ในท่ามกลางกระแสทิศทางของวงการเพลงไทยที่มีการหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา แต่ในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาก็ยังมีวงดนตรีร็อก นาม เดอะเยอร์ส (The Yers) ที่ยังคงยืนหยัดในการนำเสนอผลงานความเป็นตัวตนได้อย่างชัดเจนและน่าสนใจ จนเป็นที่ยอมรับในนักฟังเพลง สังเกตได้จากบัตรคอนเสิร์ต ไทยประกันชีวิต Presents HALL OF FAN : SUNDAY EVENING CONCERT ครั้งที่ 8 กับ The Yers 10 Years ที่เปิดขายในเวลาไม่นานก็สามารถขายได้หมดภายในระยะเวลาไม่นานเป็นที่เรียบร้อย

จุดเริ่มของคอนเสิร์ตครั้งนี้มันเริ่มมาจากอะไรครับ
ยศทร บุญญธนาภิวัฒน์ (อู๋ - ร้องนำ/กีตาร์) : เริ่มมาจากเราอยากมีคอนเสิร์ต 10 ปี คือมีคนไม่เห็นด้วยเยอะ เพราะเขาบอกว่าเราไม่พร้อมที่จะมีคอนเสิร์ตเป็นของตัวเอง เพราะเขาบอกว่าทำไปแล้วจะได้อะไร ทำไปแล้วจะประสบความสำเร็จไหม คุ้มทุนหรือเปล่า และต่อยอดอะไรให้วงมั้ย แต่เราไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย เราคิดแค่ว่ามันครบ 10 ปีวงแล้ว ก็มีคนไม่เห็นด้วยอย่างที่บอก เพราะสถานที่ที่เราต้องการเล่นคือที่ GMM LIVE House แต่ก็มีคนบอกเหมือนกันว่าที่นี่อันตรายนะ วงเอาไม่อยู่หรอก คนจะมาได้เหรอ บัตรมันจะหมดไหม ก็เลยพับโครงการนี้ไปเลย
แต่ต่อมามันมีโปรเจกต์ของทางไทยประกันชีวิต และแกรมมี่ เขามีโปรเจกต์ว่าจะจัดคอนเสิร์ต Hall of Fan ทุกวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือน ในปีนี้เดือนละ 1 โชว์ เขาก็เลยหาทางออกให้ว่า โครงการที่ว่านี้ให้มาเข้าร่วมกับโปรเจกต์ก็ดี ซึ่งมันลงล็อกกับความตั้งใจของเราในที่บอกไปอยู่แล้ว ก็จะลดเรื่องค่าใช้จ่ายได้ เลยเป็นคอนเสิร์ตที่ต้องให้คนกลุ่มนั้นรู้ให้ได้ว่าวงกับสถานที่ตรงนั้นก็เล่นได้นะ
จากที่อู๋เล่ามา มันเหมือนกับตอบโจทย์วงแบบอ้อมๆ ด้วยมั้ย
ยศทร : ใช่ครับ คือคนกลุ่มนั้นก็พยายามจะหาทางออกว่า ถ้าจะไม่มีเลยก็ไม่เป็นอย่างนั้นซะทีเดียว เขาก็อยากจะให้มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยความที่วงครบ 10 ปีด้วย การที่มีคอนเสิร์ตตรงนี้เราว่ามันลงตัวพอดี ทางเราได้ และสปอนเซอร์ได้ด้วย Project ก็ได้วงในสเกลนี้ มันก็วิน-วินทั้งคู่ เรียกว่าคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบทางการครั้งแรกของ the yers
พนิต มนทการติวงค์ (ต่อ - กีตาร์/ร้องประสาน) : คือถ้าเราจัดกันเอง อย่างที่พวกเรามอง ถ้ามีคอนเสิร์ตใหญ่จริงๆ อาจจะไม่ใช่ที่ขนาดนี้ แล้วก็อาจจะไม่ใช้ที่แกรมมี่ด้วยซ้ำ พอมีลักษณะนี้เกิดขึ้นมา อย่างน้อยเขาก็ช่วยในเรื่องของสถานที่ เรื่อง Production อะไรหลายๆ อย่าง มันก็ง่ายขึ้นนะ
ถิรรัฐ ภู่ม่วง (บูม - กลอง) : เราก็มีในเรื่องของทีมงานมาช่วยดูแลในเรื่องที่ ตามเท่าที่เราทำได้ครับ มันก็จะมีการช่วยกันระหว่างทั้งสองฝ่าย
นิธิศ วารายานนท์ (โบ้ท - กีตาร์เบส) : แล้วก็เรื่องโชว์ เรื่องแขกรับเชิญพิเศษ เราก็สามารถจัดการได้ทั้งหมด โดยที่เขาไม่ได้มาปรับเปลี่ยนอะไร เราจัดการได้อย่างที่ต้องการเลย ก็เหมือนคอนเสิร์ตใหญ่เลย

ด้วยสเกลงานที่ใหญ่ขึ้น แต่ละคนมีความรู้สึกที่แบบว่ามันถึงเวลาแล้วด้วยมั้ย
พนิต : มันไม่ใช่เพราะว่าตื่นเต้น คือพอได้เล่นเพลงของเราทุกเพลงที่เราไม่เคยเล่นมาก่อนเลย มันก็เลยมีความรู้สึกว่าอยากให้คนอื่นให้ฟัง
ยศทร : ไม่เลยนะ เราไม่ได้ประกาศศักดาว่าถึงเวลาที่ The Yers จะมีคอนเสิร์ตใหญ่แล้ว เราแค่อยากจะมีปาร์ตี้หนึ่งเพื่อรวบรวมคนที่เข้าใจและรักเราจริงๆ ไม่ได้รักเราแบบผิวเผิน ไม่ได้ชอบเราแบบเพลงบางเพลง เรารู้สึกว่าตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา เรามีกลุ่มแฟนเพลงที่มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แล้วก็เชื่อว่ามันจะมีแฟนเพลงเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เขาอยากดูวงเราแบบเป็นรูปแบบและแบบที่เราอยากจะทำจริงๆ
นิธิศ : เรารู้สึกว่าวงดนตรีสเกลที่ใกล้เคียงเรา หรือวงพี่น้องร่วมรุ่น บางวงเขาก็มีคอนเสิร์ตใหญ่ก่อนเราด้วยซ้ำ มันไม่เกี่ยวว่าเหมาะสมที่จะควรทำ ไม่งั้นก็จะเจอตามผับต่างๆ ที่เป็นโชว์อีกรูปแบบหนึ่งของเรา มันยังไม่เต็มรูปแบบอย่างที่เราอยากเล่น ซึ่งการจัดที่นี่มันจะตอบโจทย์แบบนี้ ซึ่งเรารู้สึกว่ามันควรจะมีที่แบบนี้ให้กับทุกวงด้วยซ้ำ
ยศทร : จริงๆ มันควรเป็นเรื่องธรรมดา มันควรเปลี่ยนวัฒนธรรมในการดูคอนเสิร์ตให้มันเป็นแบบนี้มากๆ ให้ประเทศไทยมองว่าเป็นเรื่องปกติ คือมีวง ONE OK ROCK จากญี่ปุ่น ได้ติดต่อวงหนึ่งในแกรมมี่ เหมือนกับว่าทำทัวร์ร่วมกัน เขาก็หาข้อมูลว่าวงดนตรีบ้านเรานั้นมีการทัวร์คอนเสิร์ตที่ไหนบ้าง ปรากฏว่าในทัวร์นั้นไปเล่นที่ร้านอาหารบ้าง ร้านเหล้าสไตล์เพื่อชีวิตบ้าง หรือผับตามต่างจังหวัดบ้าง เขาตกใจเลยว่าวงดนตรีบ้านเรานั้นเล่นคอนเสิร์ตในลักษณะอย่างนี้เลยเหรอ แตกต่างจากของเขาที่จะเล่นตามไลฟ์เฮาส์ หรือสนามกีฬาต่างๆ
