1.สภาเดือด! “บิ๊กตู่” ประกาศตัดพี่-ตัดน้อง หลัง “เสรีพิศุทธ์” กล่าวหา รบ.โกงเลือกตั้ง-หน้าด้าน
เมื่อวันที่ 25-26 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมรัฐสภาวาระการแถลงนโยบายของรัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงว่า นโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภามีเนื้อหาทั้งหมด 66 หน้า แบ่งเป็นนโยบายหลัก 12 ด้าน และนโยบายเร่งด่วน 12 ด้าน โดยนโยบายเร่งด่วน ประกอบด้วย 1.การแก้ไขปัญหาในการดำรงชีวิตของประชาชน 2.การปรับปรุงระบบสวัสดิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน 3.มาตรการเศรษฐกิจเพื่อรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก 4.การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและพัฒนานวัตกรรม 5.การยกระดับศักยภาพของแรงงาน
6.การวางรากฐานระบบเศรษฐกิจของประเทศสู่อนาคต 7.การเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 8.การแก้ไขปัญหาทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายราชการประจำ 9.การแก้ไขปัญหายาเสพติดและสร้างความสงบสุขในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ 10.การพัฒนาระบบการให้บริการประชาชน 11.การจัดเตรียมมาตรการรองรับภัยแล้งและอุทกภัย และ 12.การสนับสนุนให้มีการศึกษา การรับฟังความเห็นของประชาชน และการดำเนินการเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
สำหรับการแถลงนโยบายรัฐบาลและการอภิปรายของฝ่ายค้านในครั้งนี้ แม้จะมีการอภิปรายโจมตีรัฐบาลค่อนข้างมาก แต่ผู้ที่อภิปราย แล้วทำให้สภาเดือด ถึงขั้น พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศตัดรุ่นพี่รุ่นน้อง ก็คือ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย (สร.) ที่อ้างว่า ตัวเองลงพื้นที่ และมีชาวบ้านสะท้อนมาว่า รัฐบาลโกงเลือกตั้ง ถ้าเป็นตน คงไม่กล้าหน้าด้านทำงานอยู่ต่อ ซึ่งคำพูดของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ทำให้บรรยากาศในที่ประชุมตึงเครียดขึ้นมาทันที โดย ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หลายคนได้ลุกขึ้นประท้วง โดยเฉพาะประเด็นที่กล่าวหาว่าโกงเลือกตั้งมาเป็นรัฐบาล และให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ถอนคำพูดดังกล่าว แต่เจ้าตัวยืนยันไม่ถอน ทำให้มีการประท้วงกันไปมา ระหว่าง ส.ส.รัฐบาลกับฝ่ายค้าน กระทั่งมีการขอให้นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ในฐานะรองประธานรัฐสภา ที่ทำหน้าที่ประธานการประชุมในขณะนั้น วินิจฉัย แต่นายพรเพชรระบุว่า เรื่องนี้เป็นข้อกล่าวหา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ไม่ถอน ก็บันทึกเอาไว้ หากพูดไม่จริง ต้องรับผิดชอบเอง ทำให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ลุกขึ้นอภิปรายประเด็นนี้อีกครั้งว่า แต่ถ้าเป็นตน จะไม่ด้านอยู่ต่อ
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้ลุกขึ้นอภิปรายด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวว่า “เรารู้จักกันมานาน ท่านเป็นรุ่นพี่ผม(นักเรียนเตรียมทหารรุ่น 8 กับรุ่น 12) แต่งงานวันเดียวกัน แต่วันนี้ไม่ถือว่าเป็นรุ่นพี่อีกแล้ว เพราะท่านไม่ให้เกียรติผม เคยพูดว่า จะชักปืนยิงผม ถ้ายิงผม ท่านก็ติดคุกไปแล้ว ท่านพูดจาหยาบคาย เหรียญรามาผมก็ได้ แต่ไม่เคยอวดอ้างอำนาจ ให้ไปทบทวนตัวเอง” เมื่อพูดจบ พล.อ.ประยุทธ์ได้ทิ้งเอกสารลงบนโต๊ะ และเดินออกจากห้องประชุมทันทีด้วยสีหน้าโมโห โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีบางส่วนเดินตามไป ท่ามกลางเสียงฮือฮาจากสมาชิก ทำให้นายพรเพชรตัดบทโดยใช้ค้อนทุบโต๊ะแล้วยืนเพื่อควบคุมการประชุม ก่อนสั่งพักการประชุม 10 นาที
