือตกใจ จำคุก 1 เดือน ฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน และแจ้งความเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 7 เดือน จำเลยรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 เดือน 15 วัน ส่วนความผิดฐานเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาไอซ์) ซึ่งจำเลยรับสารภาพ ศาลพิพากษาจำคุก 3 เดือน โดยให้นับโทษต่อจากคดีวางระเบิดปลอมและแจ้งความเท็จ ดังนั้น เมื่อรวมจำคุกจำเลยทั้งสองสำนวนแล้วเป็นเวลา 6 เดือน 15 วัน ไม่รอลงอาญา
5.ครอบครัว “แพรวา” กู้ยืมเงินญาติวางศาลเพื่อชดใช้เหยื่อครบแล้ว 42 ล้าน ด้านแม่ ดร.เป็ด เตรียมทำบุญครั้งใหญ่ให้ลูก!

ความคืบหน้ากรณี น.ส.แพรวา หรือ น.ส.รวินภิรมย์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ขับรถยนต์ชนรถตู้ จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 9 ศพ เมื่อคืนวันที่ 27 ธ.ค.2553 ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาเมื่อวันที่ 8 พ.ค.2562 ที่ผ่านมา ให้จำเลยชดใช้แก่กลุ่มโจทก์ในคดีนี้จำนวน 28 คน เป็นเงินกว่า 24.7 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี แต่จำเลยยังไม่ดำเนินการ สังคมจึงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ด้านมารดา น.ส.แพรวา อ้างว่า ยู่ระหว่างประกาศขายที่ดินที่ปราณบุรี-สามร้อยยอด 21 ไร่ มูลค่าประมาณ 50 ล้านบาท และที่ดินที่หมู่บ้านเมืองทอง 300 ตารางวา มูลค่าประมาณ 55 ล้านบาท เพื่อนำมาชดใช้ค่าเสียหาย แต่ยังขายไม่ได้ ต่อมา มีข่าวว่า มีเศรษฐีใจบุญติดต่อขอซื้อที่ดินดังกล่าว แต่สุดท้ายก็เงียบ
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 6 ส.ค. นายกรรชัย กำเนิดพลอย พิธีกรและนักแสดงชื่อดัง พร้อมนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ ได้รับมอบอำนาจจากครอบครัว น.ส.แพรวา ให้นำเช็คเงินสดจำนวน 41,755,050.79 บาท จากยอดจริง 42,637,810.40 บาท พร้อมค่าธรรมเนียมศาล 20,000 บาท มาวางศาล เพื่อชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ในคดีนี้
นายกรรชัย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนได้รับโฉนดที่ดินที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ มาจากครอบครัวของ น.ส.แพรวา เพื่อเป็นตัวกลางในการจำหน่าย แต่ติดขัดเรื่อยมา กระทั่งครอบครัว น.ส.แพรวา ตัดสินใจยืมเงินจากญาติพี่น้อง จนได้ตามจำนวน แต่ส่วนที่ยังขาดไปอีกประมาณ 8 แสนกว่าบาท เนื่องจากเป็นการรวมยอดเมื่อวันที่ 2 ส.ค. จึงทำให้ตัวเลขคลาดเคลื่อนในส่วนของดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ครอบครัว น.ส.แพรวา จะนำเงินมาวางศาลเพิ่มให้ครบจำนวน
ซึ่งวันต่อมา 7 ส.ค. นายกรรชัยและนายเดชา ทนายความ ได้รับมอบอำนาจให้นำแคชเชียร์เช็คจำนวน 862,800 บาท มามอบให้ทางศาลเพิ่มเติมจากเมื่อวันที่ 6 ส.ค.เพื่อให้ครบตามจำนวนที่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
นายโอภาพ อนันตสมบูรณ์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่ง กล่าวว่า ฝ่ายจำเลยนำเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยมามอบให้ศาลครบถ้วนเต็มจำนวนแล้ว ศาลจะเร่งทำบัญชีสรุปยอดเงินต้นและดอกเบี้ยที่โจทก์แต่ละรายจะได้รับจนถึงวันที่ 7 ส.ค. และว่า คดีนี้มีโจทก์ที่จะได้รับเงินชดใช้ทั้งสิ้น 27 ราย จากตอนแรกที่มี 28 ราย แต่ระหว่างพิจารณา โจทก์ที่ 6 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความรับเงินค่าชดเชยไปแล้ว “ผู้เสียหายที่ทราบข่าวทางสื่อมวลชนแล้ว สามารถมารับเงินได้ทันทีที่ศาลแพ่ง ตั้งแต่วันที่ 8 ส.ค. เนื่องจากเรามีบัญชีระบุยอดเงินและรายชื่อของโจทก์ทั้งหมดแล้ว สามารถจ่ายตามบัญชีได้เลย ไม่อยากให้เสียเวลาที่ศาลแม้แต่นาทีเดียว โดยออกเช็คในชื่อ-สกุลของตัวความ ซึ่งผมจะเป็นผู้เซ็นเช็คให้ รับรองว่าเช็คไม่เด้ง โดยโจทก์สามารถมารับด้วยตนเองหรือมอบอำนาจให้ทนายความ หรือคนหนึ่งคนใดมารับแทนก็ได้ หรือแจ้งความประสงค์ต่อศาล หากต้องการให้โอนเงินเข้าบัญชี แต่ต้องส่งเอกสารรายละเอียดหมายเลขบัญชี รวมทั้งชื่อ-สกุลเจ้าของบัญชีที่ถูกต้องมาให้” ทั้งนี้ ตามกฎหมาย สามารถมารับค่าเสียหายดังกล่าวได้ภายในเวลาบังคับคดี 10 ปี