แสดงให้เห็นว่าวัฒนธรรมในการชมคอนเสิร์ตนั้นแตกต่างกัน ของเขาจะเสร็จโชว์เพื่อให้เหมาะสมกับสถานที่ที่ไปเล่น โชว์โปรดักชันที่อยากให้คนดูและซึมซับการชมคอนเสิร์ตในแต่ละครั้ง แต่ประเทศเราจะเป็นลักษณะว่าจะต้องรอสักวันหนึ่งเพื่อเช่าสตูดิโอที่ต่างๆ แล้วก็จัดโปรโมชันที่ต้องการเสนอ เรามองว่าคอนเสิร์ตใหญ่มันควรจะเป็นเรื่องธรรมดาได้แล้ว

อาจเป็นเพราะว่าคนฟังในบ้านเรา มันยังไม่โอเคตามที่อู๋ว่าด้วยมั้ย
ยศทร : ไม่ใช่ครับ ผมว่าคนฟังพร้อมเสมอ อย่างง่ายๆ เช่น เราไปเล่นร้านๆ หนึ่งที่กลุ่มแฟนเพลงเราไปเที่ยวอยู่แล้ว เขาก็จะมาดูคอนเสิร์ตเรา แต่ถ้าเราไปเล่นอีกร้านหนึ่ง แต่เป็นร้านที่เปิดเพลงลูกทุ่ง เป็นเพิง เสิร์ฟอาหาร มีโต๊ะนั่งหมดเลย กลุ่มคนพวกนี้ก็จะมีความรู้สึกว่าไม่ไปแน่นอน แม้ว่าเป็นวงที่กูชอบก็ตาม มันเลยรู้สึกว่าคนอยากดูคอนเสิร์ตใหญ่ เพราะด้วยเหตุผลนี้แหละ เขาอยากจะดูว่าจริงๆ แล้ววงคิดแบบไหน อยากนำเสนอโชว์แบบไหน ลิสต์เพลงแบบไหน ผมโทษตรงนี้มากกว่าว่าวงดนตรีกลายเป็นส่วนหนึ่งของการกินเหล้า การกินอาหาร ผมโทษวัฒนธรรมตรงนี้มากกว่า ไม่ใช่แค่วงระดับสเกลเรานะ กลุ่มคนฟังของทุกคนมีหมด แต่มันต้องอยู่ถูกที่ถูกทางด้วย
สมมติว่าเราชอบวง The Killers มากๆ แล้วที่ผ่านมาไม่ได้เล่นที่ธันเดอร์โดม แต่ไปเล่นที่ร้านอาหารสักสาขาหนึ่ง คือทางร้านก็ไม่ได้ผิดหรอก แต่เขาเอาวงที่เราชอบไปอยู่ในสถานที่ที่มันผิด แค่นี้เราก็ไม่ได้อยากดูแล้ว มันจะมีความรู้สึกว่าวงจะเอาแสงสีเสียงมาด้วยมั้ย เสียงจะได้ขนาดไหน แต่กลายเป็นว่าวงดนตรีของไทยจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ตลอดชีวิต ไม่ว่าคุณจะดังแค่ไหนก็ตาม เพราะว่าเราถูกปลูกฝังว่าเป็นส่วนประกอบของการเลิกงานวันศุกร์ แล้วมานั่งกินข้าว กินเบียร์ แล้วก็ดูวงดนตรีที่เขามีให้โชว์
มันค่อนข้างเจ็บเหมือนกันนะ
ยศทร : เจ็บและต้องเข้าใจ และยอมรับมันว่าวัฒนธรรมในการดูคอนเสิร์ตแบบที่เราฝัน ไม่ได้ 100% เพราะฉะนั้น ผมเลยรู้สึกว่าโคตรสนับสนุนการเล่นคอนเสิร์ตใน Live House ที่อยู่ดีๆ ก็เปิดขึ้นมาเพื่อสนับสนุนรูปแบบดนตรี การมีสถานที่ในลักษณะอย่างนี้มันควรจะพัฒนาวงการดนตรีในบ้านเราไปเรื่อยๆ เวลาที่ไปดูคอนเสิร์ตในแต่ละครั้งเราก็ไม่ต้องไปตามร้านอาหารต่างๆ เราควรจะไปดูโชว์ในสถานที่ที่เขาภูมิใจนำเสนอจริงๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่พูดยากมาก เพราะว่ามันเป็นเรื่องของธุรกิจด้วย

เลยทำให้การซาบซึ้งงานศิลปะในบ้านเรามันลดลงไป
ยศทร : ถูกต้องเลย เลยทำให้เราต้องเข้าใจและยอมรับที่ทำให้เราอยู่รอดในวงการ เข้าใจและยอมรับ และปรับตัว เท่าที่ตัวเองจะทำได้ แต่เราว่าในความแย่ที่ว่ามา มันก็ยังมีความสวยงามในนั้นอยู่นะ แต่ก็ต้องหามันให้เจอ อย่างเราเองหรือเพื่อนเราในวงก็ต้องหาจุดที่เรามีความสุขกับมัน และก็ต้องกอบโกยรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหลายแหล่ เอามาชดเชยความรู้สึกพวกนี้ให้ได้
แต่เราว่าสิ่งที่สวยงามที่สุดของวงการเพลงก็คือ คนไทยฟังเพลงไทย แค่นี้จบแล้ว เมื่อเทียบกับบางประเทศอย่างสิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย เขาไม่ฟังเพลงในประเทศตัวเองเลย เราว่าแย่กว่าอีก อย่างน้อยๆ แม้ว่าวัฒนธรรมในการเสพงานหรือว่าการดูคอนเสิร์ตอาจจะยังไม่ได้เป็นแบบฝรั่ง แต่เราว่าที่สวยงามก็คือคนไทยสนับสนุนคนไทยกันเอง นี่คือสิ่งที่ทำให้เกิดค่ายเพลงต่างๆ ทำให้เกิดธุรกิจวงการเพลง และทุกคนมีอาชีพและยังเล่นดนตรีได้ เรารู้สึกดีตรงนี้ พอมาคิดถึงตรงนี้แล้วเราก็รู้สึกสบายใจขึ้น
ถิรรัฐ : อย่างเพื่อนเราที่เป็นนักดนตรีชาวฮ่องกง คือด้วยความที่ฮ่องกงเป็นเกาะ ในการทัวร์แต่ละครั้งก็เท่ากับทัวร์ทั้งประเทศ ก็เท่ากับว่าเล่น 1 ครั้ง คนทั้งเกาะก็มาดูหมดแล้ว จากนั้นแล้วยังไงต่อ ถ้าจะทัวร์อีกอาทิตย์หน้า แล้วเพื่อนเราด้วยความเป็นนักดนตรีอาชีพของที่นั่น ก็ต้องใช้วิธีคือ ไปทัวร์กับประเทศจีน แล้วอาชีพนักดนตรีในฮ่องกงคือน้อยมาก แทบจะนับคนได้เลย เราถือว่ายังโชคดีที่ยังมีการทัวร์ การเดินสาย แม้ว่าจะผิดที่ผิดทางไปหน่อย

การที่อู๋บอกว่า เราอยากมีวงดนตรีที่เราอยากเล่นจริงๆ เหมือนกับว่าเราอยากมีผลงานที่ออกมาจริงจังด้วยมั้ย
ยศทร : ตอนแรกอยากมีวงเอาไว้ระบายครับ เพราะว่าเราเล่นกลองมา 2-3 วงแล้ว แล้วเรามีความรู้สึกว่ามันไม่ใช่วิธีที่เราอยากเล่น เราอยากมีพื้นที่เอาไว้เล่นจังหวะที่เราอยากเล่น ซาวนด์ที่เราอยากเล่น เรามีรสนิยมส่วนตัวของเรา เราเลยตั้งวง The Yers ขึ้นมาเพื่อ Cover เพลงเหล่านั้นเพื่อความสะใจ แต่ว่าเราไปเล่นงานที่ต้องมีเพลงที่แต่งขึ้นมาใหม่ ก็เลยแต่งเพลงขึ้นมา พอแต่งไปเรื่อยๆ เราก็เริ่มรู้ตัวเองแล้วว่าทำวงนี้ถึงขั้นจริงจัง มีเพลงเป็นของตัวเองและมีอัลบั้มได้ ก็เลยมีวงนี้ขึ้นมา โดยที่ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องมีถึงขนาดนั้น