เมื่อกลับมาประชุมอีกครั้ง นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ได้เสนอให้ประธานปฏิบัติตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา หากประธานวินิจฉัยแล้ว และสมาชิกไม่ยอมปฏิบัติตาม ก็ต้องเชิญออกจากห้องประชุม จึงขอให้ประธานรักษามาตรฐานสภาแห่งนี้ไว้ จากนั้น นายพรเพชรได้วินิจฉัยให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ถอนคำพูด โดยเฉพาะคำว่า หน้าด้าน แต่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ยืนยันว่าจะไม่ถอน เพราะเป็นเรื่องที่ชาวบ้านเขาพูดกัน ตนไม่ได้พูดเอง เพียงแต่เอามาเล่าสู่กันฟัง เมื่อ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไม่ถอนคำพูดตามที่ประธานวินิจฉัย นายพรเพชรจึงสั่งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ออกจากห้องประชุม ท่ามกลางเสียงปรบมือของ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยังให้สัมภาษณ์หลังถูกประธานสั่งให้ออกจากห้องประชุมรัฐสภาถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศตัดพี่-น้องด้วยว่า “หลังจากนี้ไม่ต้องเคลียร์ใจอะไรกัน หากเจอกันข้างนอก ถ้าเขายกมือไหว้ ผมก็คุยด้วย เราเป็นรุ่นพี่ แก่กว่า คงไม่ยกมือไหว้เขาก่อนอย่างแน่นอน คนไทยถือเรื่องวัยวุฒิเป็นสำคัญ ที่พูดในที่ประชุม ไม่ได้คิดยั่ว พล.อ.ประยุทธ์ เพียงพูดถึงคุณสมบัติและความสามารถเท่านั้น ทั้งนี้เชื่อว่า หากประธานในที่ประชุมเป็นนายชวน หลีกภัย สถานการณ์คงจะเบากว่านี้”
อย่างไรก็ตาม ในการอภิปรายนโยบายรัฐบาลวันที่สอง (26 ก.ค.) ฝ่ายค้านได้พยายามให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้กลับมาอภิปรายอีกครั้ง หลังถูกนายพรเพชร ประธานที่ประชุมเชิญออกจากห้องประชุมในการอภิปรายวันแรก (25 ก.ค.) หลังไม่ยอมถอนคำพูดกรณีกล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลโกงเลือกตั้งและหน้าด้าน แต่นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาและประธานที่ประชุม ไม่ให้สิทธิ์ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ อภิปรายเป็นรอบที่สอง ระบุว่า “ด้วยความเคารพนับถือ เห็นว่า ประเด็นของท่านได้จบไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน และสำหรับวันนี้ขอวินิจฉัยว่า เรื่องจบแล้ว ไว้โอกาสต่อไป ขออภัยอาจไม่พอใจ แต่จำเป็นต้องให้การประชุมดำเนินการต่อไป” ด้าน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ไม่พอใจที่ไม่ได้อภิปรายต่อในวันที่สอง จึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น ขออนุญาตประธาน ใช้สิทธิ์ส่วนตัวดำเนินการตามกฎหมาย”
ทั้งนี้ นายชวน ชี้เเจงอีกครั้งว่า “ไม่ต้องการตัดสิทธิผู้ใด รู้สึกเห็นใจ เพราะมีความผูกพันที่ดี แต่ความผูกพันอาจทำให้หลักการเสียหายจึงต้องฝืนใจ กรณีของท่านเสรีพิศุทธ์ ผมติดตามเหตุการณ์ เเม้ไม่ได้อยู่ทำหน้าที่ท่านอภิปราย และมีข้อความที่ให้ถอนคำพูด แต่ท่านไม่ถอน จึงใช้มาตรการตามข้อบังคับ เมื่อท่านออกไปแล้วถือว่าเรื่องผู้อภิปรายก็จบไป ให้ผู้อื่นอภิปรายต่อ ท่านจะอภิปรายต่อได้ ก็ต่อเมื่อเป็นญัตติในเรื่องอื่นๆ เท่านั้น เหตุการณ์นี้ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่เราต้องยึดหลัก เพราะที่นี่ไม่ใช่สนามเด็กเล่น ไม่ใช่ที่ที่จะทำเหลวไหล หรือทำอะไรเห็นแก่พวกพ้อง ดังนั้นตราบใดที่ยังเป็นญัตติเดิม ท่านก็ไม่สามารถอภิปรายต่อได้ ขอให้ร่วมมือกัน นี่คือการตัดสินใจเพื่อให้หลักของสภาเป็นที่ยอมรับ”
