ไข่ ที่ เป็ดหรือไก่ เบ่งออกมาทางบั้นท้ายนี่แหละ อย่าคิดว่าไม่สำคัญ มีบทบาททั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และส่งเสริมการท่องเที่ยวมาแล้ว
ถ้าจะวัดฝีมือด้านเศรษฐกิจ ก็จะพูดกันว่า
“ไข่ชาติชายใบละบาท ไข่ชวลิตใบละห้าสลึง ไข่ชวนใบละหกสลึง ไข่ทักษิณล่อเข้าไปถึงใบละสามบาท”
แม้แต่ยิ่งลักษณ์ นางสาวแท้ๆ ก็ยังมีปัญหาไข่กับเขาด้วย
ส่วนไข่ลุงตู่ นึกว่าไม่มีปัญหาแล้ว แต่เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคมที่ผ่านมาอธิบดีกรมปศุสัตว์ได้ชี้แจงว่า ที่มีข่าวส่งต่อกันในสังคมออนไลน์ว่า “ขายไข่ ต้องมีใบอนุญาต” หากไม่มีจะมีโทษทั้งจำทั้งปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท ตาม พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ.๒๕๕๘ นั้น ปัจจุบันดำเนินการเฉพาะผู้ค้ารายใหญ่ ยังไม่ควบคุมถึงผู้ค้ารายย่อย วิธีพิจารณาจะไม่ให้เกิดความเดือดร้อนต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง
แสดงว่า เรื่องนี้ไม่มีปัญหา ไม่ต้องวิตกเรื่อง “ไข่ลุงตู่”
ความจริงไข่เป็นอาหารดีราคาถูก ได้รับความนิยมและบางทีก็เป็นความจำเป็นที่ต้องกินกันเกือบทุกวัน แล้วก็ขึ้นราคาเหมือนสินค้าอื่นๆนั่นแหละ แต่ถือกันว่าไข่เป็นตัวเปรียบเปรยด้านเศรษฐกิจ
ไข่นอกจากเป็นอาหารประจำของคนรวยและคนจนแล้ว ยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทยให้ลือลั่นไปทั้งโลกด้วย ไม่รู้ว่าเป็นไอเดียของใครที่คิดสูตรข้าวโปะไข่เจียวออกมา ทอดกันร้อนๆใส่กล่อง มีซอส มีช้อนให้เสร็จ กลายเป็นอาหารยอดฮิตของนักท่องเที่ยวแถวถนนข้าวสารและราชดำเนิน แรกๆก็แค่ ๑๐ บาท แม้ฮิตแล้วขึ้นไปถึง ๒๐ บาท เมื่อเทียบกับเงินอเมริกันก็ยังห่าง ๑ ดอลลาร์ จะหาอาหารในเมืองท่องเที่ยวทั้งโลกถูกแบบนี้ไม่มีอีกแล้ว นักท่องเที่ยวที่ต้องการประหยัดเงินเพื่อเที่ยวได้นานๆ จึงกินข้าวไข่เจียวเป็นอาหารหลัก แถมขึ้นรถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชนคนไทยซะอีก อเมซิ่งไทยแลนด์สุดๆไปเลย
แม้ไข่จะราคาถูก บางทีก็ออกมาจนล้นตลาด ทำให้ราคาไข่ตกลงไปอีก จนคนเลี้ยงไก่ไข่เดือดร้อนกันเป็นแถว รัฐบาลต้องยื่นมือเข้าช่วยไม่ให้ไข่ราคาตก ไม่ยักดีใจที่จะได้หน้าว่าเป็น “นายกฯไข่ถูก”
ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ตอนเป็น ส.ส.ฉะเชิงเทรา จังหวัดที่เลี้ยงไก่ไข่กันมาก ก็เคยคิดช่วยคนที่ลงคะแนนให้ โดยเอาไข่มาทำเป็นผงส่งนอกตอนไข่ล้นตลาด เลยได้ฉายาว่า “ดร.ไข่ผง”
เมื่อปี ๒๔๙๐ “คณะรัฐประหาร ๘ พฤศจิกา” เอานายควง อภัยวงศ์ มาเป็นนายกฯขัดตาทัพ เพราะคนที่ยึดอำนาจมาได้เกิดกระดากที่จะขึ้นเป็นนายกฯเอง แต่พอหายกระดากอยากจะให้นายควงลงจากเก้าอี้ ก็เก็บไข่เป็ดจนหมดตลาด ตอนนั้นคนไทยกินแต่ไข่เป็ด ส่วนไข่ไก่ยังไม่มีใครเลี้ยงขาย แล้วโจมตีว่านายควงบริหารบ้านเมืองไม่ดี แม้แต่ไข่ยังไม่มีกิน แต่พอนายควงลาออก จอมพล ป.พิบูลสงคราม ขึ้นเป็นนายกฯเอง ไข่ก็ทะลักออกมาเต็มตลาด ทำเอานายควงคนรวยอารมณ์ขันหัวเราะก๊าก บอกว่า
“ถ้าผมรู้ว่าจอมพล ป. เป็นนายกฯแล้วเป็ดมันถึงจะยอมออกไข่ ผมลาออกให้เป็นเสียนานแล้ว”