เราว่าศิลปินหลายคนน่าจะมีความรู้สึกที่แบบว่า ทำไมเปิดวิทยุแล้วมันฟังเพลงไม่ได้เลย แล้วมันก็ต้องมีคนแบบเรา เพียงแค่ไม่รู้ว่ามีใครบ้าง คือไม่ใช่ไม่ชอบนะ แต่มันไม่ถูกใจสักที วงดนตรีในประเทศไทยทุกวงเจ๋งหมด มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองหมด แต่ว่าเอกลักษณ์ในที่เราชอบทำไมมันถึงยังไม่เกิดขึ้นมาสักที เราเลยคิดว่ามาลองทำเองมั้ยอย่างที่บอก พอเริ่มจริงจังขึ้นไปเรื่อยๆ มันก็เลยสนุกขึ้นไปเรื่อยๆ
แล้วพอ 3 คนที่เข้ามา ก็คล้ายกับเรามาร่วมสืบทอดอุดมการณ์กับอู๋ด้วย ประมาณนั้นมั้ย
พนิต : คือต้องบอกว่าอู๋มีทิศทางของวงที่แน่นอนว่ามันคือเส้นนี้ แล้วพอแต่ละคนเข้ามาในวง มันเลยกลายเป็นว่าวิ่งมาเลนนี้ด้วยกัน มันไม่ใช่แบบว่าทุกคนเอาอะไรมาใส่ก็ได้ แต่ว่าทุกคนเอาของตัวเองเข้าไปใส่ แล้วมันเหมาะกับเลนที่ตั้งไว้ ผมว่าไม่ใช่เป็นการปรับตัวนะ แต่ว่าเป็นการเข้าใจว่าเราจะเล่นอะไรได้บ้าง การที่อยู่ในวงนี้ต้องทำยังไงให้ตัวเองอยู่ในวง
ยศทร : เราว่าเราน่าจะเหมือนพรรคการเมือง แล้วมีเราเป็นหัวหน้าพรรค แล้วแต่ละคนก็เหมือนกับทำหน้าที่ต่างๆ ทุกคนมีอุดมการณ์เหมือนกัน แต่แสดงออกแตกต่างด้วยวิธีการที่จะนำเสนออุดมการณ์นี้ที่แตกต่างกัน แล้วเราจะเป็นคนตบว่าอันนี้ใช่อุดมการณ์เราไหม
ถิรรัฐ : คือถ้าเป็นในแง่ที่ต่อบอก มันก็เหมือนถนนเส้นเดียวกันนะครับ เรามาด้วยรถหาว่าวิธีการเข้าถึงมันก็คนละแบบ แล้วพอเข้ามามันก็อยู่ในไลน์เดียวกัน แต่ละคนก็จะมาในวิธีที่ไม่เหมือนกัน คือถ้าอยู่เลยเจอแล้วให้มาเหยียบกระเดื่องคู่มันก็ไม่ใช่ไหมครับ พอเราอยู่มาสักพักหนึ่ง อะไรที่เล่นแล้วมันจะเป็น the yers ได้บ้าง
นิธิศ : อย่างแต่ละคนก็จะมีลูกส่ง หรือเทคนิค ใส่ความเฉพาะตัวของแต่ละคนเข้าไป แล้วอู๋จะมาสรุปว่าเอาประมาณไหน จนออกมาเป็นเพลงของวงอย่างที่ได้ยินกัน

การที่อู๋ตั้งวงดนตรีนี้ขึ้นมา แต่ละคนก็ค่อยๆ ปรับตัวเข้าหาจนมันลงล็อกพอดี
ยศทร : ข้อเสียก็คือผมเหนื่อย แต่ข้อดีของมันก็คือ Direction ของวงชัดเจน มันเลยออกมาไม่เละ แล้วก็ข้อดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ เพื่อนในวงจะมีอีโก้ไม่เท่าผม นั่นคือโคตรของโคตรดีเลย เพราะว่ามันจะมี Direction ที่แน่นอน เราจะไม่มีจุดแบบว่าพอกระเด็นออกไปแล้วมันรู้สึกว่าขาดใจ มันจะทำให้จุดที่คนมาหลงรักเราไม่มี นี่คือสิ่งที่พี่รุ่ง (รุ่งโรจน์ อุปถัมป์โพธิวัฒน์) เคยบอกกับวงเลย มึงยังไม่รู้เลยว่ามึงคืออะไร ใครจะมาชอบมึง แล้วพอเราทำไป เรารู้แล้วว่าเราคืออะไร แล้วคนจะชอบเราแบบไหน
ความคิดเรา เราไม่ได้ตั้งใจว่าจะเป็นกัปตัน หรือว่า producer เลยนะ เราไม่เคยคิดเลย แต่ด้วยนิสัยของเรา เราจะเป็นประเภทที่ว่า เวลาที่จะทำอะไรก็อยากจะทำให้เสร็จด้วยตัวเองเร็วๆ ก่อน สมมติว่าทำเพลง 1 เพลง โครงเสร็จแล้ว ถ้าเป็นวงอื่นก็จะเป็นแบบว่าเอาไลน์นี้ไปทำหน่อย แต่เราจะเป็นแบบว่า ถ้าไลน์ไหนทำได้ก่อนกูทำก่อนเลย แล้วให้เพื่อนมาฟังว่าเป็นยังไง ถ้าแก้ก็แก้เลย แล้วถ้าแก้แล้วไม่ใช่แนววง เราก็จะตบกลับมา เราว่ามันเป็นแบบนั้น มันเลยเป็นการทำงานในวงแบบนั้นไปเลย เราว่าหลายๆ วงก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน เช่น พี่เล็ก Greasy Cafe หรือ วง tame impala คือเหมือนกับไอเดียมันอยู่ในหัวแล้ว แล้วเวลาที่ทำเพลงหนึ่ง เราก็จะทำยังไงให้มันชัดเพื่อให้เพื่อเห็นในแนวทางเดียวกับเรา เราก็ต้องทำให้ชัดที่สุดก่อน บางเพลงอาจจะชัดเลย หรือบางเพลงก็ชัดแค่ 50-60 เปอร์เซ็นต์ก็ว่าไป แล้วก็มาเติมพร้อมกันอีกทีหนึ่ง
ในขณะเดียวกัน การที่ตัววงค่อยๆ ได้รับความนิยมทีละนิดแบบมั่นคง ถือว่าตอบโจทย์ให้ตัวเองในฐานะนักดนตรีด้วยมั้ย
ยศทร : เราว่ามันมาในทางที่ถูกต้องของมัน การเติบโตของ the yers มันไม่ใช่เป็นการก้าวกระโดดที่เปรี้ยงปร้าง เราว่าเรามีความสุขกับทางนี้มากเลยนะ หมายถึงว่ามันต้องเป็นคนที่เข้าใจจริงๆ ต้องใช้เวลาที่จูนกัน แล้วพอมันติดปุ๊บก็คบกันไปยาวๆ เราเชื่อว่าแฟนเพลงของพวกเราไม่ใช่ฟังแบบผิวเผินแน่นอน เราว่าเขาเป็นคนที่เข้าใจและใช้เวลาจูนกันมาก่อนหน้านี้สักพักก่อนที่จะมาเป็นแฟนเพลงกัน คือมันเติบโตแต่ว่าไม่มั่นคงครับ เราเป็นวงที่ไม่มั่นคงเลยกับสิ่งที่ได้มาตลอด 10 ปี แต่เราค่อยๆ เติบโตอย่างถูกที่ถูกทาง และไม่ประเจิดประเจ้อเกินไป เรารู้สึกดีกับสิ่งที่มันเกิดกับวงมาก
พนิต : มันยังโชคดีตรงที่คนยังเห็นภาพเราเป็นแบบเดิมอยู่ ยังเห็นเราทำเพลงในลักษณะเดิมอยู่ ทำให้ภาพลักษณ์ยังไม่เปลี่ยน

ในอีกด้านหนึ่งที่เราก่อร่างสร้างวงขึ้นมา เราก็เข้าสู่พาร์ตในการเป็นนักดนตรีที่จริงจังด้วยมั้ย
ทั้งวง : (พยักหน้า)
นิธิศ : อย่างรายละเอียดของการแสดงสด การใช้เครื่องไม้เครื่องมือ หรือเสียงที่ปล่อยออกไป ถ้าเป็น 10 ปีที่แล้วเราคงไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำอยู่มันมีดีกว่านั้น เราทำได้ดีกว่านั้น เราหาอะไรที่แทนที่ได้ดีกว่านั้น 1 ปีที่ผ่านมาทำให้รู้ว่ามันพัฒนาขึ้น
