เอ๊ดดี้-จุมพฏ จรรยาหาญ หรือเจ้าของเพจ ‘พี่เอ๊ด 7 วิ’ กลับนำสิ่งที่เรียกว่าโฆษณามาทำให้ผู้ชมหันมาสนใจว่า “พี่เขาจะขายอะไรวะ” อยู่ในทุกคลิป การขายลักษณะดังกล่าวเป็นที่ตอบรับจนตัวของพี่เอ๊ด 7 วิ กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งไวรัลโฆษณาในโลกออนไลน์ไทยไปแล้วเรียบร้อย

จุดเริ่มของพี่เอ๊ด 7 วิ มันเริ่มมาจากอะไรครับ
จริงๆ มันเริ่มมาจากการมีเสือร้องไห้มาก่อน ซึ่งเสือร้องไห้มีอยู่ 4 คน คือ คัตโตะ (อารมณ์ โพธิ์หาญรัตนกุล) โค้ดดี้ (อรรถพล โพธิ์หาญรัตนกุล) ผม และ แนตตี้ (จิรุตถ์ ตันติวรอังกูร) แล้วก็ทำมาประมาณ 5-6 ปี แล้วราคาในการทำคลิปในแต่ละครั้งมันสูงขึ้นเรื่อยๆ จนหลังๆ มีแต่ลูกค้าที่มีงบเยอะๆ เข้ามา แล้วโค้ดดี้ที่เป็นคนที่รู้เรื่องธุรกิจเยอะสุด เขาบอกว่าทุกคนควรจะทำเพจของตัวเองเพื่อรองรับลูกค้าที่มีงบประมาณที่ไม่สามารถใช้บริการเสือร้องไห้
ช่วงแรกๆ ในการทำเพจ มันก็มีแอปพลิเคชันชื่อว่า wine ซึ่งดังมากในอเมริกา แล้วแอปตัวนี้มีคุณสมบัติคืออัปโหลดวิดีโอได้ภายใน 6 วินาที เนื้อหาในแอปนี้ก็มีหลากหลายทั้งเรื่องตลก เรื่องซึ้ง แต่มันต้องให้จบภายใน 6 วิ แล้วผมบอกว่าเทรนด์นี้มันน่าจะเข้ามาในเมืองไทย ก็เลยคิดว่าเราทำเพจชื่อว่าพี่เอ๊ด 6 วิ เพื่อรองรับลูกเล่นนี้ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีเวลาทำเป็นชิ้นเป็นอัน แล้วด้วยคำว่าพี่เอ๊ด 6 วิ มันไม่คล้องจอง คนไทยเราก็เป็นคนที่เจ้าบทเจ้ากลอนนิดนึง เลยเปลี่ยนเป็นคำว่าพี่เอ๊ด 7 วิ นี่คือที่มาของชื่อ
จากการที่บอกว่าให้แยกกันทำ ตอนนั้นคือเกร็งมั้ยครับ
ไม่เกร็งนะครับ เพราะเวลาทำงานมันก็เหมือนกับเราทะเลาะกันอยู่แล้ว แต่ละคนจะมีสไตล์หรือมุกทางของตัวเอง ช่วงแรกๆ ที่ทำเลยจะมีอาการว่า เวลาที่ 4 คนนั่งประชุมกัน แล้วแต่ละไอเดียที่นำเสนอออกมา การที่จะผ่านเพื่อนำไปใช้นั้นจะต้องได้รับเสียงอย่างน้อย 3 ใน 4 ถึงจะคิดว่าไอเดียที่ดี แล้วค่อยทำ แต่พอช่วงหลังเวลาที่มีการประชุมกัน ไอเดียของแต่ละคนจะถูกปรับตกกันเยอะ ประมาณว่าไอเดียนี้ 2 คนว่าดี แต่อีก 2 คนบอกไม่ดี ไอเดียโดนปัดตกเยอะ มันเลยกลายเป็นว่าการที่เวลาได้ทำเดี๋ยวมันจะทำให้ชิ้นงานเยอะขึ้น เพราะทำงานที่ตัวเองคิดว่าตรงนี้มันดีว่ะ ประมาณนี้ คือเจอกันมันก็ยังเป็นเพื่อนกันปกตินะครับ แต่ถ้าแต่ละคนเชื่อว่าไอเดียของตัวเองมีความเจ๋ง มันน่าจะดีนะ คราวนี้ไม่ต้องรอแล้ว ลุยไปก่อนเลย

เลยกลายเป็นการต่อยอดของแต่ละคนไปเลย
ใช่ครับ แล้วยิ่งช่วงหลังจะเรียกว่าแนวทางของแต่ละคนเริ่มชัดขึ้น แต่ในช่วงแรกของการแยกกันทำ มันจะยังไม่เห็นภาพชัดเจนเท่าไหร่ คนที่ทำให้ชัดเจนก็คือ โคดดี้ เพราะเขาทำไอเดียว่าอยากทำเพจกับแม่ของเขา เลยเป็นที่มาของเพจแม่เราชัดๆ แล้วเขาก็ทำคอนเทนต์ของเขากับแม่ของเขาต่างๆ เช่น ไปจ่ายตลาด หรือซักผ้ายังไง เรื่องที่เขาโดนแม่ด่าบ่อยๆ เขาก็จะมีธีมของเขา แต่คนอื่นยังไม่มีภาพที่ชัดเท่าไหร่ว่าจะทำอะไร
หรืออย่างคัตโตะก็จะเป็นแนวเขียนคำคม ก็จะมีความชัดอยู่แล้ว แต่ของผมกับแนทจะยังไม่มีความชัด แล้วส่วนใหญ่ไอเดียของผมเวลาที่คิดอะไรได้ แบบ 5 ดาว 6 ดาว ก็จะโยนเข้าเสือร้องไห้ก่อน โดยที่ไม่ต้องประชุมกับใคร แต่หลังๆ จะเป็นลักษณะว่าอันนี้จะดีหรือเปล่าเลยขอมาทำก่อน เพื่อที่จะไม่ซ้ำกับเพื่อน
แสดงว่าการทำเพจแยก เหตุผลหลักคือการหาเงินเลี้ยงลูก
เรื่องจริงครับ เพราะอย่างที่บอกว่าทำเสือร้องไห้มา 6 ปี แล้วค่อยทำเพจตัวเอง แล้วช่วงแรกก็ไม่ค่อยขยันด้วย เพราะถ้าคิดอะไรที่มันโอเค เราจะโยนเข้ากองกลางก่อน แต่พอเริ่มมีลูกปั๊บ พอเราคิดอะไรที่มันเจ๋ง เราขอให้ลูกเราก่อนละกัน (หัวเราะ) เพราะไอเดียที่เราคิดมันเริ่มที่จะเพื่อครอบครัวก่อนแล้ว แล้วมันคล่องตัวกว่าด้วย
