พี่ ป้า น้า อา ตลอดจนถึง ปู่ ย่า ตา ยาย เป็นคำที่อบอุ่นและมหัศจรรย์ยิ่งในความเป็นไทย เมื่อเราเอ่ยเรียกหรือถูกเรียก พลันก็จะเกิดความรักใคร่สนิทสนมกันขึ้นมาทันที แม้จะเป็นคนที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อนก็ตาม ทั้งนี้ก็เพราะเป็นวัฒนธรรมที่สืบต่อกันมาอย่างยาวนานจนอยู่ในสายเลือดว่า คนไทยทั้งผองนั้นเป็นพี่น้องกัน ไม่ว่าบรรพบุรุษของเขาจะเป็นมอญ พม่า ลาว เขมร จีน ญวน อินเดีย หรือไกลถึงเปอร์เซีย อย่างสกุลของผู้เขียน หากเกิดในแผ่นดินไทย ต่างก็รู้สำนึกว่าเราเป็นคนไทย มีสิทธิและหน้าที่ต้องหวงแหนสืบทอดความเป็นไทย ซึ่งเป็นสังคมที่สงบสุขที่ทั่วโลกก็ยอมรับกันมาตลอด รวมทั้งเสน่ห์บนใบหน้าอย่างยิ้มสยาม
คำที่อบอุ่นและมหัศจรรย์ยิ่งในภาษาไทยนี้ ผู้เขียนยังได้ซาบซึ้งยิ่งขึ้นเมื่อครั้งได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งในชื่อ “รอยเสด็จสี่ภาค เยี่ยมราษฎร” ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชนินาถ ได้เสด็จเยี่ยมราษฎรทั้ง ๔ ภาคครั้งแรกในรัชกาล เป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ ซึ่งพระราชปณิธาน พระราชอัธยาศัย ได้ปรากฏอย่างชัดเจนว่าทรงห่วงใยทุกข์สุขและการทำมาหากินของราษฎร ทรงปรารถนาที่จะหาทางช่วยเหลือให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อีกทั้งพระราชอัธยาศัยอันงดงามเป็นแบบฉบับของกษัตริย์ประชาธิปไตย ทรงวางพระองค์เป็นคนไทยคนหนึ่งที่มีตำแหน่งเป็นพระประมุขของประเทศ ไม่เหลือความเป็นสมมติเทพอีกต่อไป
หนังสือเล่มนี้ผู้เขียนได้ค้นคว้าลำดับความจากหนังสือพิมพ์รายวันในยุคนั้นเป็นหลัก จึงได้เห็นภาพที่ทั้งสองพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปท่ามกลางราษฎรที่มารับเสด็จอย่างมืดฟ้ามัวดินโดยไม่มีการอารักขากีดกันราษฎรไม่ให้เข้าถึงพระองค์ อย่างเช่นการเสด็จจังหวัดนครราชสีมาเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๔๙๘ ในวันนั้นฝนซึ่งไม่ได้ตกในโคราชมานานแล้ว ก็โปรยลงมาขณะแดดอ่อนๆ มหาดเล็กนำพระมาลามาถวาย แต่ทรงปฏิเสธ ทั้งสองพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปในหมู่ราษฎรที่มาเฝ้ารับเสด็จในสายฝน เด็กหญิงคนหนึ่งถูกเบียดจนเซ จึงคว้าพระหัตถ์พระเจ้าอยู่หัวไว้กันล้ม ทรงพระเมตตาให้ราษฎรเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิดในบรรยากาศชุ่มชื่นเป็นเวลากว่า ๒ ชั่วโมง และพระราชดำเนินกว่ากิโลเมตร
รายงานข่าวการรับเสด็จเช่นนี้ แสดงว่าทรงใกล้ชิดราษฎรจนเด็กหญิงคว้าพระหัตถ์กันล้มได้
นอกจากนั้น คำที่รับสั่งกับพสกนิกรก็เหมือนคำที่คนรักใคร่ห่วงใยกันไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกัน และทรงนับญาติลุงป้าตายายกับราษฎรตามธรรมเนียมไทย ไม่เหลือช่องว่างระหว่างกษัตริย์กับประชาชนอีกต่อไป อย่างเช่น
“ย่างมา ๒ วัน ๒ คืน...ขอหอมมือจักหน่อยจะได้บ่”
