xs
xsm
sm
md
lg

สุนทรภู่เกิดวันนี้ เหล้าและผู้หญิงเป็นศัตรูของชีวิต! ได้รับยกย่องเป็นกวีเอกของโลกพร้อม ร.๒!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: โรม บุนนาค


ภายในกุฏิสุนทรภู่ที่วัดเทพธิดาราม
ที่วัดเทพธิดาราม แขวงสำราญราษฎร์ เขตพระนคร กทม.ในเขตสังฆาวาสซึ่งเป็นที่อยู่ของสงฆ์ จะมีตึกชั้นเดียวก่ออิฐถือปูนอยู่หมู่ใหญ่ เป็นสถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลที่ ๓ ผู้ทรงสร้างวัด ในเขตนี้จะมีอยู่หลังหนึ่งติดป้ายไว้หน้าประตูว่า “กุฏิสุนทรภู่” อันเป็นตึกที่กวีเอกของกรุงรัตนโกสินทร์มาใช้ชีวิตอยู่ ๓ พรรษา
สุนทรภู่ มีชื่อเสียงเลื่องลือในด้านสำนวนกลอน ได้รับการยกย่องว่าเป็นบรมครูกลอนแปด เป็นกวีที่มีจินตนาการกว้างไกล สร้างโครงเรื่องและเนื้อหาของนิทานกลอนได้น่าสนใจชวนให้ติดตาม ซึ่งลักษณะเด่นของสุนทรภู่ถูกถ่ายทอดรวมอยู่ในวรรณคดีเรื่อง “พระอภัยมณี” อย่างครบถ้วนทั้งเนื้อหาสาระและสุนทรีแห่งอักษร

นอกจากสุนทรภู่จะได้รับการยกย่องว่าเป็นกวีสามัญชนคนเดียวที่มีอนุสาวรีย์แล้ว องค์การยูเนสโก แห่งสหประชาชาติ ยังประกาศเกียรติคุณให้เป็นกวีเอกของโลก ในวาระครบรอบ ๒๐๐ ปีวันเกิดของท่านในปี พ.ศ.๒๕๒๙ ด้วย

สุนนทรภู่ได้สร้างวรรณกรรมอมตะไว้มากมายให้เป็นสมบัติของชาติ แต่ชีวิตของสุนทรภู่กลับต้องตกระกำลำบากระเหเร่ร่อน มาสงบสุขได้ก็เมื่อวัยล่วงเข้า ๖๖ ปีแล้ว ก่อนจะถึงแก่กรรมเพียง ๕ ปี ทั้งนี้ก็ด้วยเรื่องเหล้าและผู้หญิงเป็นศัตรูของชีวิตมาตลอด

สุนทรภู่มีชื่อเดิมว่า ภู่ เกิดที่คลองบางกอกน้อย ธนบุรี เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๒๙ หลังสร้างกรุงรัตนโกสินทร์มาได้ ๔ ปี บิดามารดาไม่ปรากฏนาม ทราบแต่ว่าบิดาเป็นชาวบ้านกล่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง มารดาคงจะเป็นผู้ดีมีสกุล เพราะต่อมาได้เป็นนางนมพระองค์เจ้าหญิงจงกล พระธิดาในกรมพระราชวังหลัง แต่พออายุได้ ๒ ขวบบิดามารดาก็เลิกกัน บิดากลับไปบวชอยู่ที่ระยองแล้วไม่สึก ส่วนมารดาก็ได้สามีใหม่ สุนทรภู่เริ่มหัดอ่านเขียนในพระราชวังหลังก่อนที่จะเรียนต่อในสำนักวัดชีปะขาว เมื่อเจริญวัยแล้วจึงเข้าถวายตัวกับกรมพระราชวังหลังในหน้าที่เสมียน

