1.“บิ๊กตู่” ใช้ ม.44 ให้ “บิ๊กโจ๊ก” พ้น ตร. เป็น ขรก.พลเรือนสำนักนายกฯ ขณะที่เจ้าตัวเข้ารายงานตัวทันที!

ความคืบหน้ากรณี พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ลงนามคำสั่งให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) โดยขาดจากตำแหน่งเดิม มีผลตั้งแต่วันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น
ต่อมา วันที่ 7 เม.ย. ดร.เซปิง ไชยศาสน์ แห่งโครงการเฟซออฟ ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาคดีฉ้อโกงประชาชน หลังถูกผู้เสียหายที่เข้ารับการทำศัลยกรรมแล้วเสียโฉมแจ้งความดำเนินคดี ซึ่ง ดร.เซปิง ถูกทีมงานของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ นำหมายศาลเข้าจับกุมตัวที่หมู่บ้านหรูย่านรัตนาธิเบศร์เมื่อวันที่ 3 เม.ย. รีบออกมาแถลงข่าวว่า ตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ถูกคำสั่งย้าย
ทั้งนี้ มีรายงานว่า จะมีการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ในวันที่ 9 เม.ย. โดยมีวาระสำคัญคือ แต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ซึ่งคาดว่ามีเรื่องโยกย้าย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ด้วย แต่ต่อมา กองสารนิเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเลื่อนการประชุม ก.ตร.เป็นวันที่ 10 เม.ย.แทน
ขณะที่วันที่ 9 เม.ย. ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่คำสั่งหัวหน้า คสช. มีเนื้อหาระบุว่า ตามที่หัวหน้า คสช.เคยมีคำสั่งที่ 16/2558 เรื่อง มาตรการแก้ปัญหาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างถูกตรวจสอบและการกำหนดกรอบอัตรากำลังชั่วคราว เมื่อวันที่ 25 พ.ค.2558 นั้น หัวหน้า คสช.เห็นสมควรประกาศรายชื่อบุคคลเพิ่มเติม โดยให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบช.สตม.อยู่ในบัญชีรายชื่อเพิ่มเติมดังกล่าว โดยขาดจากตำแหน่งหน้าที่และอัตราเงินเดือนเดิม ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อโอนไปเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทบริหารระดับสูง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) และให้นายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงลงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง โดยคำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ด้านที่ประชุม ครม.วันเดียวกัน (9 เม.ย.) ได้มีมติรับทราบการโอนย้าย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์มาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่ได้ร่วมประชุม ครม.โดยลาป่วย ระบุว่าท้องเสีย ยืนยันไม่ได้ต้องการหลีกเลี่ยงการตอบคำถามของสื่อมวลชนกรณีคำสั่งย้าย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ตำรวจคนสนิท พล.อ.ประวิตร แต่อย่างใด
ทั้งนี้ มีรายงานว่า วันเดียวกัน (9 เม.ย.) พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ได้เข้ารายงานตัวที่ ศปก.ตร. ก่อนเดินทางมารายงานตัวและรับทราบภารกิจหน้าที่ในตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ แต่งกายชุดธรรมดา ไม่ได้แต่งเครื่องแบบ และมีสีหน้าเรียบเฉย แต่ไม่ได้มีอาการเคร่งเครียดแต่อย่างใด โดยเข้ารายงานตัวต่อนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ประมาณ 10 นาที
ต่อมา นายวิษณุ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า นายกฯ ได้มอบหมายให้เป็นผู้รับการรายงานตัวจาก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กรณีเข้ามาช่วยราชการ ก่อนจะมีการโปรดเกล้าฯ ให้มีการดำรงตำแหน่งใหม่ ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และจะมีการรายงานตัวในตำแหน่งดังกล่าวอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า การย้าย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์มาเป็นที่ปรึกษาพิเศษฯ ตามคำสั่งหัวหน้า คสช.จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ไม่ทราบ ต้องไปถามทางตำรวจ เพราะคำสั่งหัวหน้า คสช.มีหลายลักษณะ ทั้งมาเพื่อจะสอบสวน สอบสวนแล้วไม่ผิด มาแล้วไม่สอบสวน และสอบสวนแล้วถึงมา และกรณีนี้ไม่ทราบว่าจะมีการสอบสวนหรือไม่ โดยนายวิษณุเผยว่า ต้นเรื่องของการย้าย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ มาครั้งนี้ ไม่มีเรื่องเกี่ยวกับการทุจริต
มีรายงานว่า หลังหัวหน้า คสช.มีคำสั่งให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ พ้นจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาเป็นที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีคำสั่งยกเลิกการประชุม ก.ตร.ที่จะมีขึ้นในวันที่ 10 เม.ย.ออกไปอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากต้องรอให้กระบวนการการพ้นจากตำแหน่ง ผบช.สตม.ของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ สมบูรณ์ตามกฎหมายก่อน
ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 เม.ย. ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจพ้นจากตำแหน่ง และแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ความว่า “มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ พลตำรวจโท สุรเชษฐ์ หักพาล ข้าราชการตำรวจ ซึ่งโอนมาเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ พ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2562"
2.“บิ๊กตู่” นำ ครม.รดน้ำขอพร “ป๋าเปรม” ขณะที่ “ป๋าเปรม” การันตี รบ.ประยุทธ์ไม่โกง ด้าน กกต.ส่งศาล รธน.ตีความสูตรคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์!