ด้านนายกรรชัย เผยว่า ครอบครัว น.ส.แพรวาบอกว่า ที่ผ่านมา อยู่กับความเสียใจตลอดมา ขณะที่เวลานี้ ฝ่ายบิดา น.ส.แพรวา ได้อุปสมทบอุทิศบุญกุศลให้แก่ผู้เสียชีวิต ไม่ได้ออกข่าวหรือบอกใคร มาถึงวันนี้ก็อยากแจ้งให้สังคมทราบ และว่า คดีนี้ทุกอย่างน่าจะเสร็จสิ้นและเงินเยียวยาจะถึงผู้สูญเสีย ส่วนที่ดินที่ครอบครัว น.ส.แพรวาประกาศขาย หากมีผู้สนใจ สามารถติดต่อผ่านทางช่อง 3 ได้
ขณะที่นางถวิล เช้าเที่ยง อายุ 71 ปี มารดาของนายศาสตรา เช้าเที่ยง หรือ ดร.เป็ด 1 ใน 9 ผู้เสียชีวิตจากการถูก น.ส.แพรวาขับรถชนรถตู้ กล่าวหลังรู้ข่าวว่า ครอบครัว น.ส.แพรวา นำเช็คไปวางศาลเพื่อเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิตในคดีนี้ว่า รู้สึกดีใจมาก ขอขอบคุณทุกคนที่ช่วยเหลือ เงินที่ได้มา 1.5 ล้านบาท จะนำไปทำบุญครั้งใหญ่ นิมนต์พระ 100 รูป เพื่อทำบุญให้ลูกชายที่เสียชีวิต ปลูกบ้าน เก็บไว้รักษาตัวเอง และเตรียมสำหรับงานศพของตัวเอง เพราะตอนนี้ไม่มีลูกแล้ว ส่วนตนยังทำงานหากินร้อยพวงมาลัยขายตามปกติที่ จ.ราชบุรี
สำนักข่าวตันจุงของทางการเซอร์เบีย รายงานเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 ส.ค.ว่า รัฐบาลเซอร์เบียได้ให้สัญชาติ แก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย วัย 52 ปี ซึ่งหลบหนีออกจากประเทศไทย ก่อนที่จะถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญา ฐานปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว เมื่อเดือน ก.ย.2560 โดยทางการเซอร์เบียให้เหตุผลที่ให้สัญชาติ น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า เพราะไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลเซอร์เบียหลายคนไม่ขอออกความเห็นถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจของรัฐบาลเซอร์เบียในการให้สัญชาติ น.ส.ยิ่งลักษณ์
มีรายงานว่า การได้สัญชาติเซอร์เบียในครั้งนี้ จะทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์สามารถถือหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) เซอร์เบีย ในการเดินทางไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้โดยไม่ต้องขอวีซ่ามากกว่า 100 ประเทศ รวมทั้งประเทศส่วนใหญ่ที่เป็นสมาชิกสหภาพยุโรป
ขณะที่บีบีซี ไทย รายงานว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งหลบหนีคำพิพากษาจำคุกของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในหลายคดี ได้ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทย ผ่านทางโทรศัพท์ โดยยืนยันว่า รัฐบาลเซอร์เบีย ได้มอบสัญชาติให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ น้องสาวของตนแล้ว "เป็นคนคุ้นเคยกัน เป็นความสัมพันธ์ที่เขาเห็นว่า เขาได้อ่านประวัติเรา รู้เรื่องเราเยอะ อะไรเกิดขึ้นในไทย รู้ว่าเราทำอะไรให้ประชาชนได้ เขาอยากให้เราไปช่วยคิดให้เกิดประโยชน์ เมื่อเราทำประโยชน์ให้บ้านเมืองเราไม่ได้ เราก็ไปช่วยเขา”
ทั้งนี้ มีรายงานว่า นายทักษิณเอง ก็เคยได้รับสัญชาติในฐานะพลเมืองกิตติมศักดิ์จากรัฐบาลมอนเตเนโกร เพื่อนบ้านที่เคยร่วมตั้งสหภาพกับประเทศเซอร์เบียเมื่อปี 2553 เช่นกัน
ล่าสุด เมื่อวันที่ 9 ส.ค. นายชัชชม อรรฆภิญญ์ อธิบดีอัยการสำนักงานต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้ออกมายืนยันว่า การได้รับสัญชาติเซอร์เบียของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่มีผลต่อการดำเนินการเพื่อจะขอส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย เนื่องจากความผิดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังปรากฏตามคำพิพากษาของศาลไทยอยู่ และแม้ไทยกับเซอร์เบียจะไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน แต่หากเรามีข้อมูลที่ชัดแจ้งเกี่ยวกับที่อยู่ก็สามารถดำเนินการได้ตาม พ.ร.บ. ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2551 โดยอาศัยหลักต่างตอบแทน ด้วยการให้คำมั่นต่อกันว่า หากต่อมาประเทศผู้รับคำร้องขอ มีคำร้องขอให้ไทยส่งผู้ร้ายให้เขา เราก็ยินดีจะดำเนินการให้เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม หลายประเทศถือหลักจะไม่ส่งคนสัญชาติตนให้ประเทศอื่นดำเนินคดี ซึ่งในกรณีนี้ เราก็จะต้องใช้กลไกความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญาขอให้ประเทศนั้นดำเนินคดีแทนให้ และว่า ปกติความผิดที่สามารถขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ จะต้องเป็นกรณีที่ทั้ง 2 ประเทศกำหนดให้การกระทำนั้นเป็นความผิดตามกฎหมายของตนด้วย
2.“บิ๊กตู่” ยัน ยังเป็นนายกฯ ไม่ไปไหน หลังข่าวลือจ่อลาออกปมนำ ครม.ถวายสัตย์ไม่ครบ!