เมื่อตอนเสด็จฯไปเยี่ยมจังหวัดชัยภูมิ มีประชาชนทั้งในตัวจังหวัดและมาจากอำเภอภูเขียว เกษตรสมบูรณ์ บ้านเขว้า คอนสวรรค์ เฝ้ารอรับเสด็จอยู่ที่หน้าศาลากลางจังหวัดไม่ต่ำกว่า ๕๐,๐๐๐ คน หนังสือพิมพ์ “ไท รายวัน” ฉบับวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๔๙๘ รายงานว่า หนึ่งในผู้ที่มาเฝ้ามี นางดวงคำ ธนศรีรังกูร ซึ่งเป็นแม่ยายของอัยการจังหวัด ได้กราบทูลพระเจ้าอยู่หัวด้วยสำเนียงพื้นเมืองว่า
“ข้าน้อยพูดภาษาอีสาน พระองค์ฟังรู้เรื่องบ่”
ทำให้พระเจ้าอยู่หัวทรงพระสรวล และรับสั่งว่า “พอรู้เรื่องจ้ะ”
เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปถึงชายชราอายุ ๘๐ ปีคนหนึ่ง ทรงรับสั่งถามว่า “ลุงอยู่ที่ไหน”
ชายชราพนมมือตอบด้วยเสียงสั่นว่า “อยู่ที่ตำบลแจ้งคร้อครับ”
ทรงถามว่า “ไกลไหมจ๊ะลุง”
ชายชราทูลตอบว่า “เดินทาง ๒ คืน”
ทรงรับสั่งถามอีกว่า “เดินทางมาด้วยพาหนะอะไร”
ทูลตอบว่า “ย่างมา ๒ วัน ๒ คืน”
ทรงหันไปถาม พระวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ประธานองคมนตรี เมื่อทรงทราบความหมายของคำว่า “ย่าง” แล้ว จึงรับสั่งถามว่า
“ลุงแก่แล้วไม่เหนื่อยหรือ”
ชายชราทำตาลุกโพลง ยกมือขึ้นท่วมหัว ทูลตอบว่า “เจ้าประคุณทูนหัว ไม่เหนื่อยหรอก อยากเห็นเจ้าประคุณ ขอหอมมือจักหน่อยจะได้บ่”
พระเจ้าอยู่หัวทรงยื่นพระหัตถ์ให้ ชายชรายกพระหัตถ์ขึ้นทูลเหนือหัว ก่อนจะหอมพระหัตถ์ แล้วกล่าวว่า
“จะตายก็ไม่ว่า เกิดมาชาตินี้สมปรารถนาแล้ว”
ทำให้พระเจ้าอยู่หัวทรงแย้มพระสรวล
“ไม่กลัวเปื้อนหรือยาย”
ส่วนสมเด็จพระบรมราชินี ทรงทักทายกลุ่มผู้หญิง เด็ก และคนชรา ตอนหนึ่งทรงมีพระราชปฏิสันถารกับหญิงชราที่เอาผ้าปูพื้นให้ประทับรอยพระบาท ทรงพระกรุณาตามความประสงค์ และตรัสถามว่า
“ไม่กลัวเปื้อนหรือยาย”
หญิงชราก้มลงกราบแทบพระบาท ทั้งยังขอแตะพระบาท เมื่อทรงอนุญาตหญิงชราก็ใช้มือลูบขึ้นลูบลงพร้อมกับกล่าวว่า
“แหม เนื้อนิ่มเหลือเกิน สมกับเป็นพระราชินีแท้ๆ ยังสาวสวยอยู่นะเจ้าประคุณทูนหัว ขอให้เจริญๆยิ่งๆเถิด”
สมเด็จฯทรงตอบทุกคำถาม
ที่จังหวัดสุพรรณบุรี สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงตรัสกับราษฎรที่มาเฝ้ารับเสด็จว่า พระองค์มีพระประสงค์จะมาเที่ยวจังหวัดสุพรรณบุรีนานแล้ว เพิ่งจะมีโอกาสมาคราวนี้ และอยากจะมาอาบน้ำเล่นให้สนุก ทรงถามหญิงคนหนึ่งว่า
“จระเข้ในแม่น้ำสุพรรณชุมมากไหมจ๊ะ”
หญิงผู้นั้นทูลตอบว่า “เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วค่ะ”
ราษฎรที่เข้าเฝ้านั้นส่วนใหญ่ต่างไม่ประสีประสาในราชาศัพท์ แต่ทั้งสองพระองค์ก็ไม่ทรงถือสาแต่อย่างไร ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หญิงชราคนหนึ่งได้ทูลถามพระราชินีตามภาษาชาวบ้านว่า
“ยังสาวเหลือเกิน มีลูกกี่คนแล้ว”
สมเด็จฯทรงตอบว่า “สามคนแล้วละจ้ะ เป็นหญิงสองชายหนึ่ง คนเล็กอายุได้ ๕ เดือน ฉันอยากจะพามาเที่ยวด้วย แต่หนทางไกลกลัวไม่สบาย และต้องค้างคืน”
หญิงชราแสดงความประหลาดใจทูลถามว่า “แล้วรับประทานนมที่ไหน”