เมื่อวันที่ 10 เม.ย. พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้เปิดบ้านสี่เสาเทเวศร์ ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นำคณะรัฐมนตรี เข้ารดน้ำขอพรเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ 2562 เพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิตและการทำงานต่อไป
โอกาสนี้ พล.อ.เปรม ได้กล่าวตอนหนึ่งว่า ขอขอบคุณนายกรัฐมนตรีเพื่อนรักของตน พวกเรามีความยินดีที่ได้เห็นนายกฯ กองทัพกับข้าราชการหน่วยต่างๆ ช่วยดูแลชาติบ้านเมืองจนกระทั่งมาถึงทุกวันนี้ พูดได้เต็มปากว่า รัฐบาลของนายกฯ ไม่โกง เพราะเป็นคนที่เห็นแก่ส่วนรวมจริงๆ ...ที่ผมพูดเสมอว่า รัฐบาลนี้เก่งไม่เก่ง ก็ดูเอาเองก็แล้วกัน บอกได้เลยว่า รัฐบาลนี้ไม่โกง ยืดอกพูดได้เลยว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่โกง แต่ถ้าพูดผิด นายกฯ ก็ต้องไปจัดการ ขอขอบคุณที่ระลึกถึงกันโดยตลอด
ขอให้พระบารมีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นเกราะกำบังให้เราได้ทำแต่ความดีเพื่อชาติบ้านเมืองของเรา ขอให้ทุกคนมีแต่ความดีในตัว และนำความดีในตัวของเรามาสร้างประโยชน์ต่อประชาชน 70 ล้านคน ...ขอขอบคุณนายกฯ อีกครั้ง ผมจะจำความเป็นเพื่อนไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
ส่วนความคืบหน้าเกี่ยวกับการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค. ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่ได้ประกาศตัวเลข ส.ส.บัญชีรายชื่อที่แต่ละพรรคได้รับ และยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับวิธีคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ขณะที่พรรคเพื่อไทยพยายามจี้ให้ กกต.ใช้สูตรการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่พรรคเห็นว่าควรจะเป็น ปรากฏว่า ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 เม.ย. สำนักงาน กกต. ได้เผยแพร่เอกสารชี้แจงผลการประชุม กกต.ว่า กกต.ได้พิจารณาเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อที่แต่ละพรรคพึงมี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 91 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128 แล้ว โดย กกต.ทั้ง 7 คนมีมติเอกฉันท์ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่า ถ้า กกต.จะคำนวณหาจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128 ซึ่งจะมีผลทำให้พรรคการเมืองที่มีจำนวน ส.ส.ที่จะพึงมีได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ส.ส. 1 คน ได้รับการจัดสรร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 1 คน จะถือว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 หรือไม่
ซึ่ง กกต.พิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้วเห็นว่า แม้การคำนวณหา ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อตามมาตรา 91 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญ ประกอบ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128 (5) แล้วจะมีหลายพรรคการเมืองที่มีผลการคำนวณจำนวน ส.ส.จะพึงมีได้เบื้องต้นต่ำกว่า 1 คน สามารถได้รับการจัดสรร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 1 คน และสามารถจัดสรร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อได้ครบ 150 คน ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ก็ตาม แต่การคำนวณตามมาตรา 128 (5) ดังกล่าวมีผลขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 91(2) (4) เนื่องจากมีผลทำให้พรรคการเมืองที่มีจำนวน ส.