ศาลอุทธรณ์ พิพากษาบริษัท อุตสาหกรรมการบิน ชดใช้ 4,802,000 บาท ให้แก่พ่อของ นรต. กรณีฝึกกระโดดร่มไม่กางเสียชีวิต ด้านพ่อขอสู้คดีต่อ ทวงคืนความเป็นธรรมให้กับการสูญเสีย
วันนี้ (18 ก.ค) รายการ “เป็นเรื่องเป็นข่าว” ดำเนินรายการโดย ปวัน สิริอิสสระนันท์ ตามต่อกรณี พ่อน้องโยโย่ นรต.ชยากร พุทธชัยยงค์ ที่เสียชีวิตจากการฝึกกระโดดร่ม ล่าสุดศาลอุทธรณ์ พิพากษาบริษัท อุตสาหกรรมการบิน ชดใช้ 4,802,000 บาท แต่คุณพ่อขอสู้คดีต่อ
ผู้ดำเนินรายการกล่าวว่า ย้อนกลับไปวันที่ 31 มีนาคม 2557 ข่าวคราวการสูญเสียที่เกิดขึ้นของ นักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) 2 คน น้องโยโย่และน้องฟิว ซึ่งระหว่างการฝึกกระโดดร่มแต่ร่มไม่กางทำให้เสียชีวิต ท่ามกลางความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ภายหลังมาทราบสลิงที่ใช้ในวันนั้นจริงๆ คือสลิงปลอม ไม่ใช่สลิงแท้เป็นการเอาสลิงอื่นเอามาดัดแปลงสุดท้ายพอใช้จริงมันหลุดออกจากขั้วทำให้ร่มหลักไม่กาง มีคนบาดเจ็บหลายคนและมีคนเสียชีวิต 2 คน จนมีการดำเนินคดีต่างๆทั้งทางแพ่งและอาญาต่อจำเลยหลายฝั่งหลายฝ่าย คดีอาญาเป็นสิ่งที่ครอบครัวรู้สึกว่ากังวลที่สุดเพราะผ่านมา 5 ปีแล้วยังไม่มีการฟ้องร้องอะไรทั้งสิ้นอยู่ในชั้นอัยการอยู่จึงทวงถามว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงยังล่าช้าอยู่ ขณะที่คดีแพ่งศาลชั้นต้นให้มีการเยียวยาเป็นจำนวนเงิน2.75ล้าน จนเมื่อเช้านี้ศาลอุทธรณ์ในคดีแพ่งมีการตัดสิ้นอีกครั้งโดยให้บริษัท อุตสาหกรรมการบินเพิ่มค่าเยียวยา 4.8 ล้านกว่าบาท เป็นค่าไร้อุปการะและค่าปลงศพ แต่คำถามของคุณพ่อคือ คดีอาญาทำไมไม่คืบหน้า มีประเด็นสำคัญที่คุณพ่อพยายามสื่อไปทางสังคมว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลมีโทรศัพท์เข้ามาพยายามโทรหาคุณพ่อน้องโยโย่ว่าให้หยุดเถอะยอมความเถอะ
นายสาธร พุทธชัยยงค์ บิดาของ นรต.ชยากร กล่าวว่า ในส่วนของคดีแพ่งที่เกี่ยวข้องกับยอดเงิน คุณพ่อไม่เคย ให้ความสำคัญกับตัวเลขเลยผมไม่ติดใจ แต่ในคำพิพากษาศาลขั้นต้นมีการบอกว่าลูกชายผมมีส่วนร่วมในการก่อให้เกิดเหตุร้ายไม่ยอมดึงร่มช่วยคุณพ่อพูดมาตลอดว่าไม่เห็นด้วย วันที่ลูกชายกระโดดร่มผมไปยืนให้กำลังใจแล้วลูกชายตกลงมาเสียชีวิตระยะห่างจากลูกชายผมตกลงมาแค่ 2-3เมตร ผมวิ่งเข้าไปก็เห็นร่มสำรองถูกกลางออกแล้วบวกกับคำให้การของเพื่อนเขาบอกว่าก่อนที่โยโย่จะถึงพื้นร่มสำรองก็ถูกกางแล้ว คุณพ่อได้ให้การกับศาลอุทธรณ์ใหม่ว่า โยโย่ได้ดึงร่มช่วยซึ่งมีภาพถ่ายชัดเจนว่าโยโย่ได้ดึงร่มช่วยมันกางออกมาแล้ว เพียงแต่ว่าระยะที่กางมันอาจจะต่ำเกินไป เพราะฉะนั้นผมเองเป็นพยานคนนึงที่ไปเห็นกับตาตัวเองเราก็เลยทำเรื่องอุธรณ์ไป ซึ่งวันนี้ผมดีใจคือผมได้พิสูจน์ให้ศาลและสังคมเห็นแล้วว่าลูกผมไม่ได้มีความผิด ผมไม่อยากให้ลูกผมตายจากโลกนี้เพราะมีความผิดติดตัว ถ้าวันนี้ดวงวิญญาณของเขามีจริงผมอยากบอกว่า "ป่าป๊าได้สู้เพื่อหนูแล้วนะได้สู้ให้สังคมรับรู้ว่าหนูไม่มีส่วนร่วมในการทำผิดเลยเพราะหนูฝึกมาเป็นอย่างดี" ในขณะที่ลวดสลิงร่วงมาจากบล็อกไปกระแทกครูฝึกจนล้มแล้วตัวเองออกจากเครื่องไม่ได้อยู่ในท่าพร้อมแต่มีสติสามารถดึงร่มช่วยได้ผมถือว่าเขาเก่งสุดยอดแล้ว แต่โดยสรุปผมได้แก้ข้อกล่าวหาแล้ว่าลูกชายผมไม่ได้มีส่วนร่วมในการทำความผิด เขาทำดีที่สุดแล้วในวันนั้นอย่างน้อยก็เคลียร์ได้จุดนึง แต่คดีอาญายังไม่คืบหน้าเลย ถ้าดูคดีอาญาที่คุณพ่อบอกว่ามันช้าผ่านมา 5 ปีแล้ว
นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ ได้กล่าวว่า ที่คดีอาญาล่าช้าเพราะทางฝั่งอัยการอยากจะดูผลของคดีแพ่งว่าคดีแพ่งศาลยกฟ้องใครบ้างแต่ในส่วนของผมคดีแพ่งไม่ถือตามคดีอาญา คดีอาญาถือตามคดีแพ่ง คดีแพ่งที่เราสืบแกนๆ เพราะเนื่องจากว่าเราไม่มีข้อมูลมาก เพราะผลการสืบสวนอยู่กับอัยการ เพราะฉะนั้นการสืบของเราได้แค่ 60% เราเรียกสำนวนมาอัยการปฏิเสธไม่ให้ เราเลยไปเรียกกับตำรวจก็ได้แบบแกนๆเขาไม่ให้ทุกอย่าง แต่คดีอาญาเป็นคดีที่ต้องครบถ้วนสมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้นในคดีอาญาอัยการคงไม่ถือตามคดีแพ่ง ที่คดีนี้ล่าช้าติดอยู่ที่อัยการสูงสุดผมไม่รู้จะช่วยยังไงเหมือนกันระบบมันช้าเกือบ 5-6 ปี แค่พิจารณาแค่นี้ไม่กี่วันก็เสร็จแล้ว สำนวนเสร็จเรียบร้อยไปแล้วอยู่ที่การพิจารณา ที่ผ่านมาทั้งทนายและคุณพ่อเคยไปร้องเรียนหลายที่แล้ว ผมเห็นใจและสงสารมากผมช่วยคนมาเยอะสำเร็จเกือบทุกรายแต่คดีนี้สำเร็จแต่คดีแพ่ง เคยไปยื่นหนังสือร้องเรียนกับท่านนายกกับมือก็ยังไม่คืบหน้า ผมอยากให้สื่อมวลชนและประชาชนช่วยจัดการให้ผมด้วยครับ ผมไม่ได้พูดด้วยความสะใจแต่ผมพูดด้วยความอัดอั้นตันใจของคุณพ่อครับ
นายสาธร กล่าวเพิ่มเเติมว่า เป็นครั้งแรกที่ผมจะเป็นถึงบุคคลคนหนึ่ง เป็นบุคคลที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม โทรศัพท์มาหาผมบอกว่า ซึ่งบุคคลอีกบุคคลหนึ่งที่อยู่ในขบวนการยุติธรรมเหมือนกัน ใหญ่กว่าเขาอยู่ที่กรุงเทพ ให้เขาโทรมาหาผม โดยอ้างว่าที่ผู้ใหญ่ท่านนั้นที่อยู่กรุงเทพ โทรศัพท์มาให้บุคคลที่อยู่ในกระบวนยุติธรรมที่โทรหาผม เพราะ หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาเป็นเพื่อนกับบุคคลที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม ที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่อยู่ในกรุงเทพเขาเป็นเพื่อนกันเขารู้จักกัน ซึ่งตรงนี้ในชั้นศาลผลจะเอาคลิปเสียงที่บันทึกการสนทนาเปิดให้ศาลฟัง ที่เขาโทรมาเพราะผู้ใหญ่ท่านนี้ที่อยู่ที่กรุงเทพให้ช่วยโทรมา เพราะผู้ใหญ่ท่านนี้เป็นเพื่อนกับผู้ที่ถูกกล่าวหารายหนึ่งให้ช่วยโทรมา ในทำนองสั้น ๆ คือ ขอให้ผมจบ เหมือนครั้งที่ผมเคย ถูกขู่ฆ่า ตอนเกิดเรื่องใหม่ ๆ คุยกันหลายนาทีอยู่ครับ แต่น้ำเสียงไม่ข่มขู่ แล้วเค้าก็บอกชัดเจนว่าเขาเป็นใคร เพราะบุคคลที่โทรมาเขาอยู่ในกระบวนการยุติธรรมเรารู้จักรกันดีอยู่แล้ว ซึ่งเป็นผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในคดีลูกชายผมอยู่แล้ว ผมยกตัวอย่างแบบนี้ละกันว่า ถ้าเกิดมีใครคนหนึ่งเกิดกระทำการทุจริต แล้วในการทุจริตในครั้งนั้นเขาได้เงินมา 30 ล้าน แต่ในการทุจริตครั้งนั้นมีคนตาย แล้วเขาจ่ายเงินเยียวยาไป 5 ล้าน เขายังเหลือกำไรอีก 25 ล้าน เพราะผมต้องการให้คนผิดดำเนินคดีอาญาให้ เพื่อไม่ให้ลูกชายได้ตายฟรีแน่นอน แล้วการทุจริตต้องเอาคนไปลงคดีอาญามันถึงจะถูกต้อง