ยศทร : ในช่วงที่เราไปเล่นคอนเสิร์ตช่วงแรกๆ เรายังไม่รู้เลยว่าเทคนิเชียนคืออะไร ห้องบันทึกเสียงทำงานยังไง การตัดต่อการร้องคืออะไร หรือแม้กระทั่งการทำ mastering ก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร มันก็เป็นสิ่งที่ต้องใส่ใจแล้วก็จริงจังกับมันไปโดยปริยายครับ กับเรื่องรายละเอียดพวกนี้ ถ้าเราย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน จนกระทั่งปัจจุบันเราเรียกได้ว่าเรารู้เรื่องพวกนี้แล้ว และใช้งานให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด คือเราเข้าวงการมาในช่วงที่เขากำลังจะเลิกทำอัลบั้มแล้วด้วยซ้ำ แต่เราก็ยังทำอัลบั้ม
พนิต : ถ้าถามถึงเรื่องจริงจัง ตั้งแต่อัลบั้มแรก หากเป็นวงที่ไม่ได้จริงจังมากอาจจะทำแค่เพลง 2 เพลงแค่นั้น แต่เราก็ทำมาจนกระทั่งเป็นอัลบั้ม พอมาถึงอัลบั้ม 3 แล้ว มันเริ่มจริงจังแล้ว
ถิรรัฐ : เราว่ามันเริ่มจริงจังตั้งแต่แรกแล้วล่ะครับ แต่ว่ามันเป็นเรื่องของการมีประสบการณ์มากขึ้น คือเราก็ไม่ได้เล่นกลางคืนมาก่อน ไม่ได้เล่นดนตรีจริงจัง แล้วพอเข้ามาในวงการแล้วก็ไม่รู้ว่าในการทัวร์แต่ละครั้งจะต้องเจออะไรบ้าง อย่างที่โบ๊ทบอกนะครับ ประสบการณ์ก็ค่อยๆ สอนเราไปเรื่อยๆ น่ะครับ

แน่นอนว่า การที่วงผ่านการเติบโตจากวงเล็กๆ มา จนมาตอนนี้ที่ถือได้ว่าเป็นวงดนตรีหลักอีกวงของวงการเพลงไทย แต่ละคนคิดว่าอะไรที่ทำให้วงมาถึงจุดนี้ได้ครับ
ยศทร : ตอบไม่ได้นะครับ เพราะว่าเรายังรู้สึกว่าเราก็ยังเป็นวงเล็กเหมือนเมื่อ 10 ปีก่อนอยู่ เราแค่ใช้อุปกรณ์เก่งขึ้น ประสบการณ์มากขึ้น แต่งเพลงได้เร็วขึ้น แต่เรารู้สึกว่าวงเรายังไม่ได้ขยับสเกลอะไรมากเท่าไหร่จากเมื่อ 10 ปีก่อน เราว่าเรายังต้องสู้อะไรอีกเยอะมากมายเลย เรายังรู้สึกว่าเรายังสามารถรับรางวัลศิลปินหน้าใหม่ได้อยู่ (หัวเราะเบาๆ) ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมคนยังคิดว่าวงเราเป็นวงที่เป็นระดับประเทศแล้วนะ ทั้งๆ ที่เวลาที่เราเดินไปไหนก็ยังไม่มีใครรู้จักเราเลย (หัวเราะอีกครั้ง)
คือขนาดเราหัวทองและใส่แว่นชัดขนาดนี้ แถมเดินในห้างที่มีคนเป็นพันในวันเสาร์-อาทิตย์ ก็ยังไม่มีใครรู้จักเราเลย เราก็ยังมีความรู้สึกว่าเราก็ยังไม่ได้มีชื่อเสียงขนาดนั้น ในขณะเดียวกัน ถ้าเป็น พี่แหลม 25 Hours พี่ปั๊บ โปเตโต้ คนพวกนี้เราว่าน่าจะเดินยากประมาณหนึ่ง ขนาดซื้อของในร้านสักชิ้น เราคิดว่าน่าจะยาก แต่ขนาดที่คนอย่างเราเดินไปซื้อก็ไม่มีใครสนใจ เราก็เลยไม่รู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นนักร้องที่ดังเลยแม้แต่วินาทีเดียว คือมันอาจจะมีบ้าง เวลาที่เราไปไปรษณีย์ แล้วพนักงานเขารู้จักเรา แต่มันไม่มีลักษณะแบบว่าพี่ครับ ขอถ่ายรูปหน่อยครับ และอาจจะมีบ้างตอนที่เราไปเล่นคอนเสิร์ตที่ไหนสักที่ แล้วมีแฟนเพลงมาขอถ่ายรูป คือจะมีโมเมนต์แบบนั้นมากกว่า
แต่ในชีวิตประจำวันก็เป็นอย่างที่บอก เราเลยรู้สึกว่าวงเรายังไม่โด่งดังขนาดนั้น มันไม่ได้ยิ่งใหญ่ขึ้น ยังไม่ได้เป็นวงร็อกที่ประสบความสำเร็จอะไรเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่เข้าใจอย่างแรงกล้าเลยว่าทำไมคนถึงเข้าใจกันแบบนั้น คือเราว่าวงเราคงเป็นที่รู้จักสำหรับคนที่ฟังเพลงอย่างเดียว อาจจะเป็นเพราะว่าเพลงเราไม่ได้ฮิตทั่วบ้านทั่วเมือง เราเป็นคนของคนฟังเพลง เรายังไม่ได้เป็นคนของประชาชนทั่วไป ซึ่งเราก็ขอขอบคุณถ้ามองกันแบบนั้น แต่โดยตัวเราเองเราก็ยังไม่รู้สึกขนาดนั้น
นิธิศ : ผมนึกไปถึงการเล่นหลังเวที ถ้าเบื้องหน้าคือคนฟัง เบื้องหลังเวที คนในวงการเพลง ทั้งพี่ๆ และน้องๆ ศิลปิน พวกเขาก็เข้ามาชื่นชมมากขึ้น รวมถึงก็มีวงรุ่นใหม่ที่เข้ามาถามและพูดคุย ให้เกียรติเราว่าเราเป็นวงที่ senior ขึ้น เรารู้สึกแบบนั้นนะ
พนิต : ในมุมมองของคนฟัง เขาอาจจะคิดว่าเรายิ่งใหญ่ขึ้น แต่ในอีกมุมหนึ่งเราก็ยังถูกมองว่าเล็กอยู่ ในบางเทศกาลเราก็ยังได้เล่นวงแรกหรือวงที่สองของงานเสมอ เราว่ามันเป็นมุมมองของแต่ละคนนะ คือมาบางงานเขาอาจจะวางวงเราอย่างที่บอก
ถิรรัฐ : หรือบางงานก็ขึ้นอยู่กับคนจัดงานด้วยครับว่าจะให้เราอยู่ในตำแหน่งไหนของงาน แต่เราว่ามันเป็นเรื่องที่ดีที่เรายังมีความถ่อมตัวอยู่ เรายังไม่ได้รู้สึกว่าเราเป็นร็อกสตาร์มาจากไหน เรายังเป็นคนธรรมดาที่ยังเล่นดนตรีอยู่ แต่อาจจะยังมีแฟนเพลงที่รู้จักเราเพิ่มขึ้น
ยศทร : คือชินแล้วกับการที่เราได้เล่นวงแรก วงที่ 2 ของแต่ละเทศกาล แต่ถ้าเป็นสเกล งานอีกแบบหนึ่ง เขาก็จะเอาวงเราเล่นหลังสุด แล้วแต่มุมมมองคน แต่เชื่อเถอะว่าส่วนใหญ่เราเป็นวงเปิด แต่ก็พูดได้ว่าเราอยู่ถูกที่ถูกทางนะ เพราะว่าเราก็ไม่อยากมีชื่อเสียง แล้วก็ไปเจออะไรแบบนั้น เรารู้สึกว่าวงอยู่ในระดับนี้แหละ ดีแล้ว มีความพอดีๆ
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พลภัทร วรรณดี.