ด้าน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ พร้อมตัวแทน 7 พรรคฝ่ายค้าน ได้แถลงข่าวยืนยัน จะใช้สิทธิ์ดำเนินคดีตามกฏหมายต่อนายชวน ประธานรัฐสภาตามช่องทางประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 "ประธานไม่มีสิทธิ์ตัด ไม่มีสิทธิ์ไม่ให้ผมพูด คุณชวนไม่ใช่คุณชวนคนเก่าแล้ว จะดีจะเลวยังไงผมไม่พูด”
ทั้งนี้ หลังการแถลงนโยบายรัฐบาลและการอภิปรายดำเนินไป 2 วันเต็ม ประธานรัฐสภา นายชวน หลีกภัย ได้ปิดการประชุมเมื่อเวลา 03.33 น. วันที่ 27 ก.ค. โดย พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี กล่าวปิดท้าย โดยขอบคุณผู้อภิปรายและจะนำความเห็นของสมาชิกรัฐสภาไปพิจารณาเพื่อแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน และว่า ขั้นตอนหลังจากเสร็จสิ้นการแถลงนโยบาย รัฐบาลได้วางแผนขับเคลื่อนนโยบายไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยเดือน ส.ค.นี้ รัฐบาลจะประชุมชี้แจงส่วนราชการ เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับทิศทางและเป้าหมายที่คาดหวังของนโยบายต่างๆ และขอให้ความมั่นใจต่อประชาชนว่า รัฐบาลใหม่จะมุ่งมั่นทำหน้าที่ให้ดีที่สุดตามที่ได้สัญญาไว้ จะทำหน้าที่เพื่อประชาชนคนไทยทั้งประเทศ จะทำงานร่วมกันด้วยการบูรณาการทั้งแผนคน แผนเงิน และแผนงาน ยึดหลักนิติรัฐนิติธรรม ความสุจริตเที่ยงธรรมโปร่งใส รักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด เพื่อก้าวไปอย่างมั่นคงในศตวรรษที่ 21 โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
2.ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด “สุเทพ” คดี 396 โรงพัก ด้านเจ้าตัวพร้อมพิสูจน์ความจริง!
ความคืบหน้ากรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ไต่สวนคดีโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน หรือโรงพัก 396 แห่ง งบประมาณ 5,800 ล้านบาท ล่าสุด เมื่อวันที่ 22 ก.ค. ป.ป.ช.ได้มีการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. และพิจารณาเรื่องนี้ ก่อนลงมติชี้มูลความผิดนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ อดีตรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กรณีอนุมัติโครงการก่อสร้างโรงพัก 396 แห่งดังกล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า จากการไต่สวนของ ป.ป.ช. พบว่า นายสุเทพในฐานะรองนายกฯ ที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ในขณะนั้น ได้สั่งให้เปลี่ยนวิธีการประมูลการจัดสร้างโรงพักทดแทน จากเดิมที่ใช้วิธีแยกประมูลสัญญาเป็นรายภาค มาเป็นรวมศูนย์การประมูลเป็นแห่งเดียวในปี 2552 ทั้งที่เมื่อเสนอเข้า ครม.ไปแล้วถูกทักท้วงจาก ครม.ขณะนั้น โดยสั่งให้ไปหารือกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงบประมาณก่อน แต่นายสุเทพไม่ดำเนินการตามที่ถูกทักท้วง โดยยืนยันจะใช้วิธีการประมูลแบบรวมศูนย์ อ้างว่าเป็นไปตามระเบียบของกรมบัญชีกลางที่อนุญาตให้ทำได้
มีรายงานด้วยว่า ที่ประชุม ป.ป.ช.ยังได้ชี้มูลความผิดคดีการอนุมัติโครงการก่อสร้างแฟลตที่พักข้าราชการตำรวจ 163 แห่งทั่วประเทศ ที่นายสุเทพเสนอขึ้นมาพร้อมกับคดีโรงพักทดแทนในลักษณะแพ็กคู่ เนื่องจากเป็นโครงการในลักษณะที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไป โดยในส่วนคดีแฟลตที่พักข้าราชการตำรวจ 163 แห่ง ที่ประชุม ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดนายสุเทพ และ พล.ต.อ.สุพร พันธุ์เสือ อดีตรอง ผบ.ตร. ซึ่งเป็นผู้บัญชาการสำนักงานส่งกำลังบำรุง (ผบช.