ในต่างประเทศ เวลาเขาไม่พอใจนักการเมืองคนไหน เขาก็ใช้ไข่นี้แหละขว้าง เอาแค่ให้อาย ไม่ต้องถึงเจ็บ ซึ่งก็น่ารักว่าการเอา “อึ” ขว้างเป็นไหนๆ ไม่เชื่อถาม ท่านอุทัย พิมพ์ใจชน ดูก็ได้
ในยุคหนึ่ง ไข่มีความสำคัญถึงขั้นเป็นปัญหาของบ้านเมือง เป็นสินค้าที่ต้องควบคุมราคา และห้ามนำออกนอกราชอาณาจักร เลยทำให้คนต้องติดคุกเพราะไข่
อย่างคำพิพากษาศาลในปี ๒๔๙๓ ตำรวจจับ นางเชื่อม เนียมกลิ่น ฐานค้าไข่เป็ดจืดเกินราคาควบคุมของจังหวัดธนบุรีไป ๓๐ สตางค์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ริบเงิน ๓๐ สตางค์นั้น แล้วปรับฐานค้ากำไรเกินควร ๕๐๐ บาท ลดฐานสารภาพเหลือ ๒๕๐ บาท ส่วนที่โจทก์ขอให้จ่ายเงินรางวัลจับ ศาลว่ามี พ.ร.บ.ให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิดอยู่แล้ว ให้ยกข้อนี้ไป ไม่ต้องจ่าย
โจทก์คืออัยการยื่นอุทธรณ์ ขอให้จ่ายเงินรางวัลจับแก่ตำรวจ และสู้กันถึงศาลฎีกา ซึ่งศาลสุดท้ายพิพากษาว่า ที่ศาลชั้นต้นให้ริบเงิน ๓๐ สตางค์ไว้นั้น ไม่มีอำนาจริบ ให้คืนเขาไป เพราะริบได้แต่ของที่ห้ามค้ากำไรเกินควร จะริบเงินค่าขายไม่ได้ ส่วนเงินค่าจับนั้น พ.ร.บ.บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิดให้จ่ายร้อยละ ๒๐ ของค่าปรับ ร้อยละ ๒๐ ของ ๒๕๐ ก็แค่ ๕๐ บาทเนี่ยนะ สู้กันถึง ๓ ศาล
ไข่ทำเรื่องวุ่นๆ หรือคนไม่มีงานทำเกิดขยัน
อีกเรื่อง ขายไข่เกินราคาเหมือนกัน พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง เด็กหญิงนี หรือ เซียมเอง แซ่ล้อ ฐานขายไข่เป็ดจืด ๓ ใบในราคา ๙๕ สตางค์ เกินราคาควบคุมไป ๕ สตางค์ ตำรวจยึดเงินของกลางไว้
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยเป็นเด็ก ให้ว่ากล่าวแล้วปล่อยตัวไป โจทก์ก็ยื่นอุทธรณ์จนถึงฎีกาขอให้จ่ายเงินรางวัลจับแก่ตำรวจอีก คดีนี้ศาลฎีกาก็ให้คืนเงินของกลาง ๙๕ สตางค์เช่นกัน แต่เงินรางวัลจับนั้น ศาลว่ากฎหมายให้ร้อยละ ๒๐ ของค่าปรับ แต่เรื่องนี้ไม่มีค่าปรับแล้วจะมาเอาอะไร
อุตส่าห์ร้องถึง ๓ ศาลเลยแห้ว!
อีกเรื่อง จากคำพิพากษาฎีกาเหมือนกัน เหตุเกิดในคืนวันที่ ๑๒ ต่อ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๔๙๑ จำเลยเอาไข่เป็ด ๒๗,๙๐๐ ฟองบรรทุกรถวิ่งมุ่งไปทางด่านพรมแดนที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา อีก ๓๐๐ เมตรจะถึงด่านก็ถูกตำรวจจับ แล้วส่งฟ้องศาลฐานนำสินค้าต้องห้ามออกนอกพระราชอาณาจักร
จำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้นำออก แต่เอาไข่ติดรถไปส่งสินค้าแถวนั้น แล้วจะเอาไข่ไปส่งตลาดเบตง แต่ถนนตรงนั้นแคบ เลยวิ่งไปหาที่กลับรถ ก็ถูกตำรวจจับเสียก่อน
ฟังคำแก้ตัวก็เข้าท่า ยังไม่ถึงพรมแดน แล้วจะหาว่าออกนอกราชอาณาจักรได้อย่างไร
คดีนี้ศาลฎีกาพิพากษาตัดสินว่า ถึงยังไม่พ้นพรมแดนห่าง ๓๐๐ เมตร ก็ถือว่าเป็นการลงมือกระทำการเพื่อออกนอกพระราชอาณาจักรแล้ว
ในที่สุดก็พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ที่ให้จำคุกจำเลย ๒ คนๆละ ๒ ปี และปรับ ๔ เท่าของราคาไข่เป็นเงิน ๔๐,๙๒๐ บาท ถ้าไม่ชำระค่าปรับก็ให้จำคุกแทนอีกคนละ ๖ เดือน
“คนขนไข่” “คนขายไข่” มีสิทธิ์ติดคุก แต่ “คนช็อตไข่” เห็นลอยนวลกันทุกราย