ส.จะพึงมีได้ต่ำกว่า 1 คน สามารถได้รับการจัดสรรให้มี ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ 1 คน จึงอาจทำให้พรรคการเมืองบางพรรคมีจำนวน ส.ส. เกินกว่าจำนวน ส.ส. ที่จะพึงมีได้ ซึ่งต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญตาม 91(4) แต่หากคำนวณหาจำนวนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 91 จะไม่สามารถจัดสรร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อได้ครบ 150 คน อีกทั้งหากไม่นำจำนวน ส.ส. ที่จะพึงมีได้ต่ำกว่า 1 คน ไปคิดคำนวณต่อตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128 (5) ก็ไม่สามารถคิดคำนวณจัดสรรได้ครบ 150 คนเช่นกัน จึงไม่มีวิธีการใดที่จะนำมาคิดคำนวณให้มีจำนวน ส.ส.ได้ 150 คนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 83 ได้
กกต.จึงเห็นว่า เป็นปัญหาเรื่องของอำนาจหน้าที่ จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 210 (1) (2) และ พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา 7 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) ว่า ถ้า กกต.จะคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 วรรคสาม ประกอบมาตรา 128 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ซึ่งอาจทำให้พรรคการเมืองบางพรรคที่มีจำนวน ส.ส. ที่จะพึงมีได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยต่อ ส.ส. 1 คน กกต.จะสามารถดำเนินการได้หรือไม่ และการดำเนินการดังกล่าวชอบด้วยรัฐธรรมนูญตามมาตรา 91 หรือไม่
ด้านนายเชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญ เผยว่า ได้รับคำร้องจาก กกต.แล้วเมื่อช่วงเย็นวันที่ 11 เม.ย. คาดว่าจะเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญได้ช่วงหลังสงกรานต์
3.กต.เชิญทูต ตปท.พบ จี้หยุดแทรกแซงกิจการภายในของไทยกรณีคดี “ธนาธร” ด้านทูตชาติตะวันตกอ้าง ทำตามแนวทางการทูต!

สถานการณ์ความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวเนื่องกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) นอกจากเรื่องที่ถูกสื่อมวลชนจับโกหกเรื่องโอนหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับสื่อ ให้แม่ ที่สำนักข่าวอิศรานำเอกสารมาเปิดเผยว่า นายธนาธรโอนหุ้นให้แม่วันที่ 21 มี.ค.2562 ซึ่งเป็นวันหลังจากลงสมัคร ส.ส.แล้ว จะส่งผลให้นายธนาธรขาดคุณสมบัติในการลงสมัคร ส.ส. ปรากฏว่า เจ้าตัวอ้างว่า โอนหุ้นให้แม่ตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค.2562 ก่อนลงสมัคร ส.ส. แต่สำนักข่าวอิศรานำภาพข่าวจากสื่อหลายสำนักมายืนยันว่า วันที่ 8 ม.ค.2562 นายธนาธรช่วยผู้สมัครหาเสียงอยู่ที่ จ.บุรีรัมย์ ไม่ได้อยู่ กทม. แล้วจะโอนหุ้นให้แม่ในวันดังกล่าวได้อย่างไร ซึ่งเรื่องนี้มีผู้ไปร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบแล้ว ต้องรอผลตรวจสอบของ กกต.ว่า นายธนาธรโกหกเรื่องโอนหุ้นหรือไม่
ส่วนในแง่คดีความกรณีที่ตำรวจ สน.ปทุมวัน ออกหมายเรียกนายธนาธรไปรับทราบข้อกล่าวหา