สุนทรภู่เป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอนและรักการแต่งกลอนเป็นชีวิตจิตใจ ได้แต่งกลอนสุภาษิตและนิทานคำกลอนไว้ตั้งแต่เริ่มเข้าวัยหนุ่ม ขณะที่เรื่องผู้หญิงก็ส่งผลร้ายต่อชีวิตสุนทรภู่เมื่ออายุย่างเข้า ๒๐ ปี โดยสมัครรักใคร่กับสาวฝ่ายในของวังหลังคนหนึ่งชื่อ จัน เมื่อกรมพระราชวังหลังทราบเรื่องจึงทรงกริ้ว ให้ลงโทษทั้งชายและหญิงด้วยการจองจำ แต่ไม่นานกรมพระราชวังหลังก็ทิวงคต สุนทรภู่จึงพ้นโทษ

หลังพ้นโทษสุนทรภู่ได้บุกบั่นไปหาบิดาที่บ้านกร่ำ คงจะหวังไปบวชตามประเพณีและสะเดาะเคราะห์ แต่ไปเป็นไข้ป่าเกือบตาย จึงกลับมาถวายตัวกับพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ พระโอรสของกรมพระราชวังหลัง ซึ่งทรงผนวชอยู่ที่วัดระฆัง และได้แต่งงานกับจัน สาวคนรักที่ทำให้ต้องติดคุก แต่พอมีลูกด้วยกันคนหนึ่ง จันก็ทนความเป็นคนขี้เหล้าและเจ้าชู้ของสุนทรภู่ไม่ไหว ต้องเลิกร้างกันไป สุนทรภู่มีเมียใหม่อีกหลายคน แต่ก็ไม่ประทับใจใครเท่าจัน ซึ่งท่านกวีเอกกล่าวถึงในบทกลอนที่แต่งไว้หลายเรื่อง

ต่อมาในรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยซึ่งทรงพระปรีชาสามารถทั้งในด้านกวี การดนตรี ประติมากรรม และได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นกวีเอกของโลกในปีเดียวกับสุนทรภู่ ได้ทอดพระเนตรสำนวนกลอนของสุนทรภู่ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เอาตัวมารับราชการในกรมอาลักษณ์ สุนทรภู่ได้แสดงความสามารถให้เป็นที่ต้องพระราชหฤทัยในหลายเรื่อง เช่นในการนำบทพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ ๑เรื่อง “รามเกียรติ์” มาแก้ไขปรับปรุง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯทรงเห็นว่าบทเก่าที่กล่าวถึงตอนนางสีดาผูกคอตายและหนุมานมาช่วยนั้นช้าไป ซึ่งบทเก่ากล่าวไว้ว่า

“เอาภูษาผูกคอให้มั่น
แล้วพันกับกิ่งโศกใหญ่
หลับเนตรจำนงปลงใจ
อรทัยก็โจนลงมา
บัดนั้น...
วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า
ครั้นเห็นองค์อัครกัลยา
ผูกศอโจนลงมาก็ตกใจ
ตัวสั่นเพียงสิ้นชีวิต
ร้อนจิตดังหนึ่งเพลิงไหม้
โลดโผนโจนลงตรงไป
ด้วยกำลังว่องไวทันที”
- เชิด –
“ครั้นถึงจึงแก้ภูษาทรง
ที่ผูกศอองค์พระลักษมี
หย่อนลงยังพื้นปฐพี
ขุนกระบี่ก็โจนลงมา”

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯทรงเห็นว่า ในการแสดงนั้น เมื่อนางสีดาผูกคอ หนุมานยังต้องแสดงท่าตกใจตัวสั่น ร้อนใจดั่งเพลิงไหม้ กว่าจะเข้าไปช่วยได้นางสีดาก็คงตายไปแล้ว จึงทรงแก้ให้รวดเร็วขึ้นว่า