จุดเริ่มของคอนเสิร์ตครั้งนี้มันเริ่มมาจากอะไรครับ
ยศทร บุญญธนาภิวัฒน์ (อู๋ - ร้องนำ/กีตาร์) : เริ่มมาจากเราอยากมีคอนเสิร์ต 10 ปี คือมีคนไม่เห็นด้วยเยอะ เพราะเขาบอกว่าเราไม่พร้อมที่จะมีคอนเสิร์ตเป็นของตัวเอง เพราะเขาบอกว่าทำไปแล้วจะได้อะไร ทำไปแล้วจะประสบความสำเร็จไหม คุ้มทุนหรือเปล่า และต่อยอดอะไรให้วงมั้ย แต่เราไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย เราคิดแค่ว่ามันครบ 10 ปีวงแล้ว ก็มีคนไม่เห็นด้วยอย่างที่บอก เพราะสถานที่ที่เราต้องการเล่นคือที่ GMM LIVE House แต่ก็มีคนบอกเหมือนกันว่าที่นี่อันตรายนะ วงเอาไม่อยู่หรอก คนจะมาได้เหรอ บัตรมันจะหมดไหม ก็เลยพับโครงการนี้ไปเลย
แต่ต่อมามันมีโปรเจกต์ของทางไทยประกันชีวิต และแกรมมี่ เขามีโปรเจกต์ว่าจะจัดคอนเสิร์ต Hall of Fan ทุกวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือน ในปีนี้เดือนละ 1 โชว์ เขาก็เลยหาทางออกให้ว่า โครงการที่ว่านี้ให้มาเข้าร่วมกับโปรเจกต์ก็ดี ซึ่งมันลงล็อกกับความตั้งใจของเราในที่บอกไปอยู่แล้ว ก็จะลดเรื่องค่าใช้จ่ายได้ เลยเป็นคอนเสิร์ตที่ต้องให้คนกลุ่มนั้นรู้ให้ได้ว่าวงกับสถานที่ตรงนั้นก็เล่นได้นะ
จากที่อู๋เล่ามา มันเหมือนกับตอบโจทย์วงแบบอ้อมๆ ด้วยมั้ย
ยศทร : ใช่ครับ คือคนกลุ่มนั้นก็พยายามจะหาทางออกว่า ถ้าจะไม่มีเลยก็ไม่เป็นอย่างนั้นซะทีเดียว เขาก็อยากจะให้มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยความที่วงครบ 10 ปีด้วย การที่มีคอนเสิร์ตตรงนี้เราว่ามันลงตัวพอดี ทางเราได้ และสปอนเซอร์ได้ด้วย Project ก็ได้วงในสเกลนี้ มันก็วิน-วินทั้งคู่ เรียกว่าคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบทางการครั้งแรกของ the yers
พนิต มนทการติวงค์ (ต่อ - กีตาร์/ร้องประสาน) : คือถ้าเราจัดกันเอง อย่างที่พวกเรามอง ถ้ามีคอนเสิร์ตใหญ่จริงๆ อาจจะไม่ใช่ที่ขนาดนี้ แล้วก็อาจจะไม่ใช้ที่แกรมมี่ด้วยซ้ำ พอมีลักษณะนี้เกิดขึ้นมา อย่างน้อยเขาก็ช่วยในเรื่องของสถานที่ เรื่อง Production อะไรหลายๆ อย่าง มันก็ง่ายขึ้นนะ
ถิรรัฐ ภู่ม่วง (บูม - กลอง) : เราก็มีในเรื่องของทีมงานมาช่วยดูแลในเรื่องที่ ตามเท่าที่เราทำได้ครับ มันก็จะมีการช่วยกันระหว่างทั้งสองฝ่าย
นิธิศ วารายานนท์ (โบ้ท - กีตาร์เบส) : แล้วก็เรื่องโชว์ เรื่องแขกรับเชิญพิเศษ เราก็สามารถจัดการได้ทั้งหมด โดยที่เขาไม่ได้มาปรับเปลี่ยนอะไร เราจัดการได้อย่างที่ต้องการเลย ก็เหมือนคอนเสิร์ตใหญ่เลย
ด้วยสเกลงานที่ใหญ่ขึ้น แต่ละคนมีความรู้สึกที่แบบว่ามันถึงเวลาแล้วด้วยมั้ย
พนิต : มันไม่ใช่เพราะว่าตื่นเต้น คือพอได้เล่นเพลงของเราทุกเพลงที่เราไม่เคยเล่นมาก่อนเลย มันก็เลยมีความรู้สึกว่าอยากให้คนอื่นให้ฟัง
ยศทร : ไม่เลยนะ เราไม่ได้ประกาศศักดาว่าถึงเวลาที่ The Yers จะมีคอนเสิร์ตใหญ่แล้ว เราแค่อยากจะมีปาร์ตี้หนึ่งเพื่อรวบรวมคนที่เข้าใจและรักเราจริงๆ ไม่ได้รักเราแบบผิวเผิน ไม่ได้ชอบเราแบบเพลงบางเพลง เรารู้สึกว่าตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา เรามีกลุ่มแฟนเพลงที่มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แล้วก็เชื่อว่ามันจะมีแฟนเพลงเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เขาอยากดูวงเราแบบเป็นรูปแบบและแบบที่เราอยากจะทำจริงๆ
นิธิศ : เรารู้สึกว่าวงดนตรีสเกลที่ใกล้เคียงเรา หรือวงพี่น้องร่วมรุ่น บางวงเขาก็มีคอนเสิร์ตใหญ่ก่อนเราด้วยซ้ำ มันไม่เกี่ยวว่าเหมาะสมที่จะควรทำ ไม่งั้นก็จะเจอตามผับต่างๆ ที่เป็นโชว์อีกรูปแบบหนึ่งของเรา มันยังไม่เต็มรูปแบบอย่างที่เราอยากเล่น ซึ่งการจัดที่นี่มันจะตอบโจทย์แบบนี้ ซึ่งเรารู้สึกว่ามันควรจะมีที่แบบนี้ให้กับทุกวงด้วยซ้ำ
ยศทร : จริงๆ มันควรเป็นเรื่องธรรมดา มันควรเปลี่ยนวัฒนธรรมในการดูคอนเสิร์ตให้มันเป็นแบบนี้มากๆ ให้ประเทศไทยมองว่าเป็นเรื่องปกติ คือมีวง ONE OK ROCK จากญี่ปุ่น ได้ติดต่อวงหนึ่งในแกรมมี่ เหมือนกับว่าทำทัวร์ร่วมกัน เขาก็หาข้อมูลว่าวงดนตรีบ้านเรานั้นมีการทัวร์คอนเสิร์ตที่ไหนบ้าง ปรากฏว่าในทัวร์นั้นไปเล่นที่ร้านอาหารบ้าง ร้านเหล้าสไตล์เพื่อชีวิตบ้าง หรือผับตามต่างจังหวัดบ้าง เขาตกใจเลยว่าวงดนตรีบ้านเรานั้นเล่นคอนเสิร์ตในลักษณะอย่างนี้เลยเหรอ แตกต่างจากของเขาที่จะเล่นตามไลฟ์เฮาส์ หรือสนามกีฬาต่างๆ
แสดงให้เห็นว่าวัฒนธรรมในการชมคอนเสิร์ตนั้นแตกต่างกัน ของเขาจะเสร็จโชว์เพื่อให้เหมาะสมกับสถานที่ที่ไปเล่น โชว์โปรดักชันที่อยากให้คนดูและซึมซับการชมคอนเสิร์ตในแต่ละครั้ง แต่ประเทศเราจะเป็นลักษณะว่าจะต้องรอสักวันหนึ่งเพื่อเช่าสตูดิโอที่ต่างๆ แล้วก็จัดโปรโมชันที่ต้องการเสนอ เรามองว่าคอนเสิร์ตใหญ่มันควรจะเป็นเรื่องธรรมดาได้แล้ว