สกบ.) ในขณะนั้น เนื่องจากเป็นการกระทำความผิดในลักษณะเดียวกับคดีโรงพักทดแทนคือ มีการเปลี่ยนวิธีการดำเนินการประมูลก่อสร้างจากแยกเป็นรายภาคมาเป็นวิธีการรวมศูนย์แห่งเดียว จนกลายเป็นต้นเหตุให้เกิดความเสียหายต่องบประมาณแผ่นดินจำนวนมากในภายหลัง เนื่องจากโครงการก่อสร้างไม่เดินหน้า โรงพักและแฟลตหลายแห่งถูกทิ้งร้างจำนวนมาก ป.ป.ช.เห็นว่า พฤติการณ์นายสุเทพเข้าข่ายการทุจริตและประพฤติมิชอบต่อหน้าที่ จึงมีมติให้ส่งเรื่องดำเนินคดีอาญากับนายสุเทพและผู้เกี่ยวข้องต่อไป ขณะนี้ ป.ป.ช. อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำสำนวนให้สมบูรณ์ภายใน 30 วัน หลังจากการลงมติเพื่อส่งให้อัยการดำเนินการต่อไป
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า นายสุเทพ เคยเข้าชี้แจงแก้ข้อกล่าวหากับองค์คณะไต่สวน ป.ป.ช. อย่างน้อย 3 ครั้ง ยืนยันในความบริสุทธิ์ของตนเอง โดยชี้แจงว่า การแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญา และบริษัทที่ชนะการประมูลไม่สามารถสร้างสถานีตำรวจทั้ง 396 แห่งได้ทันตามกำหนดเวลานั้น ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำสัญญา หรือการอนุมัติเปลี่ยนแปลงวิธีการประมูล เพราะการทำสัญญาว่าจ้างดำเนินการอย่างถูกต้องตามระเบียบงบประมาณแผ่นดินของสำนักนายกรัฐมนตรีทุกขั้นตอน แต่เรื่องการก่อสร้างล่าช้าเสร็จไม่ทันกำหนด เป็นเรื่องของผู้ควบคุมงานก่อสร้าง ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้
ส่วนกรณีการเปลี่ยนวิธีประมูลแบบรายภาคมาเป็นแบบรวมศูนย์ นายสุเทพ กล่าวว่า ชี้แจงไปหลายรอบแล้วว่า ตอนอนุมัติโครงการครั้งแรก พิจารณาตามที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ขณะนั้นเสนอมา เห็นว่ามีเหตุผลเรื่องการแยกสัญญาออกเป็น 9 ภาค จึงอนุมัติให้ดำเนินการ แต่ต่อมาสมัย พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ เป็น ผบ.ตร. ได้เสนอแก้ไขสัญญาว่าจ้างใหม่เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายงบประมาณปี 2553 ที่ออกมาหลังการอนุมัติโครงการครั้งแรกแล้ว โดยระบุว่า หากเป็นโครงการเดียวกันไม่สามารถแยกเป็นหลายสัญญาได้ จึงเป็นที่มาของการแก้ไขสัญญาใหม่ให้ถูกต้องตามระเบียบงบประมาณปี 2553 ทุกโครงการก็ทำตามระเบียบดังกล่าว
ทั้งนี้ นายสุเทพกล่าวถึงข่าว ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดตนตนคดี 396 โรงพักว่า เป็นโอกาสที่จะได้นำความจริงทั้งหมดไปพิสูจน์กันตามกระบวนการยุติธรรม และว่า คนที่เป็นตัวตั้งตีกล่าวหาตนเรื่องนี้ ก็คือ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอในขณะนั้น ซึ่งตนได้ดำเนินคดีนายธาริต ปัจจุบันนายธาริตถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุก แต่กระบวนการที่พยายามดำเนินคดีกับตนยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง
ด้านนายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวถึงข่าว ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดนายสุเทพคดี 396 โรงพักว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถบอกอะไรได้ เพราะอยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และว่า ถ้า ป.ป.ช.ส่งหลักฐานให้อัยการแล้ว จะแถลงให้ทราบต่อไป โดยมีหลายเรื่องสำคัญที่จะเปิดเผยหลังจากส่งให้อัยการ “ขั้นตอนการยื่นเรื่องให้อัยการ จะต้องส่งให้อัยการภายใน 30 วัน หากเป็นคดีของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อัยการจะต้องส่งฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองภายใน 180 วัน แต่ถ้าอัยการเห็นว่าสำนวนยังไม่สมบูรณ์ ต้องแจ้งต่อ ป.ป.ช.ภายใน 90 วัน เพื่อตั้งคณะทำงานร่วมกัน”
3.ศาลยกฟ้อง 4 กปปส. “สนธิญาณ-เสรี-สกลธี-สมบัติ” คดีกบฏ-ปิดสถานที่ราชการขับไล่ รบ.ยิ่งลักษณ์!
