ผู้ชายที่ชอบนั่งดูปลาทองตอนเช้า, ผู้ชายที่ส่ายเอวได้สะท้านอารมณ์, ผู้ชายที่คอยเก็บขวดน้ำหลังคลาสเรียน และผู้ชายที่ร้องเพลงเพี้ยนไปบ้าง (แต่ก็พยายามแล้ว)..คือส่วนหนึ่งของ "ภาพจำ" ที่กลุ่มแฟนคลับของ "เต๋า-เศรษฐพงศ์ เพียงพอ" ทราบกันดีเมื่อครั้งประกวดทรู อคาเดมี่ แฟนเทเชีย ซีซั่น 8 รวมไปถึงฉายา หนุ่มกลูต้า มาเฟีย แวมไพร์ ที่กลายเป็นเครื่องหมายการค้าของ "เต๋า" ณ เวลานั้น
ถึงวันนี้ ผ่านมา 8 ปีแล้ว เต๋าในวัย 28 ปี ยังคงโลดแล่นบนเส้นทางสายบันเทิง โดยมีทั้งผลงานเพลง ซีรีส์ และภาพยนตร์ โดยเรื่องล่าสุดที่เพิ่งออกโรงไป คือ สิ้นสามต่อน หนังโรแมนติกคอมเมดี้จากค่ายเอ็ม พิคเจอร์ส ซึ่งได้ หม่ำ เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา นั่งแท่นโปรดิวเซอร์ควบคุมงานสร้าง
"ผมก็ยังงงตัวเองอยู่เลยว่า มาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร (หัวเราะ) จากคนประกวดร้องเพลงธรรมดาๆ ร้องเพลงเพี้ยนที่สุดในบ้านเอเอฟ แล้วก็ฟลุคจนมาอยู่ได้ที่ 5 พอออกมาจากบ้านก็มีงานแสดงเข้ามา และชีวิตก็มุ่งมาทางนี้ตลอด พอมองย้อนกลับไปมันก็ตลกดีเหมือนกันนะ (ยิ้ม)
ด้วยความเป็นที่รักของแฟนคลับ และมักจะได้รับโอกาสดีๆ จากผู้ใหญ่อยู่บ่อยๆ เต๋าเติบโตมาในครอบครัวแบบไหน คือสิ่งที่หลายคนอยากรู้
"ตอนเด็กๆ ผมอยู่กับพ่อแม่ครับ ผมโตขึ้นมา สัก ป.5 ก็ไปอยู่กับป้า 2 ปี แล้วกลับมาอยู่ที่บ้าน ซึ่งการเลี้ยงดูของพ่อแม่ ไม่เข้มงวดมาก แม้ว่าแม่จะเป็นพยาบาล แต่ก็ไม่ได้ถูกบังคับว่าจะต้องเรียนสายวิทย์นะ แม้จะบอกเต็มที่เลย อยากเล่นฟุตบอล บาสเก็ตบอล หรือเทควันโด เล่นให้เต็มที่เลย แต่ถ้าเล่นเกมเยอะ ผมก็จะถูกเตือนละ (หัวเราะ) ผมโชคดีที่บ้านไม่กดดัน และไม่เคยตี มีแต่ป้าที่ฟาด ป้าบๆๆๆ เพราะเอาแป้งมาเทเล่นเต็มบ้าน ด้วยตอนนั้นอยากเล่นหิมะครับ (ยิ้มกวนๆ) ซึ่งมันก็น่าตีจริงๆ" หนุ่มเอเชี่ยน ลูกครึ่งเวียดนามกาฬสินธุ์ เล่าไปยิ้มไป ก่อนจะไขสงสัย ทำไมถึงขาวอะไรเบอร์นั้น
"เมื่อก่อนขาวกว่านี้นะ ขาวหยวกเลย มาดำขึ้นตอนเป็นดารานี่แหละครับ ที่บ้านผมขาวกันหมดนะ แต่ผมขาวที่สุด ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมคงโชคดีด้วยครับ โชคดีที่ขาว และอยู่เมืองไทย เพราะคนไทยส่วนใหญ่ชอบคนขาว (ยิ้ม) แต่พอไปต่างประเทศ ผมนี่ไม่มีใครมองเลย"
ถามถึงรูปร่างหน้าตา และนิสัยใจคอ "หัวใจศิลปินผมได้พ่อมาเลยครับ" เต๋าบอก "พ่อเป็นนักดนตรี เล่นกีตาร์ เมื่อก่อนพ่อมีวงเพื่อชีวิต รุ่นเดียวกับเสือ ธนพล เป็นเพื่อนกัน อยู่วงเดียวกัน พ่อเป็นคนชิลๆ ซึ่งผมก็ได้ตรงนี้มาเต็มๆ (หัวเราะ) ส่วนหน้าตาคงได้แม่มาครับ (ยิ้ม) แม่ผมเป็นคนเรียนเก่ง เป็นพยาบาล และมักจะบอกผมตลอดว่า อย่าเป็นนะหมอ พยาบาล มันเหนื่อย"
เหนือสิ่งอื่นใด ความน่ารักของเต๋าอีก 2 เรื่องคือ ความสำนึกรักบ้านเกิด และเป็นผู้ชายที่รักครอบครัว