สมเด็จฯทรงตอบว่า “กินนมกระป๋อง” และตรัสต่อไปว่า “นมของฉันไม่พอให้รับประทาน ฉันต้องกินแกงเลียงทุกวัน ผู้ใหญ่เขาบอกว่าถ้ากินแกงเลียงแล้วจะมีน้ำนมมาก แต่ของฉันก็ไม่มาก”
ตรัสแล้วก็ทรงพระสรวลและชมว่า “คุณป้าคนนี้พูดเก่งจัง”
สมเด็จฯทรงขอโทษควาญช้าง
เมื่อคราวเสด็จฯภูกระดึงเมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน นายทองหนัก สุวรรณสิงห์ ส.ส.จังหวัดเลย ได้เตรียมช้างสำหรับพระองค์ละเชือก แต่สมเด็จพระนางเจ้าฯ มีพระราชประสงค์ประทับช้างเชือกเดียวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
“พ่อเบี่ยง” นายยัน ศิริกันรัตน์ ควาญผู้ฝึกช้างรับเสด็จ เล่าว่า ระหว่างเสด็จทอดพระเนตรธรรมชาติบนภูกระดึงนั้น คราวหนึ่งสมเด็จพระราชินีทรงเหยียดพระบาทมาถูกศีรษะ ทรงรับสั่งว่า
“เท้าฉันถูกตาใช่ไหม ขอโทษนะ”
พ่อเบี่ยงกราบทูลว่า “ไม่เป็นไรครับ”
และมาเล่าภายหลังว่า ดีใจมากที่ได้ถวายการรับใช้ในการเสด็จครั้งนี้ พระบาทถูกหัวก็ถือว่าเป็นมงคล
“บ่ไข้บ่ป่วย เพราะท่านได้เหยียบหัว” พ่อเบี่ยงว่า
สมเด็จฯชูนิ้วรับสั่ง “มีสามคน”
เสด็จพระราชดำเนินต่อไปยังอำเภอม่วงสามสิบ ซึ่งเป็นอำเภอเล็กๆของจังหวัดอุบลราชธานี มีผู้มาเฝ้าราว ๒,๐๐๐ คน แต่ทุกบ้านเรือนก็ตั้งโต๊ะบูชาและจุดธูปเทียนไว้สว่างไสว รถยนต์พระที่นั่งหยุดที่ว่าการอำเภอ ทรงปฏิสันถารกับราษฎรที่มาเฝ้า หญิงชราคนหนึ่งฉวยพระหัตถ์สมเด็จพระราชินีไปกุมไว้
สมเด็จฯได้รับสั่งถึงพระเจ้าอยู่หัวว่า “สบายใจที่ได้มาพบกับราษฎร แม้จะทรงเหน็ดเหนื่อยมากที่ต้องตากแดดจนพระองค์ดำไปหมด และรถยนต์กระแทก แต่ก็ทรงดีใจที่เห็นราษฎรมากันมาก”
หญิงชราทูลถามว่า “มีบุตรกี่คนแล้ว”
ทรงชูนิ้วขึ้นแล้วรับสั่งว่า “มีสามคน แต่คนเล็กยังเล็กมาก พามาด้วยไม่ได้” แล้วเสด็จพระราชดำเนินต่อไป
“ทำบุญอะไรมาจึงสวยอย่างนี้”
เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปอำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก มีราษฎรเรือนหมื่นมานั่งกรำแดดรอเฝ้าเป็นเวลาหลายชั่วโมง เมื่อทั้งสองพระองค์เสด็จมาถึง ทรงทักทายปราศรัยกับราษฎรที่มารอเฝ้า ราษฎรคนหนึ่งได้ถวายเต่าเผือกแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หญิงชราหลายคนได้ถือช่อดอกไม้มารอถวายสมเด็จพระราชินี หญิงชราคนหนึ่งเมื่อถวายช่อดอกไม้แด่สมเด็จฯแล้ว ได้ก้มกราบทูลอวยพรว่า
“ขอให้มีอายุมั่นขวัญยืนเถิด”
จากนั้นก็ร้องขึ้นดังๆว่า “เจ้าประคู้น ทำบุญอะไรมาแต่ไหนหนอ ถึงได้สวยอย่างนี้”
ทำให้ผู้ได้ยินได้ฟังหัวเราะกันครืนใหญ่
สมเด็จพระราชินีก็ทรงพระสรวลด้วย รับสั่งกับหญิงชราว่า “ขอบคุณจ้ะป้า”
“สมเด็จเพคะ ขอจูบมือหน่อย”
ที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อจบพระราชดำรัสแล้ว ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จฯลงจากพลับพลาให้ราษฎรเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด หนังสือพิมพ์ “สารเสรี” ได้รายงานว่า ขณะที่เสด็จพระราชดำเนินอยู่ท่ามกลางราษฎรนั้น มีเสียงจากครูและนักเรียนกลุ่มหนึ่งว่า