เมื่อวันที่ 25 ก.ค. ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ได้อ่านพิพากษาคดีกบฎ คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) สำนวนแรก ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม อายุ 57 ปี แกนนำ กปปส., นายสกลธี ภัททิยกุล อายุ 42 ปี อดีต ส.ส.กทม. ร่วมชุมนุม ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าฯ กทม., นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อายุ 68 ปี อดีตอธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และอดีตประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง และสภาปฏิรูปการเมือง (สปช.) และนายเสรี วงศ์มณฑา อายุ 70 ปี นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนและการตลาด เป็นจำเลยที่ 1-4
ในความผิดฐานร่วมกันเป็นกบฏ, กระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หรือวิธีอื่นใดที่ไม่ใช่การกระทำในความมุ่งหมายตามรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือความไม่สงบในราชอาณาจักรฯ, อั้งยี่, ซ่องโจร, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองโดยมีอาวุธ โดยเป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการ, เจ้าพนักงานสั่งให้เลิกการกระทำนั้นแต่ไม่เลิก, ยุยงให้ร่วมกันหยุดงาน การร่วมกันปิดงานงดจ้างเพื่อบังคับรัฐบาล, ร่วมกันบุกรุก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113, 116, 117, 209, 210, 215, 362, 364, 365 และร่วมกันขัดขวางเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง, ร่วมกันขัดขวางการปฏิบัติงานของ กกต. ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มา ซึ่ง ส.ว. พ.ศ. 2550 มาตรา 76, 152 รวม 8 ข้อหา
โดยคดีสำนวนแรกนี้ อัยการยื่นฟ้องตั้งแต่ปี 2557 สืบเนื่องจากชุมนุมของ กปปส.ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส. และประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย เป็นผู้นำการชุมนุม เพื่อขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 23 พ.ย. 2556-1 พ.ค.2557 ซึ่งมีการพาผู้ชุมนุมบุกรุกปิดสถานที่ราชการหลายแห่ง รวมทั้งขัดขวางการเลือกตั้ง ซึ่งท้ายคำฟ้อง อัยการโจทก์ยังได้ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งของจำเลยด้วยมีกำหนด 5 ปี ขณะที่จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธทุกข้อหา พร้อมตั้งทนายความสู้คดี ระหว่างพิจารณาคดี จำเลยทั้งสี่ได้รับการปล่อยชั่วคราว โดยคดีเริ่มสืบพยานตั้งแต่ปี 2558-2562
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบหักล้างกันแล้ว เห็นว่า พยานหลักฐานที่อัยการโจทก์นำสืบมารับฟังได้เพียงว่า จำเลยทั้งสี่ได้เข้าร่วมชุมนุมกับ กปปส. แต่ไม่ได้เป็นแกนนำที่สั่งการผู้ชุมนุมหรือขึ้นปราศรัยสั่งการให้กระทำการรุนแรง นอกจากนี้การชุมนุมของ กปปส. ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้วินิจฉัยไว้แล้วในคำวินิจฉัยที่ 59/2556 ว่า การชุมนุมของ กปปส. สืบเนื่องมาจากการแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 63 ซึ่งสืบเนื่องจากเหตุที่คัดค้านการออกร่างกฎหมายนิรโทษกรรมและไม่พอใจการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงยังไม่พอฟังว่า จำเลยทั้งสี่ได้กระทำความผิดตามฟ้องทั้ง 8 ข้อหา จึงพิพากษายกฟ้อง
ส่วนคดีชุมนุม กปปส.ชุดนายสุเทพ กับอดีตแกนนำ กปปส. และแนวร่วม รวมทั้งสิ้น 32 คน ที่รวมพิจารณา 5 สำนวน ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 ยื่นฟ้อง 8 ข้อหาเช่นเดียวกัน โดยนายสุเทพและนายชุมพล จุลใส ถูกฟ้องเพิ่มอีกข้อหาฐานก่อการร้ายนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างสืบพยานโจทก์ โดยเริ่มนัดแรกเมื่อวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งจำเลยทั้งหมดได้รับการประกันตัว โดยศาลตีราคาประกันคนละ 6 แสนบาท พร้อมมีเงื่อนไขห้ามออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 25 ก.ค. นายสุเทพ พร้อมด้วยแกนนำ กปปส. ที่ถูกฟ้องอีกสำนวน และพระพุทธอิสระได้เดินทางมาให้กำลังใจ 4 กปปส.ที่ศาลพิพากษายกฟ้องด้วย
4.เสี่ยใจบุญติดต่อขอซื้อที่พ่อแม่ “แพรวา” เพื่อเยียวยาญาติเหยื่อ 9 ศพ ด้านเจ้าตัวโกนหัวบวชชี!
