xs
xsm
sm
md
lg

แฉเบื้องหลัง “สวนศิลป์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์” โรงกลึงเก่าย่านตลาดน้อย อ้างความดีไล่ที่คนอื่น

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


อดีตคนที่อาศัยอู่หลียุ่นเชียง เผยเบื้องหลังโครงการสวนศิลป์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ พิพิธภัณฑ์ชุมชนตลาดน้อย ระบุ ถูกกลุ่มสถาปนิกชุมชนกดดันกรมธนารักษ์เอาที่ดินคืน อ้างมติของชุมชน ทั้งที่คนในชุมชนไม่ทราบเรื่อง เห็นโรงกลึงเก่านึกว่ารวยแล้วย้ายไปอยู่ที่อื่น ซัดเอาความดีขึ้นป้าย ประโชน์ส่วนรวมบังหน้า หาผลประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง ขับไล่พวกเห็นต่างออกไป ยัดเยียดข้อหาคนเห็นแก่ตัว

วันนี้ (23 มิ.ย.) จากกรณีที่มีเว็บไซต์แห่งหนึ่งนำเสนอรายงานเกี่ยวกับโครงการสวนศิลป์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ (พิพิธภัณฑ์ชุมชนตลาดน้อย) ซึ่งดำเนินการโดยกลุ่มคนที่ใช้ชื่อว่า ‘กลุ่มคนรักตลาดน้อย’ ร่วมกับทีมสถาปนิกจากสถาปนิกชุมชนและสิ่งแวดล้อมอาศรมศิลป์ สถาบันอาศรมศิลป์ โดยมี นายจุฤทธิ์ กังวานภูมิ และ น.ส.ประภาพร บำรุงไทย นำที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยเฉพาะอู่หลียุ่นเชียง ซึ่งเป็นโรงกลึงเก่าแก่ อายุเกือบ 100 ปี ริมท่าน้ำภานุรังษี รวม 200 ตารางวา จากกรมธนารักษ์มาพัฒนาเป็นพิพิธภัณฑ์ ตามนโยบาย Healthy City หรือเมืองสุขภาวะ ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยมีมูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป ของกลุ่มนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ และนางปองขวัญ ลาซูส เสนอแนวคิดอนุสรณ์ถึง อ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ และผลักดันโดยการเขียนจดหมายขอคืนพื้นที่จากกรมธนารักษ์ โดยมี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รมว.คลังในขณะนั้น และ นายนริศ ชัยสูตร อธิบดีกรมธนารักษ์ ในขณะนั้น เจรจากับผู้เช่าเดิมขอคืนพื้นที่จนนำมาก่อสร้างในที่สุด

ล่าสุด เฟซบุ๊ก Karjvit Rirermvanich ซึ่งเป็นผู้อาศัยในอู่หลียุ่นเชียงเดิม โพสต์เฟซบุ๊กถึงเบื้องหลังที่ถูกกรมธนารักษ์ขอคืนพื้นที่ซึ่งครอบครัวอยู่อาศัยมานานกว่าครึ่งชีวิต หลังรายงานในเว็บไซต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ระบุว่า เรื่องราวจบไปนานแล้ว ครอบครัวเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แสดงความยินดีอย่างจริงใจด้วยวาจาไปแล้ว กับรางวัลสถาปัตยกรรมยอดเยี่ยมจากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ตนไม่มีปัญหา เพราะการมีสวนสาธารณะ การร่วมมือร่วมใจกันทำประโยชน์ให้ผู้อื่น และการที่หน่วยงานรัฐเล็งเห็นความสำคัญของชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนดีแน่นอน ความร่วมมือใดที่พอทำได้ตนก็ทำ เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะตีรวนปัญหาเดียวที่ตนมีคือความดี

“นอนอยู่กับบ้านดีๆ มีกลุ่มคนแถวบ้านที่ไม่ได้รู้จักอะไรกันมาก่อน ไม่เคยมีเรื่องโกรธแค้นโกรธเคืองอะไรกัน รวมตัวกันไล่ผมและครอบครัวออกจากบ้าน บอกว่า มีข่าวบ้านเราประกาศขาย ผมเดินเข้าไปบอกว่าก็นี่ไง ผมมาบอกอยู่นี่ว่าไม่ได้จะขาย เอาเงินมากองตรงนี้ตอนนี้ยังไม่คิดจะเอา เป็นมติของชุมชน ทำประชาพิจารณ์กันมาแล้ว เค้าว่าอย่างนั้น ไปถามเฮียข้างบ้าน เฮียในเซียงกง ถามเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยว ไม่เห็นมีใครรู้เรื่อง ผมเดินเข้าเดินออกบ้านทุกวันไม่เห็นเคยรู้เรื่อง สำนักข่าวไหนสนใจเรื่องเล็กๆ เรื่องนี้ อยากฟังความจากประชาชน ผมขอเรียนเชิญไปถามชาวบ้านในตลาดน้อยได้ ว่าเขารู้เรื่องและเห็นด้วยกับเรื่องนี้หรือไม่” เฟซบุ๊ก Karjvit Rirermvanich กล่าว