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองสัปดาห์ที่ผ่านมา ไฮไลต์อยู่ที่เรื่อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะหาทางออกกรณีนำ ครม.ถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่ไม่ครบถ้วนอย่างไร โดยข้อความที่หายไป ไม่ได้กล่าว คือ “ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 5 ส.ค. พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์กรณีฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องถวายสัตย์ปฏิญาณตนไม่ครบถ้วน โดยยืนยันว่า ทุกอย่างเป็นไปตามรัฐธรรมนูญทุกประการในการถวายสัตย์ฯ ต่อหน้าพระมหากษัตริย์ ซึ่ง ณ ตรงนั้นเสร็จไปแล้วว่า จะต้องทำอะไรในการดูแลประชาชนคนไทย ที่สำคัญที่สุดเป็นไปตามพระปฐมบรมราชโองการ พระองค์ทรงรับสั่งมาให้ทำงานเพื่อประชาชนและประเทศชาติ ตรงกับรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า ทำเพื่อประชาชนทั้งเพื่อประเทศ ดังนั้นคิดว่าเรื่องนี้ควรจบดีกว่า อย่าให้บานปลาย หลายคนในนั้นก็เป็นทหาร ขอร้องว่าเคยเป็นพี่น้องกันมา อย่าให้การเมืองมาทำให้ประเทศชาติปั่นป่วนไปทั้งหมด ถ้าจะดีหรือไม่อย่างไร ก็ให้รอเลือกตั้งคราวหน้าก็แล้วกัน
วันเดียวกัน นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เข้ายื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ตรวจสอบกรณี พล.อ.ประยุทธ์ นำ ครม.เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณเมื่อวันที่ 16 ก.ค.มีเนื้อหาไม่ครบถ้วนตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 161 บัญญัติ จึงเข้าข่ายเป็นการกระทำขัดรัฐธรรมนูญ ขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาและส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองวินิจฉัย
ส่วนที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุทำนองว่า เรื่องดังกล่าวจบไปแล้ว นายศรีสุวรรณกล่าวว่า นายวิณุกล่าวเช่นนี้ถือว่าทำให้หลักกฎหมายของประเทศเสียหาย ออกมาพูดในลักษณะชี้นำ เบี่ยงเบนประเด็นว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิด ทุกคนต้องยึดตามกฎหมาย และว่า ประเด็นดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ และนายวิษณุเข้าข่ายผิดมาตรฐานจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะมีการยื่นร้อง ป.ป.ช.ต่อไปในต้นสัปดาห์หน้า “พล.อ.ประยุทธ์ อาจเจตนา หรือจงใจที่จะไม่กล่าวถ้อยคำสุดท้ายรัฐธรรมนูญกำหนด ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ การไม่กล่าวถ้อยคำดังกล่าวให้ปรากฏ ถือเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน ซึ่งคนที่จะทำหน้าที่ตัดสินเรื่องนี้ไม่ใช่นายวิษณุ ที่เป็นเนติบริกร เพราะเป็นผู้มีส่วนได้เสีย เรื่องนี้จึงต้องให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาส่งศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองวินิจฉัย และหากศาลวินิจฉัยว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ ก็จะถือว่าการบริหารงานของนายกฯ หรือ ครม.เป็นโมฆะ”
วันต่อมา 6 ส.ค. พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการนำ ครม.ถวายสัตย์ฯ ไม่ครบถ้วนว่า กำลังพยายามแก้ไขปัญหาอยู่ แต่ยืนยันว่าได้ทำครบถ้วน
วันต่อมา 7 ส.ค. ผู้สื่อข่าวถาม พล.อ.ประยุทธ์ อีกครั้งถึงการนำ ครม.ถวายสัตย์ฯ ไม่ครบถ้วน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “เดี๋ยวคงเรียบร้อยนะ เพราะผมไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้ผิด เขาดูกันที่เจตนา”
วันต่อมา 8 ส.ค. พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีที่หลายฝ่ายท้วงติงเรื่องถวายสัตย์ฯ ไม่ครบอีกครั้งระหว่างเป็นประธานประชุมชี้แจงนโยบายรัฐบาลต่อผู้บริหารระดับสูงว่า “ผมขอเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว นั่นคือเรื่องที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญหรืออะไรก็แล้วแต่ ผมเป็นห่วงกังวลอยู่อย่างเดียวว่าจะทำอย่างไรถึงจะทำงานได้ ก็หวังให้ทุกคนได้ทำงานต่อไป อย่างไรก็ตาม ต้องไปศึกษาในรัฐธรรมนูญดูเขียนว่าอย่างไร อย่างไรก็ตาม ก็คงยังจะมีรัฐบาลอยู่ และไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ก็ต้องขอโทษบรรดารัฐมนตรีด้วย เพราะผมถือว่าผมได้ทำของผมเต็มที่แล้ว เรื่องใดก็ตามที่ยังบกพร่องอยู่ สิ่งใดก็ตามที่มีปัญหา ก็ต้องขอโทษ แล้วก็รับผิดชอบไว้แต่เพียงผู้เดียว และคงไม่ตอบคำถามเรื่องนี้อีกแล้ว”