ความคืบหน้ากรณี น.ส.แพรวา หรือ น.ส.รวินภิรมย์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ขับรถยนต์ฮอนด้า ซีวิค เฉี่ยวชนรถตู้ จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 9 ศพ เมื่อคืนวันที่ 27 ธ.ค.2553 ซึ่งเหตุการณ์ผ่านมา 9 ปีแล้ว แต่จำเลยยังไม่ยอมชดใช้เยียวผู้เสียหาย ทั้งที่ศาลฎีกาได้พิพากษาวันที่ 8 พ.ค.2562 ที่ผ่านมา ให้จำเลย 4 คน ร่วมกันชดใช้แก่กลุ่มโจทก์ในคดีนี้จำนวน 28 คน เป็นเงินกว่า 24.7 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ประกอบด้วย น.ส.แพรวา, พ.อ.รัฐชัย เทพหัสดิน ณ อยุธยา บิดา น.ส.แพรวา, นางลัดดาวัลย์ มารดา น.ส.แพรวา และนายสุพิรัฐ จ้าววัฒนา ผู้ครอบครองรถที่ให้ น.ส.แพรวา นำไปใช้ แต่จำเลยยังคงเพิกเฉย สังคมจึงออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ด้านมารดา น.ส.แพรวา อ้างว่า ยู่ระหว่างประกาศขายที่ดินที่ปราณบุรี-สามร้อยยอด 21 ไร่ มูลค่าประมาณ 50 ล้านบาท และที่ดินที่หมู่บ้านเมืองทอง 300 ตารางวา มูลค่าประมาณ 55 ล้านบาท เพื่อนำมาชดใช้ค่าเสียหาย แต่ยังขายไม่ได้
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 23 ก.ค. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยนายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม และ ดร.กรศุทธิ์ ขอพ่วงกลาง ผู้อำนวยการศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ร่วมกันแถลงข่าวผลการหารือเกี่ยวกับคดี “แพรวา” ที่ศาลฎีกาพิพากษาให้ครอบครัวผู้ก่อเหตุชดใช้ค่าเสียหายแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต โดยนายสมศักดิ์ กล่าวว่า คำบังคับคดีจะครบกำหนดในวันที่ 28 ก.ค. จากนั้นจำเลยมีเวลา 30 วัน ซึ่งจะครบกำหนดจ่ายชดเชยในวันที่ 28 ส.ค. หากพ้นช่วงเวลาดังกล่าวยังไม่มีการชดใช้ โจทก์จะต้องขอกำหนดตัวเจ้าพนักงานบังคับคดี เพื่อเริ่มต้นการเข้าสู่ขั้นตอนการบังคับคดี “รอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายภายในวันที่ 28 ส.ค.ก่อน หากไม่เป็นไปตามนั้น ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการสืบทรัพย์บังคับคดี ตอนนี้ยอดชำระตามกฎหมายอยู่ที่ 41 ล้านบาทรวมดอกเบี้ย หากล่าช้าออกไป ภาระก็จะตกอยู่ที่จำเลย จึงอยากแนะนำให้รีบขายที่ดินให้ได้โดยเร็ว ถ้าจำเลยขายได้เร็ว ก็จะเป็นประโยชน์”