ถ้าย้อนกลับไปดูเพจในช่วงแรกจะมีความรู้สึกว่าเฉยๆ เพราะว่าโดยส่วนตัวเราก็ไม่ได้เป็นคนขยันขนาดนั้น แถมตอนนั้นก็ยังเล่นดนตรีและทำเสือร้องไห้ ก็มีความรู้สึกว่าเงินพอแล้ว สบายๆ ก็จะเริ่มมีลูกคนที่ 2 แถมลูกคนโตจะเข้าโรงเรียน ผมเริ่มรู้สึกว่าเงินเริ่มไม่พอแล้ว เลยเกิดอาการที่ว่าขยันก็ได้วะ เพราะเราจะยังมีรูปที่เรียกว่าขี้เกียจก็ขี้เกียจ จะทำแค่นี้ แต่อย่างที่บอกไปคือ สถานการณ์บังคับให้เราต้องวิ่งก็ได้

แต่จากผลงานที่ผ่านมา มันให้ความรู้สึกว่ามีความเนียนในสินค้านะครับ
อันนี้มีผู้ใหญ่สอนมาครับว่า ถ้าเราแก้ปัญหาที่ซับซ้อนเมื่อไหร่ มันก็จะยิ่งให้เราได้เงินเยอะขึ้นเท่านั้น อย่างเช่นว่า ถ้าคนหิว 1 คน เราจะแก้ปัญหาด้วยการทำข้าวผัดกะเพราให้เขา 1 จาน เราก็จะได้เงิน 40 บาท ซึ่งมันเป็นปัญหาง่ายๆ ที่ไม่ซับซ้อน เพราะแก้ด้วยปัญหาความหิวของคน แต่ถ้าบอกว่าบริษัทนี้ต้องการแก้ปัญหาด้วยการขายแก้วหน่อย คนทั่วไปจะคิดล่วงหน้าก่อนแล้วว่าเราจะแก้ปัญหายังไงวะ แต่ถ้าเราแก้ปัญหานี้ให้กับเขาได้ เราก็จะบอกเขาว่า พี่ครับเรามีวิธีที่จะขายแก้วแล้วให้คนดูเยอะ คนไม่เกลียดสินค้าพี่ ผมทำได้ครับ อันนี้มันก็ไม่ใช่ 40 บาท เราก็ต้องคิดไปตามความสามารถของเรา
ถ้าใครดูหนังเรื่อง Bat Man Dark Knight มันจะมีประโยคหนึ่งของโจ๊กเกอร์ที่บอกว่า ถ้าคุณทำอะไรเก่ง คุณอย่าทำฟรีๆ คุณต้องคิดเงิน นั่นแหละครับ โคตรจริงเลย อันนั้นถือว่าเป็นประโยคที่อยู่ในใจผมตอนนี้ เมื่อก่อนอาจจะเฉยๆ แต่ถ้าเป็นตอนนี้เราก็ต้องทำอย่างที่บอก
แล้วผลิตภัณฑ์ที่เราจะขายของ มันก็ต้องใส่ไอเดียของเราเข้าไป เพื่อเป็นการพบกันครึ่งทาง ประมาณนั้น
ใช่ครับ อย่างเวลาที่ลูกค้าเข้ามาเราจะให้เต็มร้อยไว้ก่อน ในไอเดียที่ว่า มีความสนุก เกิดการแชร์แน่นอน คนชอบแน่ๆ ผมจะส่งไปแบบนี้ก่อน ทางลูกค้าก็จะมีการตอบกลับมา ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องแย่นะครับ เพราะคนเป็นครีเอทีฟอาจจะคิดในแง่ของความสนุกอย่างเดียว อาจจะไม่ได้บอกว่าวิธีการใช้ของผลิตภัณฑ์มันอาจจะยังไม่ออก ลูกค้าจะถามว่าขอเติมตรงนี้ได้ไหม ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยอมรับได้เพราะว่าเราทำการขายของของเขาอยู่ ประมาณว่าเราทำหนังเรื่องหนึ่งก็ไม่ได้ให้ตัวเองดู เราทำให้ลูกค้าถูกใจ เราก็ต้องฟังเจ้าของเงินด้วย
ประมาณว่า พี่คะ ไม่ได้มีพูดถึงสินค้าหนูเลย โอเคครับ เราจะตัดความสนุกออกไป 10 เปอร์เซ็นต์ เราอาจจะใส่คุณสมบัติของสินค้าเข้าไป แต่เราอาจจะหลบเนื้อหาขายของว่าไปไว้ตรงกลางของชิ้นงานได้ไหม หรือเอาไปไว้ข้างหลังสุดได้ไหม ถ้าเขาบอกว่าตัดออกเป็น 30% ได้ไหม เราก็บอกว่าได้สิครับ เพราะว่ามันเป็นเงินของคุณ ประมาณนั้น อะไรก็ตามแต่ที่ทำให้ลูกค้า happy ผมโอเคหมด

การทำงานของพี่เอง แน่นอนว่าพี่เอ๊ดก็ต้องลงไปคลุกเองเลย
ใช่ครับ เพราะว่าตั้งแต่ทำเสือร้องไห้มา อย่างที่บอกไปว่าโค้ตดี้จะดูในเรื่องของธุรกิจ เวลาไปเจอลูกค้า อย่างคัตโตะกับผมจะคิดในเรื่องของครีเอทีฟ แต่ผมจะพ่วงด้วยการรู้เรื่องในเทนิคัลด้วย ส่วนแนตตี้จะเก่งในเรื่องเทนิคัล ทั้งเรื่องกระบวนการตัดต่อ เรื่องทำเสียง แล้วเราก็จะเป็นในส่วนที่บอก อีกอย่างเรารู้การทำงานทุกขั้นตอน เลยทำให้บางครั้งต้องถึงขั้นไปคลุกเองเลย เมื่อก่อน คลิปเสือร้องไห้ในช่วงแรกๆ ผมจะเป็นคนตัดเอง ทำ CG เอง แต่พอทีมเริ่มใหญ่ขึ้น ผมจะเข้าไปนั่งดูน้อง หรือในบางครั้งเราก็จะไม่ดูแล้ว ใช้วิธีตัดมา แล้วก็แนะนำว่านาทีที่เท่านี้ๆ เอาเสียงลงหน่อย หรือในช่วงตรงนี้ เอา CG ออกนิดหน่อย เราจะพิมพ์ให้น้องแล้วให้เขาแก้ตามที่บอก เพราะว่าบางครั้งเราก็อยากอยู่บ้านกับลูกบ้าง
หรืออย่างเรื่องเพลง ในการคิดแต่ละครั้งก็ต้องทำการบ้านเยอะเหมือนกัน