“สมเด็จเพคะ ทางนี้เพคะ”
เมื่อสมเด็จพระราชินีหันไปรับของถวายจากครูและนักเรียนกลุ่มนี้แล้ว มีเสียงเยินยอพระสิริโฉมอีกว่า
“สมเด็จเพคะ สมเด็จงามเหลือเกิน”
ซึ่งสมเด็จพระราชินีทรงยิ้ม จากนั้นก็มีเสียงทูลขึ้นว่า
“สมเด็จเพคะ ขอจูบมือหน่อยค่ะ”
เมื่อสมเด็จพระราชินีทรงยื่นพระหัตถ์ให้ ครูและนักเรียนสตรีเหล่านั้นก็แย่งกันชุลมุน หลายคนได้จูบพระหัตถ์ด้วยความปลาบปลื้มและตื่นเต้น เมื่อเสด็จผ่านไปแล้วต่างก็ระงับความในใจไม่อยู่ ถึงกับร้องบอกแกกันว่า
“แหม มือหอมเหลือเกิน นี่ไงเธอไม่เชื่อลองมาดมดูซี ยังมีกลิ่นติดอยู่เลย” ว่าแล้วก็ยื่นมือให้เพื่อนดม และร้องบอกกับตัวเองว่า “สมใจแล้วแหละ อุ๊ย น่าชื่นใจเหลือเกิน”
สาวสันป่าตองจูบพระหัตถ์ในหลวง
ในเช้าวันที่ ๖ มีนาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฉลองพระองค์ในชุดจอมทัพบก สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถฉลองพระองค์ชุดสีดำรัดรูป คาดชายเสื้อด้วยแถบสีแดง ซึ่งชาวเชียงใหม่เรียกกันว่า “ชุดชาวเขา” ได้เสด็จพระราชดำเนินไปที่ว่าการอำเภอหางดงและสันป่าตอง หนังสือพิมพ์ “สารเสรี” รายงานว่า มีราษฎรได้คอยเฝ้าอยู่สองข้างทางเป็นระยะ ที่หน้าว่าการอำเภอสันป่าตองก็มีนับหมื่น ขณะที่ทรงเยี่ยมราษฎรและรับของถวายที่หน้าอำเภอสันป่าตองนั้น หญิงสาวสวยสามคนได้ถวายของแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วทูลขอจูบพระหัตถ์ ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงยื่นให้ตามประสงค์ ทันทีที่คว้าพระหัตถ์ได้ หญิงสาวทั้งสามก็ชิงกันจูบพระหัตถ์ต่อพระพักตร์สมเด็จพระราชินี ซึ่งประทับยืนแย้มพระสรวลอยู่ใกล้ๆ
หญิงชราผู้หนึ่ง หลังจากถวายของแด่สมเด็จพระราชินีแล้ว ได้เอ่ยขึ้นดังๆว่า
“ช่างงามแต้เน้อ”
สมเด็จพระราชินีทรงพระสรวลและรับสั่งว่า “ฉันลูกสามแล้วนะจ้ะป้า” ทำให้คนที่ได้ฟังต่างหัวเราะกันอย่างมีความสุข
หญิงชราอีกคนหนึ่งได้ถวายพระพรสมเด็จพระราชินี “ขอให้บุญรักษา อายุมั่นขวัญยืนครองราชย์ ๑๐๐ ปี อันตรายอย่าได้มากลายใกล้เลย”
เสด็จต่อมา หญิงชราอีกคนหนึ่งทูลถามว่ามีลูกกี่คนแล้ว ซึ่งสมเด็จฯก็ทรงตอบว่ามี ๓ คน แล้วทรงรับสั่งถามกลับว่า
“แล้วยายล่ะจ๊ะ มีกี่คนแล้ว”
ซึ่งยังความปลาบปลื้มประทับใจแก่ผู้เฝ้ารับเสด็จไปตามกัน
นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของพระราชอัธยาศัยของสองล้นเกล้าฯ เมื่อคราวที่เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรครั้งแรกในรัชกาล เป็นช่วงๆตั้งแต่วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๔๙๘ ถึง วันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๐๒ ซึ่งนอกจากจะเป็นแบบฉบับของกษัตริย์ประชาธิปไตย ไม่เหลือช่องว่างระหว่างกษัตริย์กับประชาชนแล้ว ยังทรงเป็นแบบฉบับในการสืบทอดวัฒนธรรมอันดีงามของสังคมไทย อันเป็นสังคมที่มีความอบอุ่น ห่วงใย รักใคร่ เอื้ออาทรต่อกัน ซึ่งหาคำแปลไม่ได้ในภาษาของชาวตะวันตก