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังนางลัดดาวัลย์ มารดาของ น.ส.แพรวา ประกาศขายที่ดิน 21 ไร่ใน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ผ่านรายการ “โหนกระแส” เพื่อนำเงินมาชดใช้ครอบครัวผู้เสียชีวิต ปรากฏว่า ล่าสุด “หนุ่ม” กรรชัย กำเนิดพลอย พิธีกรรายการดังกล่าวเผยเมื่อวันที่ 23 ก.ค.ว่า ตอนนี้มีเศรษฐีใจบุญคนหนึ่งติดต่อเข้ามาขอซื้อที่ดินแปลงที่สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ของนางลัดดาวัลย์แล้ว และเตรียมจะจ่ายเงินในวันที่ 24 ก.ค. คาดว่าสัปดาห์หน้าผู้เสียหายจะได้รับเงินทุกคน “การจ่ายเงินจะมีการระบุในแคชเชียร์เช็คแต่ละบุคคลซึ่งจะมีเงินค่าชดเชย รวมทั้งดอกเบี้ย 7% โดยเช็คจะไปวางที่ศาล ซึ่งถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เรื่องน่าจะจบและเงินถึงมือทุกคน”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 25 ก.ค. รายการ "เที่ยงวันทันเหตุการณ์" ได้เปิดเผยภาพของ น.ส.รวินภิรมย์ อรุณวงศ์ หรือแพรวา เทพหัสดิน ณ อยุธยา โกนหัวบวชชี คาดว่าเป็นการบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้เสียชีวิตทั้งหมด โดยมีแม่ บวชชีพราหมณ์อยู่ด้วย แต่ไม่มีการเปิดเผยว่า อยู่ที่วัดใด
ด้านนางลัดดาวัลย์ มารดาของ น.ส.แพรวา ได้ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า ที่ผ่านมาครอบครัวไม่ได้คิดหนี ไม่ได้อิดออด แต่เราไม่มีเงินเพียงพอ ซึ่งที่ดินที่ประกาศขายนี้ ก็ประกาศขายมานานแล้วเพื่อจะนำเงินมาชดใช้ แต่ขายไม่ได้ หากการเจรจาขายครั้งนี้เรียบร้อย ทุกอย่างก็จบ และว่า โดยตนและครอบครัวไม่ได้อยากเข้าสู่การบังคับคดี อยากชดใช้ทุกคน ที่ผ่านมายอมรับว่าผิด ไม่เคยบอกว่าลูกถูก แต่ที่ต้องต่อสู้ในชั้นศาลก็สู้เรื่องการประมาทร่วม ซึ่งผลตัดสินก็ยอมรับได้ และจะเร่งทำทุกทางหาเงินมาชดใช้ผู้เสียหายทุกคนโดยเร็ว พร้อมอยากขอร้องสื่อ ขอความกรุณางดใช้คำว่า "แพรวา 9 ศพ" เพราะมันสะเทือนใจ ทางครอบครัวสะเทือนใจและทุกข์ทรมานเหมือนกับผู้เสียหาย ขอโทษสังคมสำหรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น หากขายที่ดินได้ จะรีบนำเช็คไปวางที่ศาลทันที
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด 27 ก.ค. ยังไม่มีความคืบหน้าเรื่องการซื้อที่หรือจ่ายเงินของเศรษฐีใจบุญดังกล่าวแต่อย่างใด ทั้งที่ก่อนหน้า มีรายงานว่า ทางเสี่ยใจบุญจะโอนเงินมัดจำให้ก่อน 2 ล้าน จากค่าที่ 50 ล้าน แต่สุดท้าย ทุกอย่างยังเงียบ
5.“นพ.เปรมศักดิ์” กลับคำให้การ หวังศาลอุทธรณ์ลดโทษ รับสารภาพจับนักข่าว “แก้ผ้า”!