การเล่าเรื่องด้วยเพลง มันมีทั้งข้อดีและข้อเสียครับ ข้อดีคือ การถ่ายทำในเรื่องเสียงไปได้เลย ถ้าใครทำงานเกี่ยวกับออกกองถ่าย หรือพวกที่ทำ Production จะรู้ว่า เวลาที่ถ่ายโฆษณาแล้วออกโลเกชันในบางที่ ในแต่ละเทกว่าจะมีเสียงรบกวนตลอดเวลา ถ้าเราควบคุมได้ด้วยการไปเจรจาก็ดี แต่ถ้ามีเครื่องบินบินผ่านหรือมีเสียงมอเตอร์ไซค์ก็จบเลย คือถ้าเราทำเป็นเพลงปั๊บ วัดจากประสบการณ์ที่เราทำมา เรื่องเสียงคือตัดไปได้เลย เราไม่ต้องกังวลแล้วว่าไปถ่ายที่ไหน มันจะมีเสียงเข้ามากวนไหม นี่คือข้อดี
แต่ข้อเสียคือ เราก็ต้องมานั่งทำเพลงเองซึ่งอาจจะกินเวลาไปเป็นอาทิตย์ ในการคิดต่างๆ ว่า แต่ละตัวโน้ตต้องเป็นยังไง อย่างเช่นว่าถ้าเราขายของชิ้นหนึ่ง ดนตรีที่เหมาะกับสินค้าตัวนั้นจะต้องเป็นยังไง จากนั้นก็ต้องคิดอีกว่าเราจะเล่าเรื่องยังไง บางครั้งก็จะมีน้องๆ เข้ามาถามในเพจว่าทำไมถึงแรปแนวเดียว คำตอบคือ เรื่องของเรื่องคือเราต้องฟังชัด และนั่นคือสิ่งที่ครอบผมเลยว่าจะไปแรปแนวอื่นไม่ได้ ต้องไปนะพี่จิ๋ม แนวนี้คือขายของที่สุด ฟังชัดๆ ไทยๆ ฟังครบๆ คือจะให้แรปแบบน้องๆ ยุคนี้ก็ทำได้ แต่คนฟังอาจจะงงว่าตกลงขายอะไร เขาอาจจะงงได้ ซึ่งมันเป็นข้อกำหนดว่าผมจะแรปแนวนี้แหละเดียว ซึ่งแนวอื่นก็แล้วแต่ลูกค้าแต่ที่สำคัญก็คืออักขระต้องชัดไว้ก่อน หรืออย่างน้อยๆ ต้องฟังให้รู้เรื่อง

จากการทำงานที่ผ่านมา เรียกว่ายอดวิวได้สูงทุกคลิปเลย ตรงนี้พี่เอ๊ดจับจุดยังไงบ้าง
เวลาใครถาม ผมมักจะบอกเสมอว่าทุกคลิปที่ทำ อย่างน้อยจะต้องมีอะไรให้กับคนดูสักอย่างหนึ่ง ให้ความสนุกหรือเปล่า ให้ความรู้หรือเปล่า เพราะถ้าเราไม่ให้อะไรกับคนดูเลย คนดูก็ไม่รู้ว่าจะดูทำไม เหมือนสิ่งที่เราทำอยู่ คือ ถ้าให้เขาอยู่กับเรา เราต้องให้อะไรเขาสักอย่าง ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ตัวเงินหรืออะไรก็แล้วแต่ คือถ้าเขาดูแล้วสนุกว่ะ เขาก็จะอยู่กับเรา อย่างคลิปที่สนุก ในบางครั้งเราก็ใส่สอดแทรกความรู้เข้าไป พร้อมกับให้ความสนุกไปพร้อมกัน มันเลยทำให้ตัวเลขออกมา เพราะตัวนั้นออกมาแล้วดีว่ะ เพราะ Content แต่ละชิ้นเราก็ต้องมีการตรวจสอบข้อมูลด้วยว่าวิดีโอที่แนะนำการสัมภาษณ์งานมันจะต้องใช้งานตลอดเวลา ก็เลยคิดว่าดีๆ แน่นอน แค่เราหาวิธีเล่าเรื่องมาใส่
แสดงว่าการจับตายคนดู อย่างน้อยมันต้องทิ้งอะไรไว้
ก็เหมือนกับตอนที่ทำเสือร้องไห้นะครับ ว่าคนดูจะดูคลิปของเราหรือเปล่านะ เขาจะยอมแชร์มั้ย แต่มันก็มีคลิปบางตัวเหมือนกันว่าตอนแรกอาจจะงงๆ แต่มันก็พอไปได้ อย่างไอติมเนสท์เล่ ก็เริ่มขายตั้งแต่วินาทีที่ 6 ของคลิป ตอนแรกเราคิดไม่ตกนะว่ามันจะเป็นยังไง แต่ปรากฏว่าคนแชร์เยอะ ใช้ได้อยู่เหมือนกัน หลังจากคลิปนั้นเราก็ได้องค์ความรู้ใหม่ว่ามันมี Content ที่จะขายอยู่อย่างนี้ แต่ว่าพอเอาเพลงไปเคลือบมัน มันจะช่วยให้ยาขมมันคลายไป มีน้ำตาลเคลือบเสริม อย่างน้อย 3 วินาทีที่อยู่ในปากเรา มันก็ยังพอกินได้แล้วกลืนน้ำลงไป สรุปคือพี่เอ๊ดก็ไม่ได้เก่งกว่าคนอื่นครับ ผมแค่เอาเพลงมาเคลือบวิธีการขายสินค้าแค่นั้นเอง

คุณเคยบอกว่า การขายของของ ‘พี่เอ๊ด 7 วิ’ คือ โฆษณาโลว์คอสต์ อยากให้ช่วยขยายความหน่อยครับ
จากการทำงานโฆษณามา แล้วเราไปถามความรู้ทั้งพี่ๆ ฝ่ายโฆษณาแล้วน้องที่เป็นฝ่ายเอเยนซี เราก็จะรู้ว่าวิธีการทำโฆษณามีอะไรบ้าง เหมือนอย่างกับเราไปเทียบกับเครื่องบิน low cost ซึ่งการทำโฆษณาแบบเต็มๆ คุณจะต้องมีครีเอทีฟ เสร็จแล้วก็ส่งบทไปให้ผู้กำกับทำ ลูกค้ามาดูงาน วันถ่าย อาจจะมีการพูดคุยกันก่อนว่าบทเป็นอย่างนี้นะ มีการแคสต์ตัวแสดง มีฝ่ายเสื้อผ้ามาดู มีฝ่ายโลเกชันทำ มีอาร์ตไดเรกเตอร์เข้ามาดูว่า พร็อบจะเป็นแบบไหน โลเกชันจะมีการเพิ่มเติมไหม เสร็จปุ๊บภาพโครงการวาดบอร์ด เข้าฝั่งโปรดักชัน เสร็จปุ๊บมันถ่ายจริงก็มีลูกค้ามานั่งดู แล้วก็ต้องเตรียมข้าวและห้องให้ลูกค้า มีกล้องอีก 1 คนผู้ช่วยอีก 3 คน ถ่ายเสร็จก็ต้องมีการตัดต่อและถ่ายซีจี อันนี้คือ full Service ถ่ายกันเต็มที่
