“เป็นเรื่องเป็นข่าว” เปิดใจหญิงสุราษฎร์ธานี ที่ออกมาร้องเรียนว่าครอบครัวของเธอถูกอุ้ม และรุมซ้อม บังคับให้เซ็นเป็นพยานคดี
พิธีกรกล่าวว่า เราจะมาติดเรื่องราวของผู้หญิงที่สุราษฎร์ธานี โดยมีกลุ่มชายชายฉกรรจ์เข้ามาที่บ้านแล้วอุ้มครอบครัวของเธอแล้วมีการข่มขู่บอกให้พาไปหาสามีของเธอ เพราะสามีของเธอเนี่ยได้เอารถเก๋งสีดำไปก่อเหตุใช้ปืนยิงคนตายแล้วสามีอยู่ไหน จนเธอถูกบังคับให้ขึ้นรถไปโดยมีครอบครัวของเธอไปด้วย แล้วระหว่างที่ไปตามหาสามีของเธอ จนตัวของเธอเองก็ได้ถูกซ้อม แล้วถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ควบคุมตัวไว้ ตลอด 24 ชั่วโมง แล้วอ้างตัวว่าเป็นตำรวจ แล้วข่มขู่ต่างๆ นาๆ จนกระทั่งขู่ว่าถ้าไม่พาไปหาจะให้นายมาข่มขืน แล้วเช้ารุ่งขึ้นก็ได้ถูกปล่อยตัว ส่วนตัวเธอเองก็ได้เข้าร้องเรียนแค่คดีไม่มีการคืบหน้าทางคดี
ทนายรณณรงค์กล่าวว่า ทางหน่วยงานกองปราบปรามก็ได้ให้ทางผู้เสียไปร้องทุกข์ทาง กบ.ป.ป.ป. กับเรื่องราชการทุจริตในทางมิชอบพิธีกรกล่าวว่าแล้วทราบได้อย่างไรว่าเขาเป็นตำรวจจริงๆ ทนายรณณรงค์กล่าวว่าก็ทางกองปราบปรามเขาเช็คมาให้มีหลายคนแล้วยังไม่สามารถบอกได้ว่ามีใครบ้างเพราะว่ามีผู้ปฏิบัติงานไปกัน
พิธีกรกล่าวว่า แล้วขณะนี้ทางผู้เสียหายก็ได้ไปยืนเรื่องกับทาง ป.ป.ป. เรียบร้อยแล้วแต่ว่าเรื่องยังไม่จบง่ายๆ
ทนายรณณรงค์เพิ่มเติม กล่าวว่าเพราะมันก็ต้องเป็นไปตามขั้นตอน แต่จริงๆ แล้วตัวผู้เสียหายไม่จำเป็นต้องมากรุงเทพก็ได้แค่ไปที่โรงพักแถวบ้านแล้วแจ้งเรื่อง 30 คดีจะถูกส่งมาที่กรรมการป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติพิธีกรกล่าวว่าเดี๋ยววันนี้เรามาคุยกับผู้เสียหายกันดีกว่าตอนนี้เขาได้อยู่ในสายกับเราแล้วตอนนี้ เล่าเหตุการณ์เมื่อ 10 เมษายน ว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นกันบ้าง
ผู้เสียหายกล่าวว่า มีรถมาสามคันมาที่บ้านพบกับลูกชายแล้วบอกว่าให้พาไปดูรถหน่อยแล้วก็กับมารับฉันกับหลานโดยให้ขึ้นรถอีกคันแล้วระหว่างที่อยู่บนรถก็ได้มีการซักถามว่ารถเก๋งสีดำอยู่ไหนก็บอกว่ารถอยู่กับนายแทนซึ่งนายแทนเป็นคนเอารถไปแต่พอไปหาก็ไม่เจอนายแทนแล้วก็รอนายแทนจนถึงสามทุ่มครึ่งแล้วก็กลับแต่ให้ดิฉันเปลี่ยนคันรถแล้วให้หลานไปอีกคันหนึ่ง
พิธีกรกล่าวว่า แล้วคือสรุปจะให้พาไปหาสามีของคุณแล้วทราบไหมว่าตอนนั้นสามีเราอยู่ที่ไหนผู้เสียหายกล่าวว่าตอนนั้นคิดว่าเขาจะอยู่ที่บ้านแม่แต่ก็จำไม่ได้ว่าบ้านแม่อยู่ที่ไหนเพราะมันนานแล้วที่ไม่ได้ไปแล้วพอดึกๆ เขาก็เริ่มหงุดหงิดเริ่มตบตีดิฉันเพราะว่าดิฉันโกหก