เมื่อวันที่ 22 ก.ค. ศาลจังหวัดพล อ.พล จ.ขอนแก่น ได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่พนักงานอัยการจังหวัดพล เป็นโจทก์ฟ้อง นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ อดีตนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น เป็นจำเลยที่ 1 และ ร.ต.บัวทอง โลขันธ์ อดีตเลขานุการนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ จำเลยที่ 2 ในข้อหาอนาจารและความผิดต่อเสรีภาพ ให้พรรคพวกจับผู้สื่อข่าวเปลื้องผ้า เหตุเกิดภายในห้องปฏิบัติราชการนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ เมื่อวันที่ 26 พ.ค.2559
สำหรับคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2559 ผู้สื่อข่าวจาก 5 สำนักข่าวในจังหวัดขอนแก่น ได้ติดตามทำข่าวกรณีที่มีการเผยแพร่ภาพทางโซเชียลมีเดีย เป็นภาพ นพ.เปรมศักดิ์ นั่งคู่กับหญิงสาวเด็กนักเรียนชั้น ม.5 คล้ายพิธีหมั้นหรือพิธีแต่งงานของท้องถิ่นภาคอีสาน ผู้สื่อข่าวกลุ่มดังกล่าวได้ขอพบและสัมภาษณ์ นพ.เปรมศักดิ์ ภายในที่ทำการสำนักงานเทศบาลเมืองบ้านไผ่ ซึ่ง นพ.เปรมศักดิ์ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะให้ผู้สื่อข่าวทั้ง 5 สำนักเข้าไปภายในห้องทำงานของตน แล้วสั่งเจ้าหน้าที่เทศบาลฯ เก็บโทรศัพท์มือถือ กล้องถ่ายภาพของผู้สื่อข่าวทั้งหมด พร้อมล็อกตัวนายก่อสิทธิ์ กองโฉม ผู้สื่อข่าวอาวุโสหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ 1 ใน 5 ผู้สื่อข่าวที่อยู่ในห้องถอดกางเกงออกเพื่อประจาน
ต่อมากลุ่มผู้สื่อข่าวได้เข้าแจ้งความเอาผิด นพ.เปรมศักดิ์ พร้อมพวก โดยเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.2561 ศาลจังหวัดพลได้พิพากษาตัดสินจำคุก นพ.เปรมศักดิ์ จำเลยที่ 1 และ ร.ต.บัวทอง ที่ 2 ตามความผิดฐานกระทำอนาจารและความผิดต่อเสรีภาพ ให้จำคุกเป็นเวลา 2 เดือน โดยไม่รอลงอาญา โดยให้เหตุผลว่า จำเลยที่ 1 และ 2 มีหน้าที่การงานที่ดีมั่นคง เป็นผู้นำท้องถิ่นและเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง แต่กระทำการดังกล่าวแบบไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย
หลังจากนั้น ทนายความของ นพ.เปรมศักดิ์ และ ร.ต.บัวทอง ได้ยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวและยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดี ต่อมาศาลจังหวัดพลได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันที่ 11 มิ.ย. 2562 แต่เมื่อถึงกำหนด จำเลยได้ให้ทนายความยื่นคำร้องขอให้ศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษา โดยให้เหตุผลว่า ร.ต.บัวทอง จำเลยที่ 2 ป่วยลำไส้อักเสบ ไม่สามารถเดินทางมาฟังคำพิพากษาได้ พร้อมยื่นใบรับรองแพทย์ประกอบคำร้อง ซึ่งทนายฝ่ายโจทก์ไม่ได้คัดค้าน ศาลจึงเลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ออกมาเป็นวันที่ 22 ก.ค.
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงกำหนด นายปกาญจน์ นพศรี ทนายความฝ่ายโจทก์ (ผู้สื่อข่าวที่ได้รับความเสียหาย) เผยว่า ศาลจังหวัดพลได้ส่งหนังสือมายังฝ่ายโจทก์ โดยแจ้งว่า นพ.เปรมศักดิ์ จำเลยที่ 1 และ ร.ต.บัวทอง ที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอรับสารภาพผิดตามฟ้องตลอดข้อกล่าวหา เมื่อวันที่ 24 ม.ย. 2562 และให้ยกเลิกหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ในวันที่ 22 ก.ค. 2562 โดยการรับสารภาพผิดตามฟ้องเป็นการรับสารภาพในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งคดีนี้ได้มีการสืบพยานจนครบแล้ว จึงมีความเป็นไปได้ว่าการรับสารภาพของ นพ.เปรมศักดิ์ อาจเป็นการรับสารภาพเพื่อหวังให้โทษลดลง
นายปกาญจน์ เผยด้วยว่า ขั้นตอนหลังจากนี้ ศาลจังหวัดพลจะส่งเรื่องกลับไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 4 เพื่อวินิจฉัยตามขั้นตอน จากนั้นศาลอุทธรณ์ภาค 4 จะส่งคำวินิจฉัยกลับมายังศาลจังหวัดพล เพื่อนัดฝ่ายโจทก์และจำเลยมาฟังคำตัดสินอีกครั้ง อาจต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง ส่วนผลจะออกมาเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล