กรุงเทพฯและธนบุรี เป็นจังหวัดคู่แฝดที่แยกกันไม่ค่อยออก จังหวัดธนบุรีเป็นนครหลวงในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช ระหว่าง พ.ศ.๒๓๑๐ - พ.ศ.๒๓๒๕ ก่อนพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจะทรงย้ายพระราชวังมาอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ก็ไม่ได้ย้ายออกจากกรุงธนบุรี ยังอยู่ภายในเขตคูเมืองของกรุงธนบุรี คือ “คลองคูเมืองเดิม” จากปากคลองตลาดมาถึงใต้สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าในปัจจุบัน ซึ่งเป็นคูเมืองของกรุงธนบุรี
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.๒๔๕๗ รวมกรุงเทพมหานครและธนบุรี ทั้งนนทบุรี ปทุมธานี นครเขื่อนขันธ์ สมุทรปราการ ธัญบุรี และมีนบุรี เป็นมณฑลกรุงเทพมหานคร มีเสนาบดีเป็นผู้รับผิดชอบ
ต่อมาได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๔๗๖ ให้จัดระบบการปกครองประเทศ แบ่งหน่วยการปกครองออกเป็น จังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน มณฑลกรุงเทพมหานครจึงถูกแยกออกเป็นจังหวัด มี จังหวัดพระนคร และ จังหวัดธนบุรีด้วย มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารงานของจังหวัด
ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๔ ได้มีประกาศคณะปฏิวัติให้ปรับปรุงระบบการปกครองจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี ให้รวมจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรีเข้าด้วยกัน เป็น จังหวัดนครหลวงกรุงเทพธนบุรี มีผู้ว่าราชการจังหวัดบริหารงานเช่นเดิม
ต่อมาในวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ คณะปฏิวัติได้มีประกาศฉบับที่ ๓๓๕ ให้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองนครหลวงกรุงเทพธนบุรีใหม่อีกครั้ง คือ ให้รวมกิจการปกครองนครหลวงกรุงเทพธนบุรี องค์การบริหารนครหลวงกรุงเทพธนบุรี เทศบาลนครหลวงกรุงเทพธนบุรี ตลอดจนสุขาภิบาลต่างๆในเขตนครหลวงกรุงเทพธนบุรี เป็นหน่วยการปกครองเดียวกัน คือ "กรุงเทพมหานคร" ให้มีผู้ว่าราชการและรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นข้าราชการการเมือง แต่งตั้งและถอดถอนโดยคณะรัฐมนตรี และให้มีสภากรุงเทพมหานคร ประกอบด้วยสมาชิกซึ่งราษฎรเลือกตั้ง เขตละหนึ่งคน และผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้ง มีจำนวนเท่ากับจำนวนเขตในกรุงเทพมหานคร
ต่อมา เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารกรุงเทพมหานคร มีผลให้ กรุงเทพมหานครมีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นนครหลวง และให้แบ่งเขตพื้นที่ปกครองของกรุงเทพมหานครออกเป็นเขตและแขวงตามลำดับ มีผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ๑ คน และรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร อีก ๔ คน ทั้งหมดมาจากการเลือกตั้ง และให้มีสมาชิกสภากรุงเทพมหานครมาจากการเลือกตั้งของประชาชนในเขตปกครอง เขตละ ๑ คน ถ้าเขตใดมีประชาชนเกิน ๑๕๐,๐๐๐ คน สามารถเลือกจำนวนสมาชิกสภากรุงเทพมหานครเพิ่มได้อีก ๑ คน
ในวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๒๘ ได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ กำหนดการบริหารกรุงเทพมหานคร ให้เลือกผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเพียงคนเดียว ส่วนรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอีก ๔ คน ให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นคนแต่งตั้ง นอกจากนี้ยังมีบทบัญญัติเกี่ยวกับสภาเขตที่ประชาชนเลือกตั้งเข้ามา เป็นตัวแทนสอดส่องดูแลการดำเนินงานของเขต เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนอย่างน้อยเขตละ ๗ คน ซึ่งก็คือระบบการบริหารกรุงเทพมหานครในปัจจุบัน
ถึงแม้กรุงเทพฯและธนบุรีจะรวมกันอย่างแน่นแฟ้นเป็น กรุงเทพมหานคร แล้วก็ตาม แต่ความคิดที่จะให้แยกกลับไปเป็นจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรีก็ยังมีเสมอมา
ในปี ๒๕๑๙ พรรคประชาธิปัตย์ก็เคยขานรับคำเรียกร้องของชาวฝั่งธน ขอแยกตัวออกจากกรุงเทพมหานคร จึงยื่นเสนอเรื่องนี้ต่อสภาผู้แทนราษฎร แต่เมื่อสภารับหลักการในวาระที่ ๑ แล้ว ก็ถูกรัฐประหารไปในวันที่ ๖ ตุลาคม พ.ร.บ.แยกกรุงเทพฯ-ธนบุรีจึงตกไป ต่อมาในปี ๒๕๒๖ ก็ได้รับคำเรียกร้องจากชาวธนบุรีอีก แต่ก่อนที่จะนำ พ.ร.บ.ฉบับนี้เสนอต่อสภาอีกครั้ง พรรคประชาธิปัตย์จึงทำการสำรวจประชามติ โดยใช้นักศึกษา ๒๐๐ คน สำรวจความเห็นจากประชาชน ๓,๐๐๖ คนจาก ๑๐ อาชีพ ใน ๙ เขตฝั่งธนบุรี ซึ่งนายพิชัย รัตตกุล หัวหน้าพรรค ได้แถลงผลของการสำรวจประชามติในครั้งนี้เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๒๖ ว่า ผู้มีความเห็นให้แยก ๑,๒๙๖ คน เป็นร้อยละ ๔๓.๑๖ ผู้ไม่เห็นด้วย ๑,๓๘๖ ราย เป็นร้อยละ ๔๖.๑๑ และ ๓๒๒ ราย หรือร้อยละ ๑๐.๗๑ ไม่ออกความเห็น เมื่อความเห็นออกมาเช่นนี้ แม้จะใกล้เคียงกัน ความคิดแยกกรุงเทพฯ-ธนบุรีจึงตกไปจนบัดนี้
ใครอยู่ว่างๆไม่มีอะไรทำก็ลองเสนอใหม่ดูอีกทีก็ได้