พิธีกรกล่าวว่า แล้วเขาทำร้ายคุณอย่างไรบ้างครับผู้เสียหายกล่าวว่าเขาตบแล้วก็ตีดิฉันที่หน้าอกคนที่ตีดิฉันมี 2-3 คนแล้วก็ตีตลอดทางที่นั่งรถเลยค่ะแล้วก็ขู่ว่าถ้าไม่รับสารภาพว่าสามีไปทำร้ายเขาจะเอาลูกดิฉันเป็นผู้ต้องหาแทนแล้วเดี๋ยวจะให้เป็นเมียนายตำรวจ ตอนเป็นเมียโจรนี่ เก่งนักผู้เสียหายกล่าวว่าคือเหตุการณ์นี้คือตั้งแต่เย็นจนถึงดึกเลยใช่ไหม
ผู้เสียหายกล่าวเพิ่มเติมว่า เหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ 10-11 เลยคะ ก็ยังไม่พบสามีเขาก็ทุบตีดิฉันอีกจนขับรถไปเจอด่านแล้วก็ถามกับทางด่านว่าบ้านแม่สามีไปทางไหนพอจะทราบไหม พิธีกรกล่าวว่าแล้วมีอีกจุดนึงใช่ไหมครับที่ สพ.ปลายพะยา ตรงนั้นเกิดอะไรขึ้นครับผู้เสียหายกล่าวว่าเขาบังคับขู่เข็นให้เราบอกแล้วถ้าคุณไม่เป็นพยานไม่ให้การลูกของคุณก็จะติดคุกติดตารางตลอดชีวิตทนายรณณรงค์กล่าวว่าถึงจะมีการเซ็นยินยอมในรูปคดีก็ไม่สามารถใช้การได้เพราะถ้าไม่เต็มใจก็คือใช้ไม่ได้เลยแล้วการสอบสวนของตำรวจเนี่ยคือต้องนำตัวผู้ต้องสงสัยไปที่โรงพักและระหว่างการสอบสวนจะต้องมีการบันทึกภาพเอาไว้ทุกครั้ง
พิธีกรกล่าวอีกว่าแต่นี่บุกไปถึงบ้านเลยแล้วหมายจับมีไหมครับทนายรณณรงค์กล่าวว่าแล้วที่ไปครั้งนั้นก็ไม่มีหมายจับด้วยแล้วก็หมายค้นก็ไม่มีแล้วการที่ไปพาเขาออกมาจากบ้านด้วยการที่เขาไม่เต็มใจด้วยพิธีกรกล่าวว่าแต่ถ้าพูดกันตามตรงคือครอบครัวเขาก็ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยแล้วเราก็ไม่ทราบด้วยว่าสามีเขาทำจริงหรือไม่
ทนายรณณรงค์กล่าวว่า แล้วการที่เอาหลานของเขาไปด้วยเนี่ยไม่ถูกต้อง พิธีกรกล่าวว่าแล้วการที่ตำรวจทำผิดแบบนี้จะเจอข้อหาอะไรบ้างทนายรณณรงค์กล่าวว่าหนึ่งเลยคือต้องตรวจสอบก่อนเลยว่าเป็นตำรวจจริงไหมแต่ถ้าเป็นจริงก็ผิดกฏหมายการทำร้ายร่างกายเรื่องการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แต่กฏหมายให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการจับกุมคุมขังคนร้ายได้ก็ต่อเมื่อเขาทำผิดกฏหมายแต่ถ้าเขาไม่ผิดกฏหมายจะไปจับเขาก็ไม่ได้การสอบปากคำเนี่ย สามารถสอบถามได้แต่ต้องไม่มีการซ้อมทรมานแต่นี่ผิดหลายจุดเลยครับ อย่างไรก็ตามถ้าเขาอยากกับก็ต้องให้เขากับหรือคุณจะมีหมายจับคุณถึงจะสามารถควบคุมตัวเขาได้
พิธีกรกล่าวว่า แต่นี่การซ้อมแล้วทรมานนี่คือหนักสุดเลย แล้วเดี๋ยวพักสักครู่ครับ แล้วเดี๋ยวช่วงหน้ามีเรื่องหน้าตกใจ เมื่อเธอไปตรวจร่างกายแล้วก็ได้ไปแจ้งความครับเพราะมีคนแนะนำให้ไปครับแต่ปรากฏไปแจ้งความหลายๆที่แต่ไม่มีที่ไหนรับแจ้งความเลย แล้วเดี๋ยวช่วงหน้ากลับมาครับกับ เป็นเรื่องเป็นข่าว