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ฐานยุยงปลุกปั่น ทำให้เกิดความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน จากกรณีการชุมนุมของกลุ่มนักศึกษาเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยและต่อต้าน คสช.ที่นำโดยนายรังสิมันต์ โรม และพวก เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.2558 เนื่องจากตำรวจสืบสวนพบว่า นายธนาธรเข้าไปเกี่ยวข้องให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังและมีการใช้รถตู้พาผู้ต้องหาหลบหนี ซึ่งนายธนาธรยอมรับว่า วันดังกล่าวไปให้กำลังใจผู้ชุมนุม พร้อมอ้างว่า ขณะจะเดินทางกลับ เจอนายรังสิมันต์กำลังเรียกแท็กซี่ จึงอาสาไปส่ง
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังได้รับหมายเรียกจากตำรวจให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 6 เม.ย. นายธนาธรได้โพสต์เฟซบุ๊กปลุกให้ประชาชนยืนเคียงข้างตน โดยอ้างว่าการถูกออกหมายเรียกดังกล่าวเป็นผลจากอำนาจมืดพยายามเล่นงานพรรคอนาคตใหม่ ส่งผลให้วันเข้ารับทราบข้อกล่าวหา มีประชาชนไปให้กำลังใจนายธนาธรที่ สน.ปทุมวัน ขณะที่นายธนาธรชู 3 นิ้ว เพื่อแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านเผด็จการด้วย ไม่เท่านั้น วันดังกล่าว ยังมีเจ้าหน้าที่ทูตจากหลายประเทศไปร่วมฟังตำรวจแจ้งข้อกล่าวหานายธนาธรด้วย ซึ่งทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าเจ้าหน้าที่ทูตของประเทศเหล่านั้นไม่มีมารยาทการทางทูต ทั้งยังเป็นการก้าวก่ายกิจการภายในของไทยและแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของไทย
ด้าน น.ส.บุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เผยว่า มีหลายภาคส่วนแสดงความวิตกกังวลมายังกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเบื้องต้นทราบว่า คณะทูตและผู้แทนองค์การระหว่างประเทศที่ไปปรากฏตัวในวันดังกล่าว เป็นเพราะได้รับเชิญจากนายธนาธรเอง
ด้าน น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า "ต่อให้คุณธนาธรเป็นผู้เชิญเอง ถ้าไม่ใช่ประเด็นน่าห่วงกังวลจริงๆ ตัวแทนนานาชาติเหล่านี้ก็จะไม่ร่วมติดตามสถานการณ์ เพราะมีธรรมเนียมทางการทูตในการทำงานอยู่...”
ขณะที่นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) กล่าวว่า กต.จะพิจารณาว่า จะทำหนังสือชี้แจงหรือเชิญทูตต่างๆ มาทำความเข้าใจเรื่องดังกล่าวหรือไม่ เพราะผิดหลักการทูตของสหประชาชาติ การที่สถานทูตเข้ามาเกี่ยวข้องเรียกร้องกระบวนการยุติธรรม จะทำได้กรณีเดียวคือ กรณีคนของเขามีเรื่องในประเทศไทย ซึ่งเป็นกรณีเดียวที่ทำได้ตามหลักสากล แต่ถ้าไม่ใช่คนของเขา ไม่มีประเทศไหนเขายอม เขาไม่ทำกัน
หลังนายดอนส่งสัญญาณอาจมีการเชิญทูตประเทศต่างๆ ดังกล่าวมาทำความเข้าใจ ปรากฏว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย รีบออกอาการปกป้องนายธนาธรและเจ้าหน้าที่ทูตที่ไปร่วมฟังตำรวจแจ้งข้อกล่าวหานายธนาธร โดยอ้างว่า การที่นานาประเทศเข้ามาดูการดำเนินคดีหัวหน้าพรรคการเมืองหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องผิดจรรยาบรรณอะไร
ทั้งนี้ น.ส.บุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เผยในเวลาต่อมาว่า กต.ได้เชิญเอกอัครราชทูตของประเทศที่ส่งผู้แทนเข้าร่วมสังเกตการณ์การรับทราบข้อกล่าวหาของนายธนาธรเข้าพบรองปลัด กต.เมื่อวันที่ 10 เม.ย. โดยรองปลัดได้แสดงความผิดหวังและห่วงกังวลต่อการปรากฏตัวของผู้แทนทูตต่างประเทศที่ สน.ปทุมวัน เพราะทำให้เกิดภาพที่ถูกตีความได้ว่า เป็นการไปให้กำลังใจแก่นายธนาธรและเป็นการเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในบริบททางการเมืองไทยในปัจจุบัน การกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่เกินเลยภารกิจทางการทูต เข้าข่ายแทรกแซงกิจการภายในของไทยและละเมิดหลักปฏิบัติและพันธกรณีทางการทูตภายใต้อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ค.ศ.1961 มาตรา 41 จึงขอให้สถานเอกอัครราชทูตดำเนินการเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก
สำหรับเอกอัครราชทูตและอุปทูตประเทศต่างๆ ที่เข้าพบรองปลัด กต. ได้แก่ ฝรั่งเศส, เนเธอร์แลนด์, สหราชอาณาจักร, เยอรมนี, แคนาดา, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, สหรัฐอเมริกา, ฟินแลนด์, เบลเยียม, สหภาพยุโรป
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนทูตต่างประเทศดังกล่าวจะไม่ให้ราคากับท่าทีของกระทรวงการต่างประเทศของไทย โดยสำนักข่าวเอพีรายงานว่า สถานทูตของชาติตะวันตก ได้ออกคำชี้แจงยืนยันว่า สถานทูตของชาติตะวันตกไม่ได้ละเมิดระเบียบปฏิบัติพิธีการทูตแต่อย่างใด และการเฝ้าสังเกตการณ์ก็เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติทางการทูต
4.“บิ๊กตู่” ใช้ ม.44 ยืดเวลาค่ายมือถือจ่ายค่าคลื่น กสทช. พร้อมเปิดทางทีวีดิจิทัลคืนใบอนุญาตได้ภายใน 30 วัน!

เมื่อวันที่ 11 เม.ย. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่คำสั่งหัวหน้า คสช.เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมตามที่ได้มีคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 16/2559 เรื่อง การประมูลคลื่นความถี่เพื่อกิจการโทรคมนาคม เพื่อให้การประมูลคลื่นความถี่ สำหรับกิจการโทรคมนาคม ย่าน 895-915 เมกะเฮิร์ตซ์ / 940-960 เมกะเฮิร์ตซ์ ที่ต้องดำเนินการใหม่ เนื่องจากปัจจุบันปัญหาจากการแข่งขันทางธุรกิจสำหรับกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม ส่งผลต่อความสามารถในการชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ได้ทันภายในเวลาที่กำหนด
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญ ประกอบกับมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว หัวหน้า คสช.จึงมีคำสั่งว่า ผู้รับใบอนุญาตรายใดไม่สามารถชำระเงินประมูลคลื่นความถี่ได้ ให้แจ้งเป็นหนังสือไปยังสำนักงาน กสทช.ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คำสั่งนี้มีผลใช้บังคับ เพื่อขอแบ่งชำระเงินประมูลคลื่นความถี่ และให้สำนักงาน กสทช.พิจารณาแบ่งชำระเงินจากเงินประมูลคลื่นความถี่ออกเป็น 10 งวด (จากเดิม 4 งวด งวดละปี) งวดละเท่าๆ กัน โดยให้ปีที่ผู้รับใบอนุญาตประมูลคลื่นความถี่เริ่มนับเป็นงวดแรก และให้ผู้รับใบอนุญาตชำระเงินประมูลคลื่นความถี่ตามงวดที่ กสทช.พิจารณาตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป โดยงวดที่ต้องชำระในปี 2563 ให้ชำระรวมกับเงินชดเชยของงวดที่ผ่านมาด้วย
นอกจากนี้กรณีที่ผู้รับใบอนุญาตไม่ชำระเงินประมูลคลื่นความถี่ในส่วนที่เหลือตามงวดที่แบ่งชำระภายในเวลาที่กำหนด ผู้รับใบอนุญาตต้องชำระเงินประมูลคลื่นความถี่เพิ่มเท่ากับผลคูณของจำนวนเงินประมูลคลื่นความถี่ที่ค้างชำระกับอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี โดยคำนวณเป็นรายวัน หากพ้นกำหนดชำระเงิน จะถือว่าผู้รับใบอนุญาตกระทำผิดเงื่อนไข กสทช.อาจพิจารณาพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตได้