แต่พอเป็น low cost เราก็ต้องมานั่งคิดว่าสิ่งไหนที่สำคัญที่สุดของคลิปหนึ่ง จะทำยังไงให้คนดูยอมดูยอมแชร์ ภาพสวยหรือเสื้อผ้าของนักแสดงไหม ก็ไม่ใช่ CG ที่งดงามก็ไม่ใช่ มันคือ Content ถ้ามันแข็งแกร่ง เราก็ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ เพราะถ้ามันเจ๋งจริงแม้ว่าในระยะแค่ 1 นาที คนก็แชร์ เพราะฉะนั้น แกนหลักที่เราทิ้งไม่ได้เลยก็คือ Content เราก็มาดูว่าทีมโปรดักชันคือมีอะไรกันบ้าง การประชุมกับลูกค้ายังไงก็ต้องประชุม เสื้อผ้าเราใส่เสื้อผ้าปกติก็ได้ โลเกชันเราไปถ่ายในที่ที่เด็กเลยแล้วไปตายดาบหน้าว่าไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น ถึงว่าถ่ายจริงก็ไม่ต้องเอาภาพสวย คลิปมือถือเลย วันถ่ายมีแค่น้องผู้ช่วยคนเดียวพอแล้ว มาถึงช่วงตัดต่อเหรอก็ไม่ต้อง เน้นซีจี จนเหลือต้นทุนเท่านี้ นี่เลยเป็นที่มาของ low cost ลูกค้าก็รู้แล้วว่าไม่ได้ต้องการอาหารบนเครื่อง เพราะนั่งแค่แป๊บเดียวเอง แค่ต้องการจากจุด a ไปยังจุด B ค่อยๆ ตัดๆ ไปจนเหลือแค่นี้

ด้วยข้อจำกัดจากที่ว่ามา แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาดี มันเหมือนกับว่าแรงที่ลงไปคุ้มค่าที่สุดมั้ย
สำหรับลูกค้าคิดว่าดีครับ เพราะเวลาที่เราทำงานเราจะเป็นแบบว่าทำงานเพื่องาน คือเงินมันได้อยู่แล้ว คือเหมือนกับเราอยากให้เขาคุ้ม อารมณ์ประมาณว่ามากินข้าวแล้ว เราถามว่าอยากได้ข้าวเพิ่มอีกหรือเปล่า เราให้หมูได้แค่นี้จริงๆ แต่เพิ่มอย่างอื่นได้ ผมอยากให้ได้เยอะมากที่สุดเท่าที่เขาจะจ่ายมาได้ อย่างคุณจ่ายมา 100 บาท แต่ผลลัพธ์ที่ได้น่าจะเป็นราคาแสนแน่นอน รับรองว่าพี่ได้กลับไปคุ้มค่าแน่ คือทำงานเพื่อเป็นงานดีจริงๆ
กล่าวโดยสรุปคือ คนเราต้องมีแรงผลักดันก่อนที่จะมาทำอะไรอย่างงี้ด้วยมั้ย
ต้องบอกว่าแต่ละคนมีแรงผลักดันไม่เหมือนกัน แล้วลักษณะนิสัยของแต่ละคนไม่เหมือนกันอยู่แล้วด้วย บางคนเขาขยันทุกวันอยู่แล้ว แต่อย่างผมเองเป็นคนที่ขี้เกียจโดยสันดานเลยมากๆ คือถ้าไม่มีอะไรมากระตุ้นให้ทำ ผมก็ไม่ทำหรอก ถ้าปัจจุบันยังโสดอยู่ ถามว่าทำมั้ย ไม่ทำ ผมเล่นดนตรีอยู่เฉยๆ เงินมันก็พออยู่แล้ว บ้านก็มีอยู่ รถก็มีขับ จะไปกระเสือกกระสนทำไม แต่พอมาถึงวันที่ไม่พอว่ะ ก็ต้องหามาวิ่ง
มันจะเหมือนกับไลฟ์โค้ชหลายๆ คน เขาบอกว่าคุณต้องตั้งเป้าให้ชีวิตตัวเองก่อน แต่ถ้าคนขี้เกียจมันจะตั้งเป้าไม่เป็น จะรู้สึกว่าทำไปทำไม นอนดีกว่า สบายกว่าตั้งเยอะ คุณก็ต้องหาภาระให้ตัวเอง ถามว่าอยากก้าวหน้าแต่ไม่รู้ว่าทำยังไง มึงลองเลี้ยงหมาเพิ่มตัวหนึ่ง (หัวเราะ) คุณจะมีรายจ่ายเพิ่มแล้ว ยกเว้นว่ามึงเป็นคนห่วยจริงๆ ถึงจะมีความคิดที่ว่าเอาไปปล่อยวัด คือถ้าเป็นคนขี้เกียจจะหาแรงกระตุ้นให้กับตัวเอง ส่วนคนที่ขยันอยู่แล้วมักจะประสบความสำเร็จ อย่างตื่น 7 โมง อาบน้ำ 5 นาที ก็ออกไปรดน้ำต้นไม้ต่อ ส่วนคนขี้เกียจตื่น 7 โมง มาดูนาฬิกาปลุก แล้วนอนต่อตื่นอีกทีตอนเที่ยง ยังไงก็แพ้คนขยันอยู่แล้วครับ

ความคาดหวังต่อไปของพี่เอ๊ด 7 วิ ครับ
ผมอยากจะทำอะไรที่มันข้ามขีดของตัวเองเอาไว้ ทำงานให้มันดีขึ้น แล้วก็ทำงานเพื่อสังคมบ้าง เพราะมีพี่หลายๆ คนที่ไปคุยกับเขา ที่เขาเป็นผู้กำกับ เขาบอกว่าถ้าตัวเราโอเคแล้ว เราสามารถแบ่งปันสังคมได้นะ เพราะมันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมถูกเชิญให้ไปให้ความรู้กับน้องๆ ผมไม่เอาเลย ผมจะบอกเขาตรงๆ ว่า ถ้าผมสอนไป ผมก็มีคู่แข่งสิ แต่พอช่วงหลังก็มีพี่ๆ บอกนี่แหละว่ามึงอย่าขี้เหนียวให้มากนัก มึงแบ่งปันให้สังคมบ้าง ถ้าเราพร้อมหรือมั่นคงในระดับหนึ่ง เราก็พร้อมที่จะไปแชร์ประสบการณ์จากการทำงานมาเกือบ 10 ปีนะ ถ้าน้องอยากรู้ พี่สอนได้ มานั่งคุยกันว่าทำยังไง ประมาณนี้
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : วชิร สายจำปา.