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ขอรับผิดชอบคนเดียวกรณีนำ ครม.ถวายสัตย์ฯ ไม่ครบ ทำให้บางฝ่ายตีความว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะลาออกจากตำแหน่งนายกฯ หรือไม่ ซึ่งล่าสุด 9 ส.ค. พล.อ.ประยุทธ์ ได้ส่งสัญญาณว่าจะไม่ลาออก โดยกล่าวระหว่างเป็นประธานในพิธีเปิดทดลองให้บริการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคตว่า "ผมยืนยันวันนี้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เพราะผมเป็นนายกรัฐมนตรี อยู่ตรงนี้ ผมไม่ไปไหน ไม่ต้องเป็นห่วง พอแล้วเดี๋ยวนอกเรื่องอีก"
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า จะอยู่ทำงานต่อหมายความว่าอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ก็เป็นนายกฯ ไงเล่า" ทั้งนี้ ก่อนจะเดินทางกลับ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ทักทายประชาชนที่มาใช้บริการรถไฟฟ้า และก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะขึ้นรถกลับได้มีประชาชนกลุ่มหนึ่งยืนตะโกนให้กำลังใจพร้อมเรียก "ลุงตู่" โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้หันไปโบกมือ พร้อมทำสัญลักษณ์ "ไอเลิฟยู" ให้อีกด้วย
3.ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด “สุเทพ” ทุจริตสร้างโรงพัก 396 แห่ง ด้าน “วิรัช รัตนเศรษฐ” กับพวกโดนเรื่องสนามฟุตซอล!
เมื่อวันที่ 6 ส.ค. นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช. ) แถลงว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาผลการไต่สวนของคณะกรรมการไต่สวนแล้ว มีมติเอกฉันท์ชี้มูลความผิดนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทุจริตโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 แห่ง เป็นเหตุให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับความเสียหาย เป็นเงิน 1,728 ล้านบาท และมีมติว่า การกระทำของ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ อดีตรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 79 (1) (5) และ (6)
นอกจากนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังมีมติเอกฉันท์ชี้มูลความผิดนายสุเทพ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี กับพวก ทุจริตโครงการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย (แฟลต) จำนวน 163 หลัง เป็นเหตุให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับความเสียหายเป็นเงิน 3,994 ล้านบาท นอกจากนั้นยังปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐเรียกรับเงินจากผู้รับจ้างเป็นเงิน 91,678,000 บาทด้วย
สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ ป.ป.ช.จะส่งรายงาน เอกสาร หลักฐาน พร้อมความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาผู้ถูกชี้มูลความผิดต่อศาลต่อไป
นอกจากนี้ ป.ป.ช.ยังมีมติชี้มูลความผิดนายวิรัช และนางทัศนียา รัตนเศรษฐ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กับพวกรวม 24 ราย กรณีทุจริตการจัดสรรงบประมาณเพื่อก่อสร้างสนามฟุตซอล ในเขต 2 จ.นครราชสีมา จากงบแปรญัตติ โดยในการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย งบประมาณ พ.ศ.2555 (งบแปรญัตติ) ให้กับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างงานปรับปรุงสนามกีฬาพร้อมอุปกรณ์ (สนามฟุตซอล) มีลักษณะมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม โดยพบว่าเป็นการทุจริตเชิงนโยบาย มีการแบ่งหน้าที่กันทำ ทั้งนักการเมือง ข้าราชการ และเอกชน มีการวางแผนทุจริตตั้งแต่ขั้นตอนการของบประมาณ การแปรญัตติ รวมทั้งในขั้นตอนปฏิบัติที่เอื้อประโยชน์ให้เอกชนบางรายเข้ามาทำโครงการ และการก่อสร้างไม่ได้มาตรฐานตามรูปแบบรายการและวิธีการก่อสร้าง สนามกีฬาไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง
คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีมติเอกฉันท์ชี้มูลผู้ถูกกล่าวหา 24 ราย ประกอบด้วย ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 3 ราย ข้าราชการ 11 ราย เอกชน 10 ราย (บุคคลธรรมดา 7 ราย นิติบุคคล 3 ราย)
ด้านนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค พปชร.แถลงหลังถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดว่า ได้ยื่นหนังสือทักท้วงต่อ ป.ป.ช.ไปแล้ว เพราะหลักฐานของ ป.ป.ช.เป็นเพียงเอกสารลอยๆ ไม่มีการระบุที่มา และไม่มีการเซ็นชื่อรับรองว่าเอกสารจากหน่วยงานใด แค่มีชื่อตนเข้าไปปรากฏอยู่ ก็ถูกนำไปชี้มูลความผิดแล้ว
ขณะที่นายทศพล เพ็งส้ม ทีมทนายความคดีทุจริตสนามฟุตซอลของนายวิรัช กล่าวว่า ทีมกฎหมายเตรียมฟ้องดำเนินคดีเอาผิด ป.ป.ช.ตามมาตรา 157 ประมวลกฎหมายอาญา และมาตรา 172 พ.ร.บ. ป.ป.ช. เนื่องจากหลักฐานเรื่องการแปรญัตติงบที่ ป.ป.ช.นำมาใช้เอาผิดนายวิรัช ไม่ได้สอบสวนอย่างละเอียดรอบคอบ เป็นเอกสารลอยๆ ที่ไม่มีใครกล้าเซ็นรับรอง แต่กลับนำมาใช้เอาผิด
ไม่เท่านั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังยังมีมติชี้มูลความผิดนายพนม ศรศิลป์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กรณีร่ำรวยผิดปกติกว่า 216 ล้านบาท ซึ่งเกี่ยวพันกับคดีทุจริตงบประมาณอุดหนุนบูรณปฏิสังขรณ์วัดพนัญเชิง จ.อยุธยา ประจำปีงบประมาณ 2557 และประจำปีงบประมาณ 2558
นายวรวิทย์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนายพนม ศรศิลป์ ที่ได้ยื่นไว้ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการ พศ. เมื่อวันที่ 1 ตุ.ค.2557 พบว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2552-2561 นายพนม และนางนิสา ศรศิลป์ คู่สมรส มีการนำฝากเงินและซื้อหุ้นในสหกรณ์ออมทรัพย์ข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ จำกัด สหกรณ์ออมทรัพย์ครูอุบลราชธานี จำกัด รวมทั้งมีการซื้อที่ดิน โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง และยานพาหนะเป็นจำนวนมาก คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีเหตุอันควรสงสัยว่า นายพนม มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ จึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน ซึ่งผลการไต่สวนข้อเท็จจริงปรากฏว่า พบเงินฝากและทรัพย์สินต่างๆ ของนายพนม และบุคคลใกล้ชิด ประกอบด้วย นางนิสา คู่สมรส นางจรินรัตน์ แซ่ตั้ง และนางสมพิศ สุทธิบุญ ภรรยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส รวมทั้งบุตรและญาติพี่น้อง ซึ่งบุคคลดังกล่าวไม่สามารถพิสูจน์ที่มาของทรัพย์สินดังกล่าวได้
สำหรับทรัพย์สินดังกล่าว ประกอบด้วย 1. เงินฝาก จำนวน 16 แห่ง เป็นเงิน 163,022,595.05 บาท 2. เงินลงทุน จำนวน 8 แห่ง มูลค่า 22,470,000 บาท 3. ที่ดินตั้งอยู่ในท้องที่จังหวัดอุดรธานี จำนวน 7 แปลง มูลค่า 5,119,400 บาท 4. บ้าน พร้อมที่ดิน จำนวน 2 หลัง ตั้งอยู่ในจังหวัดอุดรธานี และจังหวัดนครปฐม รวมมูลค่า 805,919 บาท 5. ห้องชุดตั้งอยู่ในจังหวัดอุดรธานี 1 ห้อง และจังหวัดปทุมธานี 2 ห้อง รวม 3 ห้อง มูลค่า 3,960,000 บาท 6. รถยนต์ จำนวน 9 คัน รวมมูลค่า 4,931,200 บาท 7. กรมธรรม์ประกันชีวิต จำนวน 4 กรมธรรม์ รวมมูลค่า 828,489 บาท 8. เงินที่นำไปชำระหนี้เงินกู้สถาบันการเงิน จำนวน 4 แห่ง เป็นเงิน 14,925,216.49 บาท รวมมูลค่าทรัพย์สินทั้งสิ้น 216,062,819.54 บาท
ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อขอให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดินต่อไป
4.ผบ.ตร. แถลงมือวางระเบิดป่วน ตร.เคยบุกฐานนาวิกโยธินภาคใต้ เชื่อเหตุป่วนกรุงโยงการเมือง แฉบางส่วนถูกหลอกใช้!
หลังเกิดเหตุคนร้ายป่วนกรุงด้วยระเบิดหลายจุดใน กทม.เมื่อวันที่ 1-2 ส.ค.และเจ้าหน้าที่จับกุมผู้ต้องสงสัยได้บางส่วนนั้น เมื่อวันที่ 8 ส.ค. พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้นำทีมแถลงความคืบหน้าคดีคนร้ายลอบวางระเบิดที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เมื่อวันที่ 1 ส.ค. หลัง ผบ.ตร.ได้ร่วมสอบปากคำนายลูไซ แซแง อายุ 22 ปี และนายวิลดัน มาหะ อายุ 29 ปี สองผู้ต้องสงสัยชาว จ.นราธิวาส ซึ่งจับได้ที่ จ.ชุมพร โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า คดีนี้ต้องใช้เวลา แม้จะคุมตัวคนร้ายได้ใน 10 ชั่วโมง แต่การจะซักถามเพื่อให้รู้ขั้นตอนทั้งหมดไม่ใช่เรื่องง่าย จึงขอให้เข้าใจการทำงานของตำรวจซึ่งต้องรัดกุมทุกกระบวนการ เพราะคนร้ายไม่ได้โง่ หากให้ข้อมูลไป อาจไหวตัวหนีไปได้
ส่วนสาเหตุที่ต้องควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยดังกล่าวลงภาคใต้นั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า เพราะทั้งคู่มีประวัติคดีในฐานข้อมูล เคยเข้าตีนาวิกโยธิน และว่า คำให้การของคนร้าย ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องศาสนา แต่จากประสบการณ์ทำงานของผม มองว่าอาจเกี่ยวกับเหตุการเมือง โดย 1 ในคนร้ายยอมรับว่า ในวันก่อเหตุวางระเบิดหน้าป้าย ตร. ก็ยังเกี่ยงกันวางและบางจุดที่นำไปวาง ก็ไม่ได้หวังผลเอาชีวิต และว่า จากภาพจากวงจรปิดจะเห็นว่า คนร้ายแบกกระเป๋าเป้ที่ใบใหญ่มา ในนั้นมีเสื้อผ้า กางเกง หมวก และแว่นตาอย่างละ 5 ชุด ที่คนร้ายนำมาเปลี่ยน “ขอฝากพี่น้องประชาชนว่า หากพบบุคคลลักษณะต้องสงสัยสวมหน้ากาก ใส่แว่นตาปิดบังใบหน้า หรือมีหลักฐานภาพวงจรปิด กล้องหน้ารถต่างๆ ขอให้แจ้งเบาะแสกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้”
ด้าน พล.ต.ท.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.กล่าวว่า ภาพรวมเหตุการณ์ทั้งหมดพบว่า คนร้ายได้ใช้อุปกรณ์ 2 ชนิด ชิ้นแรกคือระเบิด และอุปกรณ์ทำให้เกิดเพลิงไหม้ โดยตำรวจภูธรภาค 9 จับตัว 2 ผู้ต้องสงสัยได้ในช่วงดึกวันที่ 1 ส.ค.ต่อเนื่องวันที่ 2 ส.ค. จึงอาศัยอำนาจการคุมตัวตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เนื่องจากภาพรวมในคดีนี้ไม่ได้เกิดแค่เพียงพื้นที่ กทม. แต่มีการกระจายกำลังกันออกไปหลายพื้นที่ และว่า ขณะนี้สามารถรวบรวมหลักฐานขอศาลออกหมายจับทั้งคู่ได้แล้ว ส่วนการสืบหาผู้ต้องหารายอื่นนั้น แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ มาสเตอร์มายด์ ซึ่งเป็นผู้วางแผน กลุ่มสองคือ ระดับสั่งการ คอยกำหนดขั้นตอนรายละเอียดปฏิบัติการต่างๆ รวมถึงหาตัวแนวร่วม กลุ่มสามคือ ผู้ช่วยเหลือสนับสนุนทั้งก่อนเกิดเหตุ ระหว่างเกิดเหตุ และหลังก่อเหตุ ซึ่งบางส่วนถูกหลอกมาทำ บางส่วนจงใจทำ และสุดท้ายคือ กลุ่มที่ลงมือปฏิบัติ ซึ่งเชื่อว่ามีมากกว่า 15 ราย
พล.ต.ท.สุวัฒน์ กล่าวด้วยว่า กลุ่มที่ออกหมายจับ เป็นเพียงระดับปฏิบัติเท่านั้น เบื้องต้นตำรวจแจ้งข้อหา 2 คนร้ายดังกล่าวฐานอั้งยี่ ซ่องโจร มีวัตถุระเบิดไว้ครอบครอง และพยายามฆ่า หลังจากนี้ต้องขยายผลถึงรายอื่นๆ ต่อไป ขณะนี้ยังระบุไม่ได้ว่าเป็นกลุ่มใด แม้จะมีความเชื่อมโยงไปถึงเหตุความไม่สงบในอดีตก็ตาม พล.ต.ท.สุวัฒน์ ยังเชื่อด้วยว่า ขณะนี้มีผู้ต้องหาบางส่วนหลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว
วันเดียวกัน (8 ส.ค.) ตำรวจได้จับกุมนายเสน่ห์ ฮิมวาด อายุ 29 ปี ผู้ต้องหาที่นำวัตถุต้องสงสัยไปวางข้างกำแพงสำนักงานขายคอนโดฯ ซอยรัชดา 32 เขตจตุจักร กทม.เมื่อวันที่ 3 ส.ค. หลังสอบสวน นายเสน่ห์อ้างว่า เป็นอาสาสมัครรายการวิทยุ และเป็น รปภ.บริษัทแห่งหนึ่ง รายได้ไม่พอใช้ น้อยใจที่บริษัทไม่ยอมให้เบิกเงินล่วงหน้า จึงนำขวดน้ำเกลือเปล่าในกระเป๋ายาที่ติดรถไว้ช่วยคนเจ็บมาพันเทปกาว ก่อนนำไปวางไว้ตรงจุดดังกล่าว พร้อมยืนยันว่า ไม่เกี่ยวข้องกับการสร้างสถานการณ์แต่อย่างใด
ทั้งนี้ ตอนแรกนายเสน่ห์อ้างว่า มีผู้ต้องสงสัยนำวัตถุดังกล่าวไปวางไว้ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่เชิญตัวนายเสน่ห์มาสอบเพิ่ม ท่าทางคล้ายคนเมา เมื่อตรวจปัสสาวะพบเมตแอมเฟตามีน จึงคุมตัวไว้ ก่อนจะรับสารภาพว่า เป็นคนวางวัตถุดังกล่าว เพราะน้อยใจบริษัท เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาให้การเท็จ กระทำการให้ผู้อื่นเกิดความหวาดกลัว และเสพสารเสพติด
ล่าสุด เมื่อวันที่ 9 ส.ค. ศาลแขวงพระนครเหนือ พิพากษาว่า นายเสน่ห์ จำเลยมีความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษ ฐานทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือตกใจ จำคุก 1 เดือน ฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน และแจ้งความเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 7 เดือน จำเลยรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 เดือน 15 วัน ส่วนความผิดฐานเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาไอซ์) ซึ่งจำเลยรับสารภาพ ศาลพิพากษาจำคุก 3 เดือน โดยให้นับโทษต่อจากคดีวางระเบิดปลอมและแจ้งความเท็จ ดังนั้น เมื่อรวมจำคุกจำเลยทั้งสองสำนวนแล้วเป็นเวลา 6 เดือน 15 วัน ไม่รอลงอาญา
5.ครอบครัว “แพรวา” กู้ยืมเงินญาติวางศาลเพื่อชดใช้เหยื่อครบแล้ว 42 ล้าน ด้านแม่ ดร.เป็ด เตรียมทำบุญครั้งใหญ่ให้ลูก!
ความคืบหน้ากรณี น.ส.แพรวา หรือ น.ส.รวินภิรมย์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ขับรถยนต์ชนรถตู้ จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 9 ศพ เมื่อคืนวันที่ 27 ธ.ค.2553 ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาเมื่อวันที่ 8 พ.ค.2562 ที่ผ่านมา ให้จำเลยชดใช้แก่กลุ่มโจทก์ในคดีนี้จำนวน 28 คน เป็นเงินกว่า 24.7 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี แต่จำเลยยังไม่ดำเนินการ สังคมจึงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ด้านมารดา น.ส.แพรวา อ้างว่า ยู่ระหว่างประกาศขายที่ดินที่ปราณบุรี-สามร้อยยอด 21 ไร่ มูลค่าประมาณ 50 ล้านบาท และที่ดินที่หมู่บ้านเมืองทอง 300 ตารางวา มูลค่าประมาณ 55 ล้านบาท เพื่อนำมาชดใช้ค่าเสียหาย แต่ยังขายไม่ได้ ต่อมา มีข่าวว่า มีเศรษฐีใจบุญติดต่อขอซื้อที่ดินดังกล่าว แต่สุดท้ายก็เงียบ
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 6 ส.ค. นายกรรชัย กำเนิดพลอย พิธีกรและนักแสดงชื่อดัง พร้อมนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ ได้รับมอบอำนาจจากครอบครัว น.ส.แพรวา ให้นำเช็คเงินสดจำนวน 41,755,050.79 บาท จากยอดจริง 42,637,810.40 บาท พร้อมค่าธรรมเนียมศาล 20,000 บาท มาวางศาล เพื่อชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ในคดีนี้