ส่วนผู้รับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อให้บริการโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิทัลรายใดประสงค์จะคืนใบอนุญาที่ได้รับตามประกาศ ให้แจ้งเป็นหนังสือไปยังสำนักงาน กสทช.ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คำสั่งนี้มีผลใช้บังคับ และให้สำนักงาน กสทช.พิจารณากำหนดค่าชดเชยให้แก่ผู้รับใบอนุญาต ขณะเดียวกันผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเรียกคลื่นความถี่ตามคำสั่งนี้ ได้รับการทดแทน ชดใช้ หรือจ่ายค่าตอบแทนตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่สำนักงาน กสทช.กำหนด คือ การยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ที่ต้องชำระงวดสุดท้ายของราคาขั้นต่ำหรือราคาเริ่มต้น และ 2 งวดสุดท้ายของราคาที่เกินกว่าราคาขั้นต่ำหรือราคาเริ่มต้นตามประกาศ และกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตรายใดยังไม่ชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่จนถึงงวดที่ได้รับยกเว้น ให้ผู้รับใบอนุญาตรายนั้นชำระค่าธรรมเนียมดังกล่าวให้ครบถ้วนจนถึงงวดที่ได้รับยกเว้น โดยให้ชำระภายใน 120 วันนับแต่วันที่คำสั่งนี้มีผลใช้บังคับ
ด้านนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช.กล่าวว่า หลังจากนี้ กสทช.จะเชิญผู้ประกอบการมาประชุมชี้แจงในวันที่ 17 เม.ย. เวลา 11.00 น. และว่า เบื้องต้นคำสั่งหัวหน้า คสช.ดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลที่ประสงค์จะดำเนินธุรกิจต่อ จะได้รับการช่วยเหลืองดเว้นการชำระค่าใบอนุญาตในงวดที่ 5 และ 6 จำนวน 13,622 ล้านบาท โดยถือใบอนุญาตได้ตลอดจนหมดอายุ 15 ปี และรัฐบาลจะให้การช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการเช่าใช้โครงข่ายโทรทัศน์ประเภทที่ใช้คลื่นความถี่ภาคพื้นดินในระบบดิจิทัล ตลอดระยะเวลาการได้รับอนุญาตให้บริการโทรทัศน์ดิจิทัลที่เหลืออยู่ โดยให้มีผลหลังจากสิ้นสุดมาตรการบรรเทาผลกระทบ ซึ่งที่ผ่านมาผู้ประกอบการได้ชำระเงินไปแล้ว 60% ของราคาใบอนุญาตทั้งหมด คิดเป็นมูลค่า 34,600 ล้านบาท
นายฐากรกล่าวด้วยว่า มาตรา 44 ที่ออกมา เพื่อให้ทีวีดิจิทัลที่มีศักยภาพ มีคอนเทนต์ที่ดี สามารถอยู่รอดได้ ซึ่งทีวีดิจิทัลในปัจจุบันมีอยู่ 27 ช่อง คาดว่าจะมีการคืนใบอนุญาตราว 4-5 ช่อง แต่ยังบอกไม่ได้ว่าช่องไหนบ้าง ซึ่งช่องที่เหลือจะมีกำลังใจในการประกอบธุรกิจต่อไป ส่วนเงินชดเชยที่ให้แก่ผู้ที่มาคืนใบอนุญาตนั้น กสทช.จะแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาอีกครั้งว่า จะชดเชยเท่าไหร่ และต้องคืนเงินประมูลทีวีดิจิทัลงวด 4.5 ให้กับ 3 ช่องที่ไม่ได้ขอผ่อนผัน คือ ช่อง 7 เอชดี, เวิร์คพอยท์ และสปริงนิวส์ด้วย
ด้านนายสุภาพ คลี่ขจาย นายกสมาคมผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการทีวิดีจิทัลอยู่ระหว่างรอหลักเกณฑ์ในการคืนใบอนุญาตของ กสทช. ซึ่งก่อนหน้านี้มีผู้ประกอบการหลายรายมีความประสงค์จะคืนใบอนุญาต แต่เมื่อมีคำสั่งมาตรา 44 ทำให้ผู้ประกอบการบางรายอาจเปลี่ยนใจที่จะดำเนินธุรกิจต่อ เพราะไม่ต้องแบกภาระค่าใบอนุญาตกับค่าโครงข่ายอีกราวๆ 10 ปี แต่ยังรอดูความชัดเจนจาก กสทช.อีกครั้ง นายสุภาพกล่าวด้วยว่า การจ่ายเงินชดเชยถือเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ผู้ประกอบการอยากคืนใบอนุญาต
5.เลขาฯ ป.ป.ส.ยันไม่แจ้งข้อหา “อ.เดชา” ครอบครองกัญชาเพื่อแจกยาผู้ป่วย ส่วนคดี “อ.ซ้ง” ขึ้นอยู่กับ ตร.!