“จึงเอาผ้าผูกพันกระสันรัด
เกี่ยวกระหวัดกับกิ่งโศกใหญ่”
เมื่อทรงพระราชนิพนธ์ถึงแค่นี้ ก็จนพระทัยว่าจะให้หนุมานเข้าช่วยด้วยวิธีใดจึงจะเร็ว ครั้นถามเหล่ากวีที่ปรึกษาก็ไม่มีใครสามารถต่อได้ ทรงหันมาถามสุนทรภู่ กวีหนุ่มจึงถวายคำต่อให้ทันทีว่า
“ชายหนึ่งผูกศออรทัย
แล้วทอดองค์ลงไปจะให้ตาย
บัดนั้น...
วายุบุตรแก้ได้ดังใจหมาย”
ทรงพอพระราชหฤทัยในความสามารถของสุนทรภู่ และทรงรับสั่งชมเชย
อีกครั้งหนึ่งในเรื่องรามเกียรติ์เช่นกัน ทรงพระราชนิพนธ์พรรณนาชมรถของทศกัณฑ์ไว้ว่า
“รถที่นั่ง
บุษบกบัลลังก์ตั้งตระหง่าน
กว้างใหญ่เท่าเขาจักวาล
ยอดเยี่ยมเทียมวิมานเมืองแมน
คุมวงกงหันเป็นควันคว้าง
เทียมสิงห์วิ่งวางข้างละแสน
สารถีขี่ขับเข้าดงแดน
พื้นแผ่นดินกระเด็นไปเป็นจุล”

เมื่อทรงพระราชนิพนธ์ถึงตอนนี้ ก็ทรงนึกไม่ออกที่จะหาคำพรรณนาต่อไปให้สมกับความใหญ่โตถึงเพียงนั้น จึงรับสั่งให้สุนทรภู่แต่งต่อ สุนทรภูจึงแต่งถวายว่า

“นทีตีฟองนองระลอก
คลื่นกระฉอกกระฉ่อนชลข้นขุ่น
เขาพระสุเมรุเอนเอนอ่อนระมุน
อนนต์หนุนดินดานสะท้านสะเทือน
ทวยหาญโห่ร้องก้องกัมปนาท
สุธาวาสไหวหวั่นลั่นเลื่อน
บดบังสุริยันตะวันเดือน
คลาดเคลื่อนจตุรงค์ตรงมา”

ทรงโปรดในเชิงกลอนของสุนทรภู่เป็นอย่างมาก โปรดเกล้าฯให้เป็น ขุนสุนทรโวหาร พระราชทานที่ดินให้ปลูกสร้างบ้านอยู่ที่ท่าช้างวังหลวง รับสั่งให้เข้าเฝ้าทุกเช้าเย็น เวลาเสด็จประพาสก็โปรดเกล้าฯให้ลงเรือพระที่นั่งไปด้วย เป็นพนักงานอ่านเขียนในเวลาทรงพระราชนิพนธ์บทกลอน

ชีวิตของสุนทรภู่ช่วงนี้สุขสบาย อยู่กับภรรยาใหม่ชื่อ นิ่ม เป็นชาวบางกรวย มีบุตรด้วยกันอีกคนหนึ่ง แต่แล้วสุราก็เป็นเหตุ สุนทรภู่เมามายไปหามารดา เมื่อถูกว่ากล่าวตักเตือนสุนทรภู่ก็อาละวาด ญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งเข้าห้ามปราม สุนทรภู่ก็ทำร้ายญาติคนนั้นจนเจ็บหนัก เมื่อมีผู้นำเรื่องขึ้นทูลเกล้าฯถวายฎีกา จึงรับสั่งให้เอาสุนทรภู่ไปจองจำ

ครั้นเมื่อทรงพระราชนิพนธ์ติดขัด ก็ไม่มีกวีคนใดจะต่อให้พอพระราชหฤทัยได้เช่นสุนทรภู่ ด้วยเหตุนี้ขุนสุนทรโวหารจึงถูกเบิกตัวออกมาจากคุกให้พ้นโทษ กลับเข้ารับราชการตามเดิม