อาจเป็นเพราะว่าคนฟังในบ้านเรา มันยังไม่โอเคตามที่อู๋ว่าด้วยมั้ย
ยศทร : ไม่ใช่ครับ ผมว่าคนฟังพร้อมเสมอ อย่างง่ายๆ เช่น เราไปเล่นร้านๆ หนึ่งที่กลุ่มแฟนเพลงเราไปเที่ยวอยู่แล้ว เขาก็จะมาดูคอนเสิร์ตเรา แต่ถ้าเราไปเล่นอีกร้านหนึ่ง แต่เป็นร้านที่เปิดเพลงลูกทุ่ง เป็นเพิง เสิร์ฟอาหาร มีโต๊ะนั่งหมดเลย กลุ่มคนพวกนี้ก็จะมีความรู้สึกว่าไม่ไปแน่นอน แม้ว่าเป็นวงที่กูชอบก็ตาม มันเลยรู้สึกว่าคนอยากดูคอนเสิร์ตใหญ่ เพราะด้วยเหตุผลนี้แหละ เขาอยากจะดูว่าจริงๆ แล้ววงคิดแบบไหน อยากนำเสนอโชว์แบบไหน ลิสต์เพลงแบบไหน ผมโทษตรงนี้มากกว่าว่าวงดนตรีกลายเป็นส่วนหนึ่งของการกินเหล้า การกินอาหาร ผมโทษวัฒนธรรมตรงนี้มากกว่า ไม่ใช่แค่วงระดับสเกลเรานะ กลุ่มคนฟังของทุกคนมีหมด แต่มันต้องอยู่ถูกที่ถูกทางด้วย
สมมติว่าเราชอบวง The Killers มากๆ แล้วที่ผ่านมาไม่ได้เล่นที่ธันเดอร์โดม แต่ไปเล่นที่ร้านอาหารสักสาขาหนึ่ง คือทางร้านก็ไม่ได้ผิดหรอก แต่เขาเอาวงที่เราชอบไปอยู่ในสถานที่ที่มันผิด แค่นี้เราก็ไม่ได้อยากดูแล้ว มันจะมีความรู้สึกว่าวงจะเอาแสงสีเสียงมาด้วยมั้ย เสียงจะได้ขนาดไหน แต่กลายเป็นว่าวงดนตรีของไทยจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ตลอดชีวิต ไม่ว่าคุณจะดังแค่ไหนก็ตาม เพราะว่าเราถูกปลูกฝังว่าเป็นส่วนประกอบของการเลิกงานวันศุกร์ แล้วมานั่งกินข้าว กินเบียร์ แล้วก็ดูวงดนตรีที่เขามีให้โชว์
มันค่อนข้างเจ็บเหมือนกันนะ
ยศทร : เจ็บและต้องเข้าใจ และยอมรับมันว่าวัฒนธรรมในการดูคอนเสิร์ตแบบที่เราฝัน ไม่ได้ 100% เพราะฉะนั้น ผมเลยรู้สึกว่าโคตรสนับสนุนการเล่นคอนเสิร์ตใน Live House ที่อยู่ดีๆ ก็เปิดขึ้นมาเพื่อสนับสนุนรูปแบบดนตรี การมีสถานที่ในลักษณะอย่างนี้มันควรจะพัฒนาวงการดนตรีในบ้านเราไปเรื่อยๆ เวลาที่ไปดูคอนเสิร์ตในแต่ละครั้งเราก็ไม่ต้องไปตามร้านอาหารต่างๆ เราควรจะไปดูโชว์ในสถานที่ที่เขาภูมิใจนำเสนอจริงๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่พูดยากมาก เพราะว่ามันเป็นเรื่องของธุรกิจด้วย
เลยทำให้การซาบซึ้งงานศิลปะในบ้านเรามันลดลงไป
ยศทร : ถูกต้องเลย เลยทำให้เราต้องเข้าใจและยอมรับที่ทำให้เราอยู่รอดในวงการ เข้าใจและยอมรับ และปรับตัว เท่าที่ตัวเองจะทำได้ แต่เราว่าในความแย่ที่ว่ามา มันก็ยังมีความสวยงามในนั้นอยู่นะ แต่ก็ต้องหามันให้เจอ อย่างเราเองหรือเพื่อนเราในวงก็ต้องหาจุดที่เรามีความสุขกับมัน และก็ต้องกอบโกยรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหลายแหล่ เอามาชดเชยความรู้สึกพวกนี้ให้ได้
แต่เราว่าสิ่งที่สวยงามที่สุดของวงการเพลงก็คือ คนไทยฟังเพลงไทย แค่นี้จบแล้ว เมื่อเทียบกับบางประเทศอย่างสิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย เขาไม่ฟังเพลงในประเทศตัวเองเลย เราว่าแย่กว่าอีก อย่างน้อยๆ แม้ว่าวัฒนธรรมในการเสพงานหรือว่าการดูคอนเสิร์ตอาจจะยังไม่ได้เป็นแบบฝรั่ง แต่เราว่าที่สวยงามก็คือคนไทยสนับสนุนคนไทยกันเอง นี่คือสิ่งที่ทำให้เกิดค่ายเพลงต่างๆ ทำให้เกิดธุรกิจวงการเพลง และทุกคนมีอาชีพและยังเล่นดนตรีได้ เรารู้สึกดีตรงนี้ พอมาคิดถึงตรงนี้แล้วเราก็รู้สึกสบายใจขึ้น
ถิรรัฐ : อย่างเพื่อนเราที่เป็นนักดนตรีชาวฮ่องกง คือด้วยความที่ฮ่องกงเป็นเกาะ ในการทัวร์แต่ละครั้งก็เท่ากับทัวร์ทั้งประเทศ ก็เท่ากับว่าเล่น 1 ครั้ง คนทั้งเกาะก็มาดูหมดแล้ว จากนั้นแล้วยังไงต่อ ถ้าจะทัวร์อีกอาทิตย์หน้า แล้วเพื่อนเราด้วยความเป็นนักดนตรีอาชีพของที่นั่น ก็ต้องใช้วิธีคือ ไปทัวร์กับประเทศจีน แล้วอาชีพนักดนตรีในฮ่องกงคือน้อยมาก แทบจะนับคนได้เลย เราถือว่ายังโชคดีที่ยังมีการทัวร์ การเดินสาย แม้ว่าจะผิดที่ผิดทางไปหน่อย
การที่อู๋บอกว่า เราอยากมีวงดนตรีที่เราอยากเล่นจริงๆ เหมือนกับว่าเราอยากมีผลงานที่ออกมาจริงจังด้วยมั้ย
ยศทร : ตอนแรกอยากมีวงเอาไว้ระบายครับ เพราะว่าเราเล่นกลองมา 2-3 วงแล้ว แล้วเรามีความรู้สึกว่ามันไม่ใช่วิธีที่เราอยากเล่น เราอยากมีพื้นที่เอาไว้เล่นจังหวะที่เราอยากเล่น ซาวนด์ที่เราอยากเล่น เรามีรสนิยมส่วนตัวของเรา เราเลยตั้งวง The Yers ขึ้นมาเพื่อ Cover เพลงเหล่านั้นเพื่อความสะใจ แต่ว่าเราไปเล่นงานที่ต้องมีเพลงที่แต่งขึ้นมาใหม่ ก็เลยแต่งเพลงขึ้นมา พอแต่งไปเรื่อยๆ เราก็เริ่มรู้ตัวเองแล้วว่าทำวงนี้ถึงขั้นจริงจัง มีเพลงเป็นของตัวเองและมีอัลบั้มได้ ก็เลยมีวงนี้ขึ้นมา โดยที่ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องมีถึงขนาดนั้น
เราว่าศิลปินหลายคนน่าจะมีความรู้สึกที่แบบว่า ทำไมเปิดวิทยุแล้วมันฟังเพลงไม่ได้เลย แล้วมันก็ต้องมีคนแบบเรา เพียงแค่ไม่รู้ว่ามีใครบ้าง คือไม่ใช่ไม่ชอบนะ แต่มันไม่ถูกใจสักที วงดนตรีในประเทศไทยทุกวงเจ๋งหมด มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองหมด แต่ว่าเอกลักษณ์ในที่เราชอบทำไมมันถึงยังไม่เกิดขึ้นมาสักที เราเลยคิดว่ามาลองทำเองมั้ยอย่างที่บอก พอเริ่มจริงจังขึ้นไปเรื่อยๆ มันก็เลยสนุกขึ้นไปเรื่อยๆ