ความคืบหน้ากรณีที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ได้เข้าตรวจค้นมูลนิธิขวัญข้าวที่ จ.สุพรรณบุรี ที่มีนายเดชา ศิริภัทร เป็นประธานและผู้ก่อตั้งมูลนิธิฯ เมื่อวันที่ 3 เม.ย. ซึ่งอาจารย์เดชาและมูลนิธิฯ ได้วิจัยกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ และแจกจ่ายสารสกัดกัญชาให้ประชาชนที่เจ็บป่วยใช้บำบัดรักษามาเป็นเวลานาน โดยเป็นองค์กรที่ทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน ไม่แสวงหาผลกำไร ซึ่งตำรวจได้จับกุมนายพรชัย ชูเลิศ หรืออาจารย์ซ้ง เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ พร้อมยึดต้นกล้ากัญชา เมล็ดกัญชาตากแห้ง ผงกัญชาบดแห้ง น้ำกัญชาสกัดทั้งหมด ทั้งนี้ ขณะที่ตำรวจเข้าจับกุมอาจารย์ซ้ง อาจารย์เดชาไม่ได้อยู่ที่มูลนิธิฯ แต่อยู่ที่ประเทศลาว ตำรวจจึงออกหมายเรียกในเวลาต่อมา
หลังมีข่าวตำรวจบุกจับอาจารย์ซ้งพร้อมกัญชาที่มูลนิธิขวัญข้าว ได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในโลกโซเชียล พร้อมติดแฮชแท็ก #SaveDecha เนื่องจากขณะนี้อยู่ในช่วง 90 วันที่กฎหมายยกเว้นโทษไม่เอาผิดผู้ที่ครอบครองกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ โดยผู้ที่ครอบครองต้องแจ้งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ภายในวันที่ 19 พ.ค.นี้ เมื่อยังไม่พ้นกำหนดดังกล่าว เหตุใดตำรวจจึงบุกเข้าจับกุม
ซึ่งต่อมา 8 เม.ย. นายนิยม เต็มศรีสุข เลขาธิการ ป.ป.ส. ได้ออกมาชี้แจงว่า กัญชายังคงเป็นยาเสพติดผิดกฎหมาย การผลิต จำหน่าย ครอบครองต้องได้รับอนุญาต ประชาชนทั่วไปไม่สามารถปลูกกัญชาเองได้ เมื่อตรวจสอบที่ทำการมูลนิธิฯ แล้วพบกัญชา จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องตรวจยึดและจับผู้ต้องหาที่ทำการผลิตและครอบครอง หากเจ้าพนักงานไม่ดำเนินการ จะเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมย้ำว่า การตรวจยึดและจับกุมดังกล่าว ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้กับผู้ใด
ขณะที่หลายฝ่ายทั้งแพทย์ นักวิชาการ นักกฎหมาย ภาคประชาชน รวมถึงรัฐมนตรีบางคน ได้ออกมาการันตีความดีและการช่วยเหลือประชาชนของอาจารย์เดชา และมูลนิธิขวัญข้าว พร้อมตำหนิการกระทำของเจ้าหน้าที่และตำรวจที่บุกจับกุมเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ
โดย ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สิ่งที่มูลนิธิและอาจารย์เดชาทำไป ล้วนเป็นประโยชน์กับผู้ป่วย เนื่องจากผู้ป่วยเหล่านี้มีข้อจำกัดจากแพทย์แผนปัจจุบัน ขณะเดียวกัน ยังมีการสอนวิธีปฏิบัติตัว สอนใช้กัญชาอย่างถูกวิธี ตนอยู่ในชมรม จึงรับทราบและเรียนรู้วิธีการใช้กัญชา โดยแนะนำให้คนไข้ใช้ “กระบวนการ (จับกุม) ดังกล่าวเป็นข้อบกพร่องอย่างให้อภัยไม่ได้ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และ ป.ป.ส. ....” ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าวด้วยว่า การบุกจับแล้วบอกว่าผิดกฎหมาย ถามว่าตำรวจหรือ อย.มีปัญญาให้การบริบาลผู้ป่วยหรือไม่