จุดเริ่มของพี่เอ๊ด 7 วิ มันเริ่มมาจากอะไรครับ
จริงๆ มันเริ่มมาจากการมีเสือร้องไห้มาก่อน ซึ่งเสือร้องไห้มีอยู่ 4 คน คือ คัตโตะ (อารมณ์ โพธิ์หาญรัตนกุล) โค้ดดี้ (อรรถพล โพธิ์หาญรัตนกุล) ผม และ แนตตี้ (จิรุตถ์ ตันติวรอังกูร) แล้วก็ทำมาประมาณ 5-6 ปี แล้วราคาในการทำคลิปในแต่ละครั้งมันสูงขึ้นเรื่อยๆ จนหลังๆ มีแต่ลูกค้าที่มีงบเยอะๆ เข้ามา แล้วโค้ดดี้ที่เป็นคนที่รู้เรื่องธุรกิจเยอะสุด เขาบอกว่าทุกคนควรจะทำเพจของตัวเองเพื่อรองรับลูกค้าที่มีงบประมาณที่ไม่สามารถใช้บริการเสือร้องไห้
ช่วงแรกๆ ในการทำเพจ มันก็มีแอปพลิเคชันชื่อว่า wine ซึ่งดังมากในอเมริกา แล้วแอปตัวนี้มีคุณสมบัติคืออัปโหลดวิดีโอได้ภายใน 6 วินาที เนื้อหาในแอปนี้ก็มีหลากหลายทั้งเรื่องตลก เรื่องซึ้ง แต่มันต้องให้จบภายใน 6 วิ แล้วผมบอกว่าเทรนด์นี้มันน่าจะเข้ามาในเมืองไทย ก็เลยคิดว่าเราทำเพจชื่อว่าพี่เอ๊ด 6 วิ เพื่อรองรับลูกเล่นนี้ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีเวลาทำเป็นชิ้นเป็นอัน แล้วด้วยคำว่าพี่เอ๊ด 6 วิ มันไม่คล้องจอง คนไทยเราก็เป็นคนที่เจ้าบทเจ้ากลอนนิดนึง เลยเปลี่ยนเป็นคำว่าพี่เอ๊ด 7 วิ นี่คือที่มาของชื่อ
จากการที่บอกว่าให้แยกกันทำ ตอนนั้นคือเกร็งมั้ยครับ
ไม่เกร็งนะครับ เพราะเวลาทำงานมันก็เหมือนกับเราทะเลาะกันอยู่แล้ว แต่ละคนจะมีสไตล์หรือมุกทางของตัวเอง ช่วงแรกๆ ที่ทำเลยจะมีอาการว่า เวลาที่ 4 คนนั่งประชุมกัน แล้วแต่ละไอเดียที่นำเสนอออกมา การที่จะผ่านเพื่อนำไปใช้นั้นจะต้องได้รับเสียงอย่างน้อย 3 ใน 4 ถึงจะคิดว่าไอเดียที่ดี แล้วค่อยทำ แต่พอช่วงหลังเวลาที่มีการประชุมกัน ไอเดียของแต่ละคนจะถูกปรับตกกันเยอะ ประมาณว่าไอเดียนี้ 2 คนว่าดี แต่อีก 2 คนบอกไม่ดี ไอเดียโดนปัดตกเยอะ มันเลยกลายเป็นว่าการที่เวลาได้ทำเดี๋ยวมันจะทำให้ชิ้นงานเยอะขึ้น เพราะทำงานที่ตัวเองคิดว่าตรงนี้มันดีว่ะ ประมาณนี้ คือเจอกันมันก็ยังเป็นเพื่อนกันปกตินะครับ แต่ถ้าแต่ละคนเชื่อว่าไอเดียของตัวเองมีความเจ๋ง มันน่าจะดีนะ คราวนี้ไม่ต้องรอแล้ว ลุยไปก่อนเลย
เลยกลายเป็นการต่อยอดของแต่ละคนไปเลย
ใช่ครับ แล้วยิ่งช่วงหลังจะเรียกว่าแนวทางของแต่ละคนเริ่มชัดขึ้น แต่ในช่วงแรกของการแยกกันทำ มันจะยังไม่เห็นภาพชัดเจนเท่าไหร่ คนที่ทำให้ชัดเจนก็คือ โคดดี้ เพราะเขาทำไอเดียว่าอยากทำเพจกับแม่ของเขา เลยเป็นที่มาของเพจแม่เราชัดๆ แล้วเขาก็ทำคอนเทนต์ของเขากับแม่ของเขาต่างๆ เช่น ไปจ่ายตลาด หรือซักผ้ายังไง เรื่องที่เขาโดนแม่ด่าบ่อยๆ เขาก็จะมีธีมของเขา แต่คนอื่นยังไม่มีภาพที่ชัดเท่าไหร่ว่าจะทำอะไร
หรืออย่างคัตโตะก็จะเป็นแนวเขียนคำคม ก็จะมีความชัดอยู่แล้ว แต่ของผมกับแนทจะยังไม่มีความชัด แล้วส่วนใหญ่ไอเดียของผมเวลาที่คิดอะไรได้ แบบ 5 ดาว 6 ดาว ก็จะโยนเข้าเสือร้องไห้ก่อน โดยที่ไม่ต้องประชุมกับใคร แต่หลังๆ จะเป็นลักษณะว่าอันนี้จะดีหรือเปล่าเลยขอมาทำก่อน เพื่อที่จะไม่ซ้ำกับเพื่อน
แสดงว่าการทำเพจแยก เหตุผลหลักคือการหาเงินเลี้ยงลูก
เรื่องจริงครับ เพราะอย่างที่บอกว่าทำเสือร้องไห้มา 6 ปี แล้วค่อยทำเพจตัวเอง แล้วช่วงแรกก็ไม่ค่อยขยันด้วย เพราะถ้าคิดอะไรที่มันโอเค เราจะโยนเข้ากองกลางก่อน แต่พอเริ่มมีลูกปั๊บ พอเราคิดอะไรที่มันเจ๋ง เราขอให้ลูกเราก่อนละกัน (หัวเราะ) เพราะไอเดียที่เราคิดมันเริ่มที่จะเพื่อครอบครัวก่อนแล้ว แล้วมันคล่องตัวกว่าด้วย
ถ้าย้อนกลับไปดูเพจในช่วงแรกจะมีความรู้สึกว่าเฉยๆ เพราะว่าโดยส่วนตัวเราก็ไม่ได้เป็นคนขยันขนาดนั้น แถมตอนนั้นก็ยังเล่นดนตรีและทำเสือร้องไห้ ก็มีความรู้สึกว่าเงินพอแล้ว สบายๆ ก็จะเริ่มมีลูกคนที่ 2 แถมลูกคนโตจะเข้าโรงเรียน ผมเริ่มรู้สึกว่าเงินเริ่มไม่พอแล้ว เลยเกิดอาการที่ว่าขยันก็ได้วะ เพราะเราจะยังมีรูปที่เรียกว่าขี้เกียจก็ขี้เกียจ จะทำแค่นี้ แต่อย่างที่บอกไปคือ สถานการณ์บังคับให้เราต้องวิ่งก็ได้