แล้วพอ 3 คนที่เข้ามา ก็คล้ายกับเรามาร่วมสืบทอดอุดมการณ์กับอู๋ด้วย ประมาณนั้นมั้ย
พนิต : คือต้องบอกว่าอู๋มีทิศทางของวงที่แน่นอนว่ามันคือเส้นนี้ แล้วพอแต่ละคนเข้ามาในวง มันเลยกลายเป็นว่าวิ่งมาเลนนี้ด้วยกัน มันไม่ใช่แบบว่าทุกคนเอาอะไรมาใส่ก็ได้ แต่ว่าทุกคนเอาของตัวเองเข้าไปใส่ แล้วมันเหมาะกับเลนที่ตั้งไว้ ผมว่าไม่ใช่เป็นการปรับตัวนะ แต่ว่าเป็นการเข้าใจว่าเราจะเล่นอะไรได้บ้าง การที่อยู่ในวงนี้ต้องทำยังไงให้ตัวเองอยู่ในวง
ยศทร : เราว่าเราน่าจะเหมือนพรรคการเมือง แล้วมีเราเป็นหัวหน้าพรรค แล้วแต่ละคนก็เหมือนกับทำหน้าที่ต่างๆ ทุกคนมีอุดมการณ์เหมือนกัน แต่แสดงออกแตกต่างด้วยวิธีการที่จะนำเสนออุดมการณ์นี้ที่แตกต่างกัน แล้วเราจะเป็นคนตบว่าอันนี้ใช่อุดมการณ์เราไหม
ถิรรัฐ : คือถ้าเป็นในแง่ที่ต่อบอก มันก็เหมือนถนนเส้นเดียวกันนะครับ เรามาด้วยรถหาว่าวิธีการเข้าถึงมันก็คนละแบบ แล้วพอเข้ามามันก็อยู่ในไลน์เดียวกัน แต่ละคนก็จะมาในวิธีที่ไม่เหมือนกัน คือถ้าอยู่เลยเจอแล้วให้มาเหยียบกระเดื่องคู่มันก็ไม่ใช่ไหมครับ พอเราอยู่มาสักพักหนึ่ง อะไรที่เล่นแล้วมันจะเป็น the yers ได้บ้าง
นิธิศ : อย่างแต่ละคนก็จะมีลูกส่ง หรือเทคนิค ใส่ความเฉพาะตัวของแต่ละคนเข้าไป แล้วอู๋จะมาสรุปว่าเอาประมาณไหน จนออกมาเป็นเพลงของวงอย่างที่ได้ยินกัน
การที่อู๋ตั้งวงดนตรีนี้ขึ้นมา แต่ละคนก็ค่อยๆ ปรับตัวเข้าหาจนมันลงล็อกพอดี
ยศทร : ข้อเสียก็คือผมเหนื่อย แต่ข้อดีของมันก็คือ Direction ของวงชัดเจน มันเลยออกมาไม่เละ แล้วก็ข้อดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ เพื่อนในวงจะมีอีโก้ไม่เท่าผม นั่นคือโคตรของโคตรดีเลย เพราะว่ามันจะมี Direction ที่แน่นอน เราจะไม่มีจุดแบบว่าพอกระเด็นออกไปแล้วมันรู้สึกว่าขาดใจ มันจะทำให้จุดที่คนมาหลงรักเราไม่มี นี่คือสิ่งที่พี่รุ่ง (รุ่งโรจน์ อุปถัมป์โพธิวัฒน์) เคยบอกกับวงเลย มึงยังไม่รู้เลยว่ามึงคืออะไร ใครจะมาชอบมึง แล้วพอเราทำไป เรารู้แล้วว่าเราคืออะไร แล้วคนจะชอบเราแบบไหน
ความคิดเรา เราไม่ได้ตั้งใจว่าจะเป็นกัปตัน หรือว่า producer เลยนะ เราไม่เคยคิดเลย แต่ด้วยนิสัยของเรา เราจะเป็นประเภทที่ว่า เวลาที่จะทำอะไรก็อยากจะทำให้เสร็จด้วยตัวเองเร็วๆ ก่อน สมมติว่าทำเพลง 1 เพลง โครงเสร็จแล้ว ถ้าเป็นวงอื่นก็จะเป็นแบบว่าเอาไลน์นี้ไปทำหน่อย แต่เราจะเป็นแบบว่า ถ้าไลน์ไหนทำได้ก่อนกูทำก่อนเลย แล้วให้เพื่อนมาฟังว่าเป็นยังไง ถ้าแก้ก็แก้เลย แล้วถ้าแก้แล้วไม่ใช่แนววง เราก็จะตบกลับมา เราว่ามันเป็นแบบนั้น มันเลยเป็นการทำงานในวงแบบนั้นไปเลย เราว่าหลายๆ วงก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน เช่น พี่เล็ก Greasy Cafe หรือ วง tame impala คือเหมือนกับไอเดียมันอยู่ในหัวแล้ว แล้วเวลาที่ทำเพลงหนึ่ง เราก็จะทำยังไงให้มันชัดเพื่อให้เพื่อเห็นในแนวทางเดียวกับเรา เราก็ต้องทำให้ชัดที่สุดก่อน บางเพลงอาจจะชัดเลย หรือบางเพลงก็ชัดแค่ 50-60 เปอร์เซ็นต์ก็ว่าไป แล้วก็มาเติมพร้อมกันอีกทีหนึ่ง
ในขณะเดียวกัน การที่ตัววงค่อยๆ ได้รับความนิยมทีละนิดแบบมั่นคง ถือว่าตอบโจทย์ให้ตัวเองในฐานะนักดนตรีด้วยมั้ย
ยศทร : เราว่ามันมาในทางที่ถูกต้องของมัน การเติบโตของ the yers มันไม่ใช่เป็นการก้าวกระโดดที่เปรี้ยงปร้าง เราว่าเรามีความสุขกับทางนี้มากเลยนะ หมายถึงว่ามันต้องเป็นคนที่เข้าใจจริงๆ ต้องใช้เวลาที่จูนกัน แล้วพอมันติดปุ๊บก็คบกันไปยาวๆ เราเชื่อว่าแฟนเพลงของพวกเราไม่ใช่ฟังแบบผิวเผินแน่นอน เราว่าเขาเป็นคนที่เข้าใจและใช้เวลาจูนกันมาก่อนหน้านี้สักพักก่อนที่จะมาเป็นแฟนเพลงกัน คือมันเติบโตแต่ว่าไม่มั่นคงครับ เราเป็นวงที่ไม่มั่นคงเลยกับสิ่งที่ได้มาตลอด 10 ปี แต่เราค่อยๆ เติบโตอย่างถูกที่ถูกทาง และไม่ประเจิดประเจ้อเกินไป เรารู้สึกดีกับสิ่งที่มันเกิดกับวงมาก
พนิต : มันยังโชคดีตรงที่คนยังเห็นภาพเราเป็นแบบเดิมอยู่ ยังเห็นเราทำเพลงในลักษณะเดิมอยู่ ทำให้ภาพลักษณ์ยังไม่เปลี่ยน
ในอีกด้านหนึ่งที่เราก่อร่างสร้างวงขึ้นมา เราก็เข้าสู่พาร์ตในการเป็นนักดนตรีที่จริงจังด้วยมั้ย
ทั้งวง : (พยักหน้า)
นิธิศ : อย่างรายละเอียดของการแสดงสด การใช้เครื่องไม้เครื่องมือ หรือเสียงที่ปล่อยออกไป ถ้าเป็น 10 ปีที่แล้วเราคงไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำอยู่มันมีดีกว่านั้น เราทำได้ดีกว่านั้น เราหาอะไรที่แทนที่ได้ดีกว่านั้น 1 ปีที่ผ่านมาทำให้รู้ว่ามันพัฒนาขึ้น