ในระหว่างที่มีชีวิตรุ่งโรจน์ในสมัย ร.๒ นี้ สุนทรภู่ก็ได้สร้างความขุนเคืองพระทัยไว้กับพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์หลายครั้ง ครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯทรงมอบบทละครเรื่อง “อิเหนา” ตอนบุษบาเล่นธาร ให้กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ทรงนิพนธ์ และเมื่อนิพนธ์เสร็จพระเจ้าลูกยาเธอทรงวานให้ขุนสุนทรโวหารช่วยตรวจทาน ซึ่งสุนทรภู่ก็กราบทูลเมื่ออ่านเสร็จว่า “ดีอยู่แล้ว”
ครั้นเมื่อกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์นำบทที่ทรงนิพนธ์อ่านถวายหน้าพระที่นั่งต่อหน้ากวีที่ปรึกษาทั้งหลาย มาถึงบทที่ว่า

“น้ำใสไหลเย็นแลเห็นตัว
ปลาแหวกกอบัวอยู่ไหวไหว”
สุนทรภู้ก็ว่าความยังไม่ชัด ขอแก้เป็น
“น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา
แหวกว่ายปทุมมาอยู่ไหวไหว”

ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงโปรดที่สุนทรภู่แก้ แต่พระเจ้าลูกยาเธอทรงขุนเคืองพระทัยที่ให้สุนทรภู่ช่วยตรวจทานแล้วแต่ไม่แก้ มาหักหน้าต่อที่ประชุมเช่นนี้

อีกครั้งหนึ่งเมื่อกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ทรงรับพระราชทานบทละครเรื่อง “สังข์ทอง”มานิพนธ์ตอนเลือกคู่ เมื่อทรงอ่านถวายในที่ประชุมตอนหนึ่งว่า

“จำจะปลูกฝังเสียยังแล้ว
ให้ลูกแก้วสมมาดปรารถนา”

สุนทรภู่ก็ท้วงอีกว่าไม่ชัด ลูกปรารถนาอะไร พระเจ้าลูกเธอก็ทรงแก้เป็น

“ให้ลูกแก้วมีคู่เสน่หา”

ฉะนั้นใน พ.ศ.๒๓๖๗ เมื่อกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ได้ขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ ๓ ชีวิตของขุนสุนทรโวหารเลยตกอับ ถูกถอดยศถาบรรดาศักดิ์ คนทั้งหลายจึงเรียกกันว่า “สุนทรภู่” และไม่มีใครกล้าชุบเลี้ยงเกื้อกูล เพราะเกรงจะขัดพระราชหฤทัย ภรรยาที่อยู่ด้วยกันก็เลิกร้างไปอีกคน ญาติพี่น้องก็ไม่มีใครเหลียวแล ในปีนั้นสุนทรภู่ต้องยึดเอาผ้าเหลืองเข้าคุ้มตัวโดยออกบวช ซึ่งได้รำพันไว้ว่า

“แต่ปีวอกออกขาดราชกิจ
บรรพชิตพิศวาสพระศาสนา
เหมือนลอยล่องท้องทะเลอยู่เอกา
เห็นแต่ฟ้าฟ้าก็เปลี่ยวสุดเหลียวแล”

สุนทรภู่บวชที่วัดเลียบ หรือวัดราชบูรณะที่เชิงสะพานพุทธฯในปัจจุบัน แล้วออกเร่ร่อนจาริกไปตามจังหวัดต่างๆถึง ๓ ปี เมื่อกลับมาอยู่วัดเลียบอีกไม่นานก็ถูกบัพพาชนียกรรม คือถูกไล่ออกจากวัด ก็เนื่องด้วยสุราเป็นเหตุ ต้องเร่ร่อนโดยเรือแจวไปจังหวัดต่างๆอีก แล้วก็กลับมาอยู่วัดอรุณอัมรินทร์