นายกรรชัย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนได้รับโฉนดที่ดินที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ มาจากครอบครัวของ น.ส.แพรวา เพื่อเป็นตัวกลางในการจำหน่าย แต่ติดขัดเรื่อยมา กระทั่งครอบครัว น.ส.แพรวา ตัดสินใจยืมเงินจากญาติพี่น้อง จนได้ตามจำนวน แต่ส่วนที่ยังขาดไปอีกประมาณ 8 แสนกว่าบาท เนื่องจากเป็นการรวมยอดเมื่อวันที่ 2 ส.ค. จึงทำให้ตัวเลขคลาดเคลื่อนในส่วนของดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ครอบครัว น.ส.แพรวา จะนำเงินมาวางศาลเพิ่มให้ครบจำนวน
ซึ่งวันต่อมา 7 ส.ค. นายกรรชัยและนายเดชา ทนายความ ได้รับมอบอำนาจให้นำแคชเชียร์เช็คจำนวน 862,800 บาท มามอบให้ทางศาลเพิ่มเติมจากเมื่อวันที่ 6 ส.ค.เพื่อให้ครบตามจำนวนที่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
นายโอภาพ อนันตสมบูรณ์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่ง กล่าวว่า ฝ่ายจำเลยนำเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยมามอบให้ศาลครบถ้วนเต็มจำนวนแล้ว ศาลจะเร่งทำบัญชีสรุปยอดเงินต้นและดอกเบี้ยที่โจทก์แต่ละรายจะได้รับจนถึงวันที่ 7 ส.ค. และว่า คดีนี้มีโจทก์ที่จะได้รับเงินชดใช้ทั้งสิ้น 27 ราย จากตอนแรกที่มี 28 ราย แต่ระหว่างพิจารณา โจทก์ที่ 6 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความรับเงินค่าชดเชยไปแล้ว “ผู้เสียหายที่ทราบข่าวทางสื่อมวลชนแล้ว สามารถมารับเงินได้ทันทีที่ศาลแพ่ง ตั้งแต่วันที่ 8 ส.ค. เนื่องจากเรามีบัญชีระบุยอดเงินและรายชื่อของโจทก์ทั้งหมดแล้ว สามารถจ่ายตามบัญชีได้เลย ไม่อยากให้เสียเวลาที่ศาลแม้แต่นาทีเดียว โดยออกเช็คในชื่อ-สกุลของตัวความ ซึ่งผมจะเป็นผู้เซ็นเช็คให้ รับรองว่าเช็คไม่เด้ง โดยโจทก์สามารถมารับด้วยตนเองหรือมอบอำนาจให้ทนายความ หรือคนหนึ่งคนใดมารับแทนก็ได้ หรือแจ้งความประสงค์ต่อศาล หากต้องการให้โอนเงินเข้าบัญชี แต่ต้องส่งเอกสารรายละเอียดหมายเลขบัญชี รวมทั้งชื่อ-สกุลเจ้าของบัญชีที่ถูกต้องมาให้” ทั้งนี้ ตามกฎหมาย สามารถมารับค่าเสียหายดังกล่าวได้ภายในเวลาบังคับคดี 10 ปี
ด้านนายกรรชัย เผยว่า ครอบครัว น.ส.แพรวาบอกว่า ที่ผ่านมา อยู่กับความเสียใจตลอดมา ขณะที่เวลานี้ ฝ่ายบิดา น.ส.แพรวา ได้อุปสมทบอุทิศบุญกุศลให้แก่ผู้เสียชีวิต ไม่ได้ออกข่าวหรือบอกใคร มาถึงวันนี้ก็อยากแจ้งให้สังคมทราบ และว่า คดีนี้ทุกอย่างน่าจะเสร็จสิ้นและเงินเยียวยาจะถึงผู้สูญเสีย ส่วนที่ดินที่ครอบครัว น.ส.แพรวาประกาศขาย หากมีผู้สนใจ สามารถติดต่อผ่านทางช่อง 3 ได้
ขณะที่นางถวิล เช้าเที่ยง อายุ 71 ปี มารดาของนายศาสตรา เช้าเที่ยง หรือ ดร.เป็ด 1 ใน 9 ผู้เสียชีวิตจากการถูก น.ส.แพรวาขับรถชนรถตู้ กล่าวหลังรู้ข่าวว่า ครอบครัว น.ส.แพรวา นำเช็คไปวางศาลเพื่อเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิตในคดีนี้ว่า รู้สึกดีใจมาก ขอขอบคุณทุกคนที่ช่วยเหลือ เงินที่ได้มา 1.5 ล้านบาท จะนำไปทำบุญครั้งใหญ่ นิมนต์พระ 100 รูป เพื่อทำบุญให้ลูกชายที่เสียชีวิต ปลูกบ้าน เก็บไว้รักษาตัวเอง และเตรียมสำหรับงานศพของตัวเอง เพราะตอนนี้ไม่มีลูกแล้ว ส่วนตนยังทำงานหากินร้อยพวงมาลัยขายตามปกติที่ จ.ราชบุรี