แต่จากผลงานที่ผ่านมา มันให้ความรู้สึกว่ามีความเนียนในสินค้านะครับ
อันนี้มีผู้ใหญ่สอนมาครับว่า ถ้าเราแก้ปัญหาที่ซับซ้อนเมื่อไหร่ มันก็จะยิ่งให้เราได้เงินเยอะขึ้นเท่านั้น อย่างเช่นว่า ถ้าคนหิว 1 คน เราจะแก้ปัญหาด้วยการทำข้าวผัดกะเพราให้เขา 1 จาน เราก็จะได้เงิน 40 บาท ซึ่งมันเป็นปัญหาง่ายๆ ที่ไม่ซับซ้อน เพราะแก้ด้วยปัญหาความหิวของคน แต่ถ้าบอกว่าบริษัทนี้ต้องการแก้ปัญหาด้วยการขายแก้วหน่อย คนทั่วไปจะคิดล่วงหน้าก่อนแล้วว่าเราจะแก้ปัญหายังไงวะ แต่ถ้าเราแก้ปัญหานี้ให้กับเขาได้ เราก็จะบอกเขาว่า พี่ครับเรามีวิธีที่จะขายแก้วแล้วให้คนดูเยอะ คนไม่เกลียดสินค้าพี่ ผมทำได้ครับ อันนี้มันก็ไม่ใช่ 40 บาท เราก็ต้องคิดไปตามความสามารถของเรา
ถ้าใครดูหนังเรื่อง Bat Man Dark Knight มันจะมีประโยคหนึ่งของโจ๊กเกอร์ที่บอกว่า ถ้าคุณทำอะไรเก่ง คุณอย่าทำฟรีๆ คุณต้องคิดเงิน นั่นแหละครับ โคตรจริงเลย อันนั้นถือว่าเป็นประโยคที่อยู่ในใจผมตอนนี้ เมื่อก่อนอาจจะเฉยๆ แต่ถ้าเป็นตอนนี้เราก็ต้องทำอย่างที่บอก
แล้วผลิตภัณฑ์ที่เราจะขายของ มันก็ต้องใส่ไอเดียของเราเข้าไป เพื่อเป็นการพบกันครึ่งทาง ประมาณนั้น
ใช่ครับ อย่างเวลาที่ลูกค้าเข้ามาเราจะให้เต็มร้อยไว้ก่อน ในไอเดียที่ว่า มีความสนุก เกิดการแชร์แน่นอน คนชอบแน่ๆ ผมจะส่งไปแบบนี้ก่อน ทางลูกค้าก็จะมีการตอบกลับมา ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องแย่นะครับ เพราะคนเป็นครีเอทีฟอาจจะคิดในแง่ของความสนุกอย่างเดียว อาจจะไม่ได้บอกว่าวิธีการใช้ของผลิตภัณฑ์มันอาจจะยังไม่ออก ลูกค้าจะถามว่าขอเติมตรงนี้ได้ไหม ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยอมรับได้เพราะว่าเราทำการขายของของเขาอยู่ ประมาณว่าเราทำหนังเรื่องหนึ่งก็ไม่ได้ให้ตัวเองดู เราทำให้ลูกค้าถูกใจ เราก็ต้องฟังเจ้าของเงินด้วย
ประมาณว่า พี่คะ ไม่ได้มีพูดถึงสินค้าหนูเลย โอเคครับ เราจะตัดความสนุกออกไป 10 เปอร์เซ็นต์ เราอาจจะใส่คุณสมบัติของสินค้าเข้าไป แต่เราอาจจะหลบเนื้อหาขายของว่าไปไว้ตรงกลางของชิ้นงานได้ไหม หรือเอาไปไว้ข้างหลังสุดได้ไหม ถ้าเขาบอกว่าตัดออกเป็น 30% ได้ไหม เราก็บอกว่าได้สิครับ เพราะว่ามันเป็นเงินของคุณ ประมาณนั้น อะไรก็ตามแต่ที่ทำให้ลูกค้า happy ผมโอเคหมด
การทำงานของพี่เอง แน่นอนว่าพี่เอ๊ดก็ต้องลงไปคลุกเองเลย
ใช่ครับ เพราะว่าตั้งแต่ทำเสือร้องไห้มา อย่างที่บอกไปว่าโค้ตดี้จะดูในเรื่องของธุรกิจ เวลาไปเจอลูกค้า อย่างคัตโตะกับผมจะคิดในเรื่องของครีเอทีฟ แต่ผมจะพ่วงด้วยการรู้เรื่องในเทนิคัลด้วย ส่วนแนตตี้จะเก่งในเรื่องเทนิคัล ทั้งเรื่องกระบวนการตัดต่อ เรื่องทำเสียง แล้วเราก็จะเป็นในส่วนที่บอก อีกอย่างเรารู้การทำงานทุกขั้นตอน เลยทำให้บางครั้งต้องถึงขั้นไปคลุกเองเลย เมื่อก่อน คลิปเสือร้องไห้ในช่วงแรกๆ ผมจะเป็นคนตัดเอง ทำ CG เอง แต่พอทีมเริ่มใหญ่ขึ้น ผมจะเข้าไปนั่งดูน้อง หรือในบางครั้งเราก็จะไม่ดูแล้ว ใช้วิธีตัดมา แล้วก็แนะนำว่านาทีที่เท่านี้ๆ เอาเสียงลงหน่อย หรือในช่วงตรงนี้ เอา CG ออกนิดหน่อย เราจะพิมพ์ให้น้องแล้วให้เขาแก้ตามที่บอก เพราะว่าบางครั้งเราก็อยากอยู่บ้านกับลูกบ้าง
หรืออย่างเรื่องเพลง ในการคิดแต่ละครั้งก็ต้องทำการบ้านเยอะเหมือนกัน
การเล่าเรื่องด้วยเพลง มันมีทั้งข้อดีและข้อเสียครับ ข้อดีคือ การถ่ายทำในเรื่องเสียงไปได้เลย ถ้าใครทำงานเกี่ยวกับออกกองถ่าย หรือพวกที่ทำ Production จะรู้ว่า เวลาที่ถ่ายโฆษณาแล้วออกโลเกชันในบางที่ ในแต่ละเทกว่าจะมีเสียงรบกวนตลอดเวลา ถ้าเราควบคุมได้ด้วยการไปเจรจาก็ดี แต่ถ้ามีเครื่องบินบินผ่านหรือมีเสียงมอเตอร์ไซค์ก็จบเลย คือถ้าเราทำเป็นเพลงปั๊บ วัดจากประสบการณ์ที่เราทำมา เรื่องเสียงคือตัดไปได้เลย เราไม่ต้องกังวลแล้วว่าไปถ่ายที่ไหน มันจะมีเสียงเข้ามากวนไหม นี่คือข้อดี
แต่ข้อเสียคือ เราก็ต้องมานั่งทำเพลงเองซึ่งอาจจะกินเวลาไปเป็นอาทิตย์ ในการคิดต่างๆ ว่า แต่ละตัวโน้ตต้องเป็นยังไง อย่างเช่นว่าถ้าเราขายของชิ้นหนึ่ง ดนตรีที่เหมาะกับสินค้าตัวนั้นจะต้องเป็นยังไง จากนั้นก็ต้องคิดอีกว่าเราจะเล่าเรื่องยังไง บางครั้งก็จะมีน้องๆ เข้ามาถามในเพจว่าทำไมถึงแรปแนวเดียว คำตอบคือ เรื่องของเรื่องคือเราต้องฟังชัด และนั่นคือสิ่งที่ครอบผมเลยว่าจะไปแรปแนวอื่นไม่ได้ ต้องไปนะพี่จิ๋ม แนวนี้คือขายของที่สุด ฟังชัดๆ ไทยๆ ฟังครบๆ คือจะให้แรปแบบน้องๆ ยุคนี้ก็ทำได้ แต่คนฟังอาจจะงงว่าตกลงขายอะไร เขาอาจจะงงได้ ซึ่งมันเป็นข้อกำหนดว่าผมจะแรปแนวนี้แหละเดียว ซึ่งแนวอื่นก็แล้วแต่ลูกค้าแต่ที่สำคัญก็คืออักขระต้องชัดไว้ก่อน หรืออย่างน้อยๆ ต้องฟังให้รู้เรื่อง
จากการทำงานที่ผ่านมา เรียกว่ายอดวิวได้สูงทุกคลิปเลย ตรงนี้พี่เอ๊ดจับจุดยังไงบ้าง
เวลาใครถาม ผมมักจะบอกเสมอว่าทุกคลิปที่ทำ อย่างน้อยจะต้องมีอะไรให้กับคนดูสักอย่างหนึ่ง ให้ความสนุกหรือเปล่า ให้ความรู้หรือเปล่า เพราะถ้าเราไม่ให้อะไรกับคนดูเลย คนดูก็ไม่รู้ว่าจะดูทำไม เหมือนสิ่งที่เราทำอยู่ คือ ถ้าให้เขาอยู่กับเรา เราต้องให้อะไรเขาสักอย่าง ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ตัวเงินหรืออะไรก็แล้วแต่ คือถ้าเขาดูแล้วสนุกว่ะ เขาก็จะอยู่กับเรา อย่างคลิปที่สนุก ในบางครั้งเราก็ใส่สอดแทรกความรู้เข้าไป พร้อมกับให้ความสนุกไปพร้อมกัน มันเลยทำให้ตัวเลขออกมา เพราะตัวนั้นออกมาแล้วดีว่ะ เพราะ Content แต่ละชิ้นเราก็ต้องมีการตรวจสอบข้อมูลด้วยว่าวิดีโอที่แนะนำการสัมภาษณ์งานมันจะต้องใช้งานตลอดเวลา ก็เลยคิดว่าดีๆ แน่นอน แค่เราหาวิธีเล่าเรื่องมาใส่
แสดงว่าการจับตายคนดู อย่างน้อยมันต้องทิ้งอะไรไว้
ก็เหมือนกับตอนที่ทำเสือร้องไห้นะครับ ว่าคนดูจะดูคลิปของเราหรือเปล่านะ เขาจะยอมแชร์มั้ย แต่มันก็มีคลิปบางตัวเหมือนกันว่าตอนแรกอาจจะงงๆ แต่มันก็พอไปได้ อย่างไอติมเนสท์เล่ ก็เริ่มขายตั้งแต่วินาทีที่ 6 ของคลิป ตอนแรกเราคิดไม่ตกนะว่ามันจะเป็นยังไง แต่ปรากฏว่าคนแชร์เยอะ ใช้ได้อยู่เหมือนกัน หลังจากคลิปนั้นเราก็ได้องค์ความรู้ใหม่ว่ามันมี Content ที่จะขายอยู่อย่างนี้ แต่ว่าพอเอาเพลงไปเคลือบมัน มันจะช่วยให้ยาขมมันคลายไป มีน้ำตาลเคลือบเสริม อย่างน้อย 3 วินาทีที่อยู่ในปากเรา มันก็ยังพอกินได้แล้วกลืนน้ำลงไป สรุปคือพี่เอ๊ดก็ไม่ได้เก่งกว่าคนอื่นครับ ผมแค่เอาเพลงมาเคลือบวิธีการขายสินค้าแค่นั้นเอง
คุณเคยบอกว่า การขายของของ ‘พี่เอ๊ด 7 วิ’ คือ โฆษณาโลว์คอสต์ อยากให้ช่วยขยายความหน่อยครับ
จากการทำงานโฆษณามา แล้วเราไปถามความรู้ทั้งพี่ๆ ฝ่ายโฆษณาแล้วน้องที่เป็นฝ่ายเอเยนซี เราก็จะรู้ว่าวิธีการทำโฆษณามีอะไรบ้าง เหมือนอย่างกับเราไปเทียบกับเครื่องบิน low cost ซึ่งการทำโฆษณาแบบเต็มๆ คุณจะต้องมีครีเอทีฟ เสร็จแล้วก็ส่งบทไปให้ผู้กำกับทำ ลูกค้ามาดูงาน วันถ่าย อาจจะมีการพูดคุยกันก่อนว่าบทเป็นอย่างนี้นะ มีการแคสต์ตัวแสดง มีฝ่ายเสื้อผ้ามาดู มีฝ่ายโลเกชันทำ มีอาร์ตไดเรกเตอร์เข้ามาดูว่า พร็อบจะเป็นแบบไหน โลเกชันจะมีการเพิ่มเติมไหม เสร็จปุ๊บภาพโครงการวาดบอร์ด เข้าฝั่งโปรดักชัน เสร็จปุ๊บมันถ่ายจริงก็มีลูกค้ามานั่งดู แล้วก็ต้องเตรียมข้าวและห้องให้ลูกค้า มีกล้องอีก 1 คนผู้ช่วยอีก 3 คน ถ่ายเสร็จก็ต้องมีการตัดต่อและถ่ายซีจี อันนี้คือ full Service ถ่ายกันเต็มที่