สุนทรภู่ย้ายมาอยู่วัดเทพธิดารามในปี ๒๓๘๓-๒๓๘๕ และแต่งกลอนรำพึงถึงวัตถุสถานของวัดไว้หลายอย่างใน “รำพรรณพิลาป”

หอระฆังของวัดเทพธิดารามซึ่งก่ออิฐถือปูนสูง ๙ เมตร มีรูปลักษณะคล้ายหอกลอง สุนทรภู่ก็บรรยายไว้ว่า

“หอระฆังดั่งทำนองหอกลองใหญ่
ทั้งหอไตรแกลทองเป็นของหลวง
ปลูกไม้รอบขอบนอกเป็นดอกดวง
บ้างโรยร่วงรสรื่นทุกคืนวัน”

สุนทรภู่อยู่ที่ไหนได้ไม่นาน จำพรรษาอยู่ทีวัดเทพธิดาราม ๓ พรรษาก็นับว่านานกว่าที่อื่น เมื่อยามที่ต้องจากไปจึงอาลัยอาวรณ์ไว้ว่า

“โอ้ชาตินี้มีกรรมเหลือลำบาก
เหมือนนกพรากพลัดรังไร้ฝั่งฝา
โอ้กระฎีที่จะจากฝากน้ำตา
โอ้คอยลาเหล่านักเลงฟังเพลงยาว
เคยเยี่ยมเยียนเพื่อนเก่าเมื่อเราอยู่
มาหาสู่ดูแลทั้งแก่สาว
ยืมหนังสือลือเลื่องถามเรื่องราว
โอ้เป็นคราวเคราะห์แล้วจำแคล้วกัน”

ปลายรัชกาลที่ ๓ ชีวิตสุนทรภู่ค่อยสุขสบายขึ้น เมื่อเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ทรงเมตตาปราณีให้ไปอยู่พระราชวังเดิมซึ่งเป็นที่ประทับของพระองค์ ทั้งกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ราชธิดาองค์โปรดของรัชกาลที่ ๓ ซึ่งทรงสร้างวัดเทพธิดารามให้ ก็ทรงเมตตาสุนทรภู่ และรับสั่งให้สุนทรภู่แต่งพระอภัยมณีที่ค้างอยู่จนจบ

ครั้นเมื่อสิ้นรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ขึ้นเป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ชะตาชีวิตของสุนทรภู่ก็รุ่งโรจน์ขึ้นเป็นเจ้ากรมอาลักษณ์ฝ่ายพระราชวังบวร มีบรรดาศักดิ์เป็น พระสุนทรโวหาร ในวัย ๖๖ ปี สุนทรภู่ถึงแก่กรรมในปี ๒๓๙๘ เมื่ออายุได้ ๗๐ ปี

ทางวัดเทพธิดารามได้อนุรักษ์กุฎิที่สุนทรภู่เคยจำพรรษาไว้อย่างดี พร้อมทั้งเครื่องใช้ในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ และติดกลอนที่สุนทรภู่แต่งไว้รอบบริเวณ
ในปี พ.ศ.๒๕๓๗ เนื่องในงานสถาปนิก ๓๗ สมเด็จพระขนิษฐาเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินทรฯ เมื่อครั้งยังดำรงพระยศสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้พระราชทานกิตติบัตรแก่วัดเทพธิดารา ผู้ครอบครองอาคารกุฏิสุนทรภู่ ได้รับรางวัลดีเด่นด้านอนุรักษ์สถาปัตยกรรมไทย ในการคัดเลือกของสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์

ทุกวันนี้ยังมีทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศแวะเวียนไปชมกุฏิสุนทรภู่ไม่ขาดสาย ซึ่งทางวัดก็เปิดให้ผู้สนใจเข้าชมคลอดเวลา แฟนๆพระอภัยมณีจะไปเยี่ยมกุฏิสุนทรภู่สักครั้ง แค่เดินอ่านกลอนสุนทรภู่ที่ติดไว้ก็เพลินแล้ว








กำลังโหลดความคิดเห็น