พิธีกรกล่าวเพิ่มเติมว่า เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่สุราษฯออกมาร้องว่าถูกตำรวจอุ้มไปซ้อมทรมาณจากวันที่เธอถูกอุ้มไปวันรุ่งขึ้นถูกปล่อยตัวออกมาประมาณเที่ยงๆ ไม่แจ้งข้อหาอะไรเลย ทนายกล่าวว่าผู้หญิงถูกอุ้มตัวไปตั้งแต่ 15.00 น ของวันที่ 10 ปล่อยตัวกลับมาตอน 12.00 น ของวันที่ 21 หายไป 21 ชม. ทั้ง 6 ชีวิตไปด้วยกันหมดแต่ไม่มีใครถูกดำเนินคดีเลย พิธีกรกล่าว่า เธอโดนยึดมือถือไปแต่หลังจากนั้นเธอก็ไปตรวจร่างกายผลเป็นอย่างไรบ้าง ทนายกล่าวว่า คุณหมอบอกว่าร่างกายมีร่องรอยพกช้ำและจะให้นอนโรงพยาบาลแต่เธอไม่มีเงินเลยไม่ได้นอนที่โรงพยาบาลเพราะว่าบัตร 30 บาทเธอไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาลพระแสงแต่บัตรของเธออยู่ที่อื่นและเธอบอกว่าโดนเจ้าหน้าที่ทำร้ายหมอบอกว่าไปแจ้งความแล้วกันเธอไปแจ้งความที่โรงพักแรกปรากฎว่าเขาบอกให้ไปแจ้งความอีกโรงพักนึงไม่น่าจะเป็นท้องที่ของเขาถึงแม้ว่าต้องทำร้ายร่างกายจะผ่านตรงนี้ก็ตามแต่ไม่รับแจ้งแล้วไม่ออกใบตรวจร่างกายให้ วันรุ่งขึ้นไปอีกโรงพักนึงไปถึงตำรวจบอกว่าจะแจ้งอย่างไรเพราะคุณไม่รู้ชื่อคู่กรณีนี่คือสิ่งที่ร้อยเวรบอกทางคุณนีแล้วสุดท้ายก็ไม่ได้ตรวจร่างกายให้ทั้งที่วันนั้นเขามาแล้วบอกว่าถูกทำร้ายร่างกายจริงๆแล้วโดยพื้นฐานถ้ามาแจ้งความว่าถูกทำร้ายร่างกายร้องเวลาจะต้องส่งไปตรวจร่างกายเพื่อเก็บไว้ในสำนวนคดีปรากฎก็ไม่ได้ออกใบตรวจให้ที่สพ.เวียงสระ พอไปแจ้งความแล้วไม่คืบหน้าเธอไปร้องเรียนกับทหารในค่ายทหารที่ จ.สุราษฯ ทางทหารดีมากเขาก็โทรไปหาตำรวจให้คดีก็เริ่มมีคนมาดูจึงรู้ชื่อว่าเป็นใครบ้างที่ก่อเหตุว่าเป็นตำรวจจริงๆ และไม่มีความคืบหน้าอะไรต่อมีแค่ทางรองผู้กำกับโทรมาบอกว่าไม่เอาเรื่องได้ไหมเพราะว่าคนที่ทำร้ายคุณมีแค่คนเดียว ก็ไปเอาเรื่องเขาคนเดียวในทางกฏหมายคุณมาด้วยกันทั้งหมดคุณจะมาตัดบทเอาคนเดียวได้อย่างไรในมุมหนึ่งเรื่องนี้ระหว่างเอกชนกับเอกชนทั่วไปแจ้งความร้องทุกตำรวจต้องส่งไปตรวจร่างกายแล้วสืบสวนว่าใครคือผู้กระทำความผิดแต่อันนี้ไม่ทำเลยจนทหารไปช่วยสุดท้ายเลยไม่มีความชัดเจนว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พิพธกรกล่าว่า สุดท้ายเห็นว่าเรื่องไปถึง ปปป. แล้วจะไปต่ออย่างไรเพราะนี่เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่โดยตรง ทนายกล่าวว่า ปปป. ก็ส่งเรื่องไปถึง ปปช. ตามขั้นตอนตามกฎหมายวันนี้สอบปากคำกัน 6 ชั่วโมง