แต่พอเป็น low cost เราก็ต้องมานั่งคิดว่าสิ่งไหนที่สำคัญที่สุดของคลิปหนึ่ง จะทำยังไงให้คนดูยอมดูยอมแชร์ ภาพสวยหรือเสื้อผ้าของนักแสดงไหม ก็ไม่ใช่ CG ที่งดงามก็ไม่ใช่ มันคือ Content ถ้ามันแข็งแกร่ง เราก็ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ เพราะถ้ามันเจ๋งจริงแม้ว่าในระยะแค่ 1 นาที คนก็แชร์ เพราะฉะนั้น แกนหลักที่เราทิ้งไม่ได้เลยก็คือ Content เราก็มาดูว่าทีมโปรดักชันคือมีอะไรกันบ้าง การประชุมกับลูกค้ายังไงก็ต้องประชุม เสื้อผ้าเราใส่เสื้อผ้าปกติก็ได้ โลเกชันเราไปถ่ายในที่ที่เด็กเลยแล้วไปตายดาบหน้าว่าไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น ถึงว่าถ่ายจริงก็ไม่ต้องเอาภาพสวย คลิปมือถือเลย วันถ่ายมีแค่น้องผู้ช่วยคนเดียวพอแล้ว มาถึงช่วงตัดต่อเหรอก็ไม่ต้อง เน้นซีจี จนเหลือต้นทุนเท่านี้ นี่เลยเป็นที่มาของ low cost ลูกค้าก็รู้แล้วว่าไม่ได้ต้องการอาหารบนเครื่อง เพราะนั่งแค่แป๊บเดียวเอง แค่ต้องการจากจุด a ไปยังจุด B ค่อยๆ ตัดๆ ไปจนเหลือแค่นี้
ด้วยข้อจำกัดจากที่ว่ามา แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาดี มันเหมือนกับว่าแรงที่ลงไปคุ้มค่าที่สุดมั้ย
สำหรับลูกค้าคิดว่าดีครับ เพราะเวลาที่เราทำงานเราจะเป็นแบบว่าทำงานเพื่องาน คือเงินมันได้อยู่แล้ว คือเหมือนกับเราอยากให้เขาคุ้ม อารมณ์ประมาณว่ามากินข้าวแล้ว เราถามว่าอยากได้ข้าวเพิ่มอีกหรือเปล่า เราให้หมูได้แค่นี้จริงๆ แต่เพิ่มอย่างอื่นได้ ผมอยากให้ได้เยอะมากที่สุดเท่าที่เขาจะจ่ายมาได้ อย่างคุณจ่ายมา 100 บาท แต่ผลลัพธ์ที่ได้น่าจะเป็นราคาแสนแน่นอน รับรองว่าพี่ได้กลับไปคุ้มค่าแน่ คือทำงานเพื่อเป็นงานดีจริงๆ
กล่าวโดยสรุปคือ คนเราต้องมีแรงผลักดันก่อนที่จะมาทำอะไรอย่างงี้ด้วยมั้ย
ต้องบอกว่าแต่ละคนมีแรงผลักดันไม่เหมือนกัน แล้วลักษณะนิสัยของแต่ละคนไม่เหมือนกันอยู่แล้วด้วย บางคนเขาขยันทุกวันอยู่แล้ว แต่อย่างผมเองเป็นคนที่ขี้เกียจโดยสันดานเลยมากๆ คือถ้าไม่มีอะไรมากระตุ้นให้ทำ ผมก็ไม่ทำหรอก ถ้าปัจจุบันยังโสดอยู่ ถามว่าทำมั้ย ไม่ทำ ผมเล่นดนตรีอยู่เฉยๆ เงินมันก็พออยู่แล้ว บ้านก็มีอยู่ รถก็มีขับ จะไปกระเสือกกระสนทำไม แต่พอมาถึงวันที่ไม่พอว่ะ ก็ต้องหามาวิ่ง
มันจะเหมือนกับไลฟ์โค้ชหลายๆ คน เขาบอกว่าคุณต้องตั้งเป้าให้ชีวิตตัวเองก่อน แต่ถ้าคนขี้เกียจมันจะตั้งเป้าไม่เป็น จะรู้สึกว่าทำไปทำไม นอนดีกว่า สบายกว่าตั้งเยอะ คุณก็ต้องหาภาระให้ตัวเอง ถามว่าอยากก้าวหน้าแต่ไม่รู้ว่าทำยังไง มึงลองเลี้ยงหมาเพิ่มตัวหนึ่ง (หัวเราะ) คุณจะมีรายจ่ายเพิ่มแล้ว ยกเว้นว่ามึงเป็นคนห่วยจริงๆ ถึงจะมีความคิดที่ว่าเอาไปปล่อยวัด คือถ้าเป็นคนขี้เกียจจะหาแรงกระตุ้นให้กับตัวเอง ส่วนคนที่ขยันอยู่แล้วมักจะประสบความสำเร็จ อย่างตื่น 7 โมง อาบน้ำ 5 นาที ก็ออกไปรดน้ำต้นไม้ต่อ ส่วนคนขี้เกียจตื่น 7 โมง มาดูนาฬิกาปลุก แล้วนอนต่อตื่นอีกทีตอนเที่ยง ยังไงก็แพ้คนขยันอยู่แล้วครับ
ความคาดหวังต่อไปของพี่เอ๊ด 7 วิ ครับ
ผมอยากจะทำอะไรที่มันข้ามขีดของตัวเองเอาไว้ ทำงานให้มันดีขึ้น แล้วก็ทำงานเพื่อสังคมบ้าง เพราะมีพี่หลายๆ คนที่ไปคุยกับเขา ที่เขาเป็นผู้กำกับ เขาบอกว่าถ้าตัวเราโอเคแล้ว เราสามารถแบ่งปันสังคมได้นะ เพราะมันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมถูกเชิญให้ไปให้ความรู้กับน้องๆ ผมไม่เอาเลย ผมจะบอกเขาตรงๆ ว่า ถ้าผมสอนไป ผมก็มีคู่แข่งสิ แต่พอช่วงหลังก็มีพี่ๆ บอกนี่แหละว่ามึงอย่าขี้เหนียวให้มากนัก มึงแบ่งปันให้สังคมบ้าง ถ้าเราพร้อมหรือมั่นคงในระดับหนึ่ง เราก็พร้อมที่จะไปแชร์ประสบการณ์จากการทำงานมาเกือบ 10 ปีนะ ถ้าน้องอยากรู้ พี่สอนได้ มานั่งคุยกันว่าทำยังไง ประมาณนี้
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : วชิร สายจำปา.