เจ้าของโพสต์กล่าวว่า ที่ผ่านมา การประชาพิจารณ์ ทำในหมู่พวกเดียวกันเอง ที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน ไม่เรียกคนที่ไม่เห็นด้วยเข้าร่วม และคนที่ไม่เห็นด้วยถูกป้ายสีว่าเป็นผู้ร้าย เป็นพวกเห็นแก่ตัว แล้วใครมีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าบ้านใครมีคุณค่าหรือไม่มีคุณค่า รู้ตัวอีกทีก็มีจดหมายมาที่บ้านแล้ว ในนามของการเป็นเจ้าของความดี เป็นคนรักชุมชน เป็นสถาปนิกชุมชน เป็นผู้เสียสละ อุทิศตนเพื่อรับใช้สังคม มีความเห็นตรงกันว่า ตนในนามของการเป็นเจ้าของความดี เป็นคนรักชุมชน เป็นสถาปนิกชุมชน เป็นผู้เสียสละ อุทิศตนเพื่อรับใช้สังคม มีความเห็นตรงกันว่า ตนและครอบครัวควรถูกไล่ออกไป บ้านและโรงกลึงก็เก่าแล้ว สมควรเป็นไปเพื่อสาธารณะประโยชน์ เห็นบ้านเก่าแล้ว ก็เลยนึกว่ารวยแล้ว ย้ายไปอยู่ที่อื่น มีบ้านสวยๆ อยู่กันหมดแล้ว ไม่สามารถจะช่วยอะไรได้จริงๆ เป็นมติของชุมชน

“ปัญหาเดียวที่ผมมี คือ การเอาความดีมาขึ้นป้าย เอาประโยชน์ส่วนรวมมาบังหน้า หาผลประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง ขับไล่พวกเห็นต่างออกไป และในความเป็นเจ้าของความดี เจ้าของความรัก เจ้าของความเสียสละที่ตัวเองตั้งขึ้นมาให้กับตัวเอง กับคนอื่น ในที่นี้คือผม ถูกยัดเยียดให้เป็นคนเห็นแก่ตัว คนที่ไม่รักชุมชน เล็งเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่รักตลาดน้อยก็อย่าอยู่เลยตลาดน้อย เสียใจ โกรธ แน่นอนผมเป็นมนุษย์ เสียใจที่บ้านถูกยึดนั้นเรื่องหนึ่ง แต่ที่ค้างอยู่ในใจ ตกตะกอนดิ่งลึก หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ คือคำถามที่ว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันมีความสมเหตุสมผลอยู่ที่ตรงไหน แต่เมื่อเกมจบ วันเวลาเลยผ่าน ฝุ่นหายตลบแล้ว ปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้ว เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ค่อยแปลกใจ บ้านเมืองเราในภาพใหญ่ มันก็เหมือนเรื่องนี้ไม่มีผิด” เฟซบุ๊ก Karjvit Rirermvanich กล่าว

ในตอนท้าย เจ้าของโพสต์กล่าวว่า ขอบคุณผู้ใหญ่ในวงการสถาปัตย์ และอาจารย์ที่รับฟังเรื่องราว และหลายคนยินดียื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ขอบคุณทุกฝ่ายที่ช่วยเหลือและให้กำลังใจ ในวันที่ต้องย้ายออกจากพื้นที่ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ราชการหลายคน และเชื่อว่าจะไม่มีครอบครัวไหนต้องประสบพบเจอกับเรื่องแบบนี้อีก และวันหนึ่ง ประเทศชาติบ้านเมืองของเราจะหลุดพ้นจากวงจรอันน่าสมเพชนี้เสียที

อย่างไรก็ตาม เจ้าของโพสต์ระบุอีกครั้งว่า เรื่องทั้งหมดก็จบและผ่านไปนานหลายปีแล้ว ไม่มีจุดประสงค์จะขยายผลอะไรเพราะสวนและอาคารก็สร้างเสร็จแล้ว หวังว่าจะได้รับการบริหารจัดการที่ดี ไม่เสียของ ให้มีประโยชน์จริงๆ เท่านั้น แต่หลายข้อความเห็นว่าเป็นความเพียงข้างเดียว จึงคิดว่าจำเป็นต้องเล่าเรื่องในฝั่งของตนที่ไม่มีพื้นที่ในสื่อเพียงเท่านั้น









กำลังโหลดความคิดเห็น