ยศทร : ในช่วงที่เราไปเล่นคอนเสิร์ตช่วงแรกๆ เรายังไม่รู้เลยว่าเทคนิเชียนคืออะไร ห้องบันทึกเสียงทำงานยังไง การตัดต่อการร้องคืออะไร หรือแม้กระทั่งการทำ mastering ก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร มันก็เป็นสิ่งที่ต้องใส่ใจแล้วก็จริงจังกับมันไปโดยปริยายครับ กับเรื่องรายละเอียดพวกนี้ ถ้าเราย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน จนกระทั่งปัจจุบันเราเรียกได้ว่าเรารู้เรื่องพวกนี้แล้ว และใช้งานให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด คือเราเข้าวงการมาในช่วงที่เขากำลังจะเลิกทำอัลบั้มแล้วด้วยซ้ำ แต่เราก็ยังทำอัลบั้ม
พนิต : ถ้าถามถึงเรื่องจริงจัง ตั้งแต่อัลบั้มแรก หากเป็นวงที่ไม่ได้จริงจังมากอาจจะทำแค่เพลง 2 เพลงแค่นั้น แต่เราก็ทำมาจนกระทั่งเป็นอัลบั้ม พอมาถึงอัลบั้ม 3 แล้ว มันเริ่มจริงจังแล้ว
ถิรรัฐ : เราว่ามันเริ่มจริงจังตั้งแต่แรกแล้วล่ะครับ แต่ว่ามันเป็นเรื่องของการมีประสบการณ์มากขึ้น คือเราก็ไม่ได้เล่นกลางคืนมาก่อน ไม่ได้เล่นดนตรีจริงจัง แล้วพอเข้ามาในวงการแล้วก็ไม่รู้ว่าในการทัวร์แต่ละครั้งจะต้องเจออะไรบ้าง อย่างที่โบ๊ทบอกนะครับ ประสบการณ์ก็ค่อยๆ สอนเราไปเรื่อยๆ น่ะครับ
แน่นอนว่า การที่วงผ่านการเติบโตจากวงเล็กๆ มา จนมาตอนนี้ที่ถือได้ว่าเป็นวงดนตรีหลักอีกวงของวงการเพลงไทย แต่ละคนคิดว่าอะไรที่ทำให้วงมาถึงจุดนี้ได้ครับ
ยศทร : ตอบไม่ได้นะครับ เพราะว่าเรายังรู้สึกว่าเราก็ยังเป็นวงเล็กเหมือนเมื่อ 10 ปีก่อนอยู่ เราแค่ใช้อุปกรณ์เก่งขึ้น ประสบการณ์มากขึ้น แต่งเพลงได้เร็วขึ้น แต่เรารู้สึกว่าวงเรายังไม่ได้ขยับสเกลอะไรมากเท่าไหร่จากเมื่อ 10 ปีก่อน เราว่าเรายังต้องสู้อะไรอีกเยอะมากมายเลย เรายังรู้สึกว่าเรายังสามารถรับรางวัลศิลปินหน้าใหม่ได้อยู่ (หัวเราะเบาๆ) ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมคนยังคิดว่าวงเราเป็นวงที่เป็นระดับประเทศแล้วนะ ทั้งๆ ที่เวลาที่เราเดินไปไหนก็ยังไม่มีใครรู้จักเราเลย (หัวเราะอีกครั้ง)
คือขนาดเราหัวทองและใส่แว่นชัดขนาดนี้ แถมเดินในห้างที่มีคนเป็นพันในวันเสาร์-อาทิตย์ ก็ยังไม่มีใครรู้จักเราเลย เราก็ยังมีความรู้สึกว่าเราก็ยังไม่ได้มีชื่อเสียงขนาดนั้น ในขณะเดียวกัน ถ้าเป็น พี่แหลม 25 Hours พี่ปั๊บ โปเตโต้ คนพวกนี้เราว่าน่าจะเดินยากประมาณหนึ่ง ขนาดซื้อของในร้านสักชิ้น เราคิดว่าน่าจะยาก แต่ขนาดที่คนอย่างเราเดินไปซื้อก็ไม่มีใครสนใจ เราก็เลยไม่รู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นนักร้องที่ดังเลยแม้แต่วินาทีเดียว คือมันอาจจะมีบ้าง เวลาที่เราไปไปรษณีย์ แล้วพนักงานเขารู้จักเรา แต่มันไม่มีลักษณะแบบว่าพี่ครับ ขอถ่ายรูปหน่อยครับ และอาจจะมีบ้างตอนที่เราไปเล่นคอนเสิร์ตที่ไหนสักที่ แล้วมีแฟนเพลงมาขอถ่ายรูป คือจะมีโมเมนต์แบบนั้นมากกว่า
แต่ในชีวิตประจำวันก็เป็นอย่างที่บอก เราเลยรู้สึกว่าวงเรายังไม่โด่งดังขนาดนั้น มันไม่ได้ยิ่งใหญ่ขึ้น ยังไม่ได้เป็นวงร็อกที่ประสบความสำเร็จอะไรเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่เข้าใจอย่างแรงกล้าเลยว่าทำไมคนถึงเข้าใจกันแบบนั้น คือเราว่าวงเราคงเป็นที่รู้จักสำหรับคนที่ฟังเพลงอย่างเดียว อาจจะเป็นเพราะว่าเพลงเราไม่ได้ฮิตทั่วบ้านทั่วเมือง เราเป็นคนของคนฟังเพลง เรายังไม่ได้เป็นคนของประชาชนทั่วไป ซึ่งเราก็ขอขอบคุณถ้ามองกันแบบนั้น แต่โดยตัวเราเองเราก็ยังไม่รู้สึกขนาดนั้น
นิธิศ : ผมนึกไปถึงการเล่นหลังเวที ถ้าเบื้องหน้าคือคนฟัง เบื้องหลังเวที คนในวงการเพลง ทั้งพี่ๆ และน้องๆ ศิลปิน พวกเขาก็เข้ามาชื่นชมมากขึ้น รวมถึงก็มีวงรุ่นใหม่ที่เข้ามาถามและพูดคุย ให้เกียรติเราว่าเราเป็นวงที่ senior ขึ้น เรารู้สึกแบบนั้นนะ
พนิต : ในมุมมองของคนฟัง เขาอาจจะคิดว่าเรายิ่งใหญ่ขึ้น แต่ในอีกมุมหนึ่งเราก็ยังถูกมองว่าเล็กอยู่ ในบางเทศกาลเราก็ยังได้เล่นวงแรกหรือวงที่สองของงานเสมอ เราว่ามันเป็นมุมมองของแต่ละคนนะ คือมาบางงานเขาอาจจะวางวงเราอย่างที่บอก
ถิรรัฐ : หรือบางงานก็ขึ้นอยู่กับคนจัดงานด้วยครับว่าจะให้เราอยู่ในตำแหน่งไหนของงาน แต่เราว่ามันเป็นเรื่องที่ดีที่เรายังมีความถ่อมตัวอยู่ เรายังไม่ได้รู้สึกว่าเราเป็นร็อกสตาร์มาจากไหน เรายังเป็นคนธรรมดาที่ยังเล่นดนตรีอยู่ แต่อาจจะยังมีแฟนเพลงที่รู้จักเราเพิ่มขึ้น
ยศทร : คือชินแล้วกับการที่เราได้เล่นวงแรก วงที่ 2 ของแต่ละเทศกาล แต่ถ้าเป็นสเกล งานอีกแบบหนึ่ง เขาก็จะเอาวงเราเล่นหลังสุด แล้วแต่มุมมมองคน แต่เชื่อเถอะว่าส่วนใหญ่เราเป็นวงเปิด แต่ก็พูดได้ว่าเราอยู่ถูกที่ถูกทางนะ เพราะว่าเราก็ไม่อยากมีชื่อเสียง แล้วก็ไปเจออะไรแบบนั้น เรารู้สึกว่าวงอยู่ในระดับนี้แหละ ดีแล้ว มีความพอดีๆ
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พลภัทร วรรณดี.