"เวลามีซีรีส์ หรือหนังติดต่อเข้ามา และต้องพูดภาษาอีสาน ผมไม่คิดเยอะเลยนะ ผมตัดสินใจเล่นทันที เพราะผมอยากให้คนอื่นๆ เห็นว่าผมคือคนอีสาน เป็นคนกาฬสินธุ์ นั่นเพราะมันคือตัวผม ซึ่งผมมองว่ามันน่ารักดีนะ หนังที่เกี่ยวกับบ้านเกิด"
ส่วนเป้าหมายต่อจากนี้ "ใช้หนี้ให้ตัวเองครับ" เต๋าบอก "ผมมีภาระต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ส่วนหนี้ของที่บ้านผมใช้ให้หมดแล้ว เมื่อก่อนเป็นหนี้ธนาคาร พอผมเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง ก็ใช้หนี้จนหมดตั้งแต่ปีแรกๆ เลย ตอนนี้ผมสร้างหนี้เอง (หัวเราะ) เพราะซื้อบ้านที่กรุงเทพฯ ให้ครอบครัวมาอยู่รวมกัน ไม่ว่าจะพ่อ ป้า น้อง เหลือก็แต่แม่ที่ยังไม่เกษียณ"
สุดท้าย เต๋าบอกว่า การเป็นที่รัก และได้รับโอกาสดีๆ จากผู้ใหญ่อยู่เสมอๆ ไม่ใช่เพราะตัวเองเจ๊ง แต่เพราะการให้ใจกับทุกงาน และทุกคนอย่างเต็มร้อย
"ผมเข้ากับคนง่าย เข้าถึงได้ไม่ยาก แล้วก็จริงใจครับ ผมเป็นคนจริงใจกับทุกคน ผมชอบให้ใจไปก่อน ใครไม่ให้ใจ เราก็เอาคืนมา"
5 ที่สุดในชีวิต "เต๋า เศรษฐพงศ์"
ตลอด 8 ปีบนเส้นทางสายบันเทิง นี่คือ 5 ที่สุดในชีวิตของ "เต๋า" ซึ่งบางเรื่องบางมุมยังไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน
รักที่สุด
"ผมรักครอบครัวมากครับ ผมทำทุกอย่างในทุกวันนี้ก็เพื่อครอบครัวของผม ผมซื้อบ้านที่กรุงเทพฯ ก็เพื่อให้ครอบครัวที่กาฬสินธุ์มาอยู่ด้วยกันที่นี่ เพราะอยากให้อยู่กันพร้อมหน้า ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา และจะได้ไม่เหงาด้วย นอกจากนั้น ผมทำงาน หาเงินส่งน้องๆ เรียน ตอนนี้น้องชายเรียนจบแล้ว เหลือน้องสาวที่ใกล้จะจบอีกคน พอหมดตรงนี้ก็ทำงานเก็บให้ที่บ้านใช้ครับ (ยิ้ม)"
แสบที่สุด
"ตอนม.ต้น เลยครับ มีทั้งไปแว้นมอ'ไซค์ แต่งรถผ่าท่อ ขับรถหนีตำรวจ เพราะไม่สวมหมวกกันน็อค ที่หนักกว่านั้นคือ ทำอาจารย์ร้องไห้ ด้วยการปิดประตูไม่ให้อาจารย์เข้ามาสอน จนอาจารย์ร้องไห้ ตอนนั้นพวกผมไม่ได้ตั้งใจ และได้ทำการขอโทษอาจารย์ไปแล้วครับ"
สุขที่สุด
"ตอนได้กินครับ (ยิ้ม) ผมชอบกินมาก โดยเฉพาะอาหารอีสาน และเครื่องในย่าง เช่น กึ๋นย่าง หัวใจย่าง แซ่บมาก (ลากเสียงยาว) นอกจากนั้นก็มีต้มสมองวัว สมองหมู มันจะมันๆ หน่อย อร่อยครับ"
เศร้าที่สุด
"..(นิ่งคิด) เหตุเกิดในวัยเด็กครับ สุนัขตัวแรกหายไป ขับรถออกไปตามก็ไม่เจอ พอโตขึ้นมา เหตุการณ์ที่เสียใจที่สุดคือ การจากไปของคุณย่า (ชาวเวียดนาม) อันเป็นที่รัก คุณย่าดุแต่น่ารัก คอยดูแลเลี้ยงดูผม ซึ่งผมรู้สึกผิดที่ยังไม่มีโอกาสได้ดูแลคุณย่าอย่างเต็มที่"
โกรธที่สุด
"ผมไม่ค่อยโกรธใครเท่าไรนะ แต่โกรธจริงๆ ก็คงโดนเพื่อนแกล้งตอนป.3 เอากรรไกรมาตั้งที่เก้าอี้ แล้วผมก็นั่งทับลงไป ถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง โรงพยาบาลเลยครับ (หัวเราะ) แล้วแม่ผมนี่แหละเป็นคนเย็บแผลให้ หลังจากนั้นพอรู้ว่าเพื่อนโดนฟาดหน้าเสาธง ผมก็หายโกรธ เพราะถูกทำโทษหนักทีเดียว"
ภาพ : พลภัทรวรรณดี / ไอจี @taophiangphor