ขณะที่นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ถึงกับเอาตำแหน่งและชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อการันตีความดีของอาจารย์เดชา โดยกล่าวว่า อาจารย์เดชาเป็นคนซื่อตรงและมีชีวิตเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นมาโดยตลอด มีความเมตตา มีการปฏิบัติธรรมและมีการลงมือทำด้วย แม้อาจารย์เดชาอายุกว่า 70 ปีแล้ว แต่ยังคอยช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ทางผู้ปฏิบัติเรียกว่า เป็นผู้มีหัวใจโพธิสัตว์ คือเห็นใครเดือดร้อน ก็อยากจะช่วยเหลือ แม้กฎหมายไม่ค่อยเอื้อ ก็ยอมเสี่ยงเพื่อทำยาแจกคนยากคนจนและคนทุกข์เข็ญ เพราะยากที่จะไปซื้อยามารักษาโรคร้าย โดยเฉพาะโรคมะเร็ง “ถ้าเซฟอาจารย์เดชาไว้ให้ช่วยเหลือคนจำนวนมาก เอาชีวิตเราไปแลก ติดคุกแทนยังทำได้เลย ...ควรให้คนที่มีความรู้ที่สุด เสียสละที่สุดอยู่ทำงานต่อไป ...ผมยินดีเอาตำแหน่งเป็นประกัน เอาชีวิตเป็นประกันเลยด้วยซ้ำไป”
ด้านมูลนิธิชีววิถี (ไบโอไทย) มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้รวบรวมเงินบริจาคจากประชาชน ยื่นขอประกันตัวอาจารย์ซ้งต่อศาลจังหวัดสุพรรณบุรีเมื่อวันที่ 9 เม.ย. หลังถูกคุมขังตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย. ซึ่งในที่สุด ศาลฯ อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวอาจารย์ซ้ง โดยตีราคาประกัน 5 แสนบาท
ขณะที่อาจารย์เดชาได้เดินทางกลับจากประเทศลาวมาถึงไทยเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ก่อนออกคำแถลงยืนยันว่า การแจกจ่ายน้ำมันกัญชาเพื่อรักษาผู้เจ็บป่วยโรคมะเร็ง พาร์กินสัน โรคข้อ ลมชัก และอื่นๆ เป็นเรื่องศีลธรรมที่ต้องทำ อยู่เหนือกฎระเบียบล้าหลังใดๆ เพราะสิทธิของผู้ป่วยที่จะได้รับยาและการรักษา เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน และศีลธรรมขั้นพื้นฐาน
อาจารย์เดชาเผยด้วยว่า หลังจาก พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ฉบับปรับปรุงแก้ไข เปิดโอกาสให้หมอพื้นบ้านสามารถยื่นขอนิรโทษกรรมมีกัญชาเพื่อครอบครองทางการแพทย์ได้ ก่อนตนเดินทางไปลาว จึงทำหนังสือมอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ยื่นเรื่องขอนิรโทษกรรม แต่กลับมาถูกจับกุมเสียก่อน ทั้งที่ยังอยู่ในช่วง 90 วัน
ล่าสุด 11 เม.ย. นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการ ป.ป.ส. ได้เปิดแถลงพร้อมด้วยอาจารย์เดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ และตัวแทนจากมูลนิธิชีววิถี, มูลนิธิสุขภาพไทย, มูลนิธิเกษตรยั่งยืน (ประเทศไทย) และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค โดยนายนิยมกล่าวว่า การจับกุมนายพรชัย หรืออาจารย์ซ้ง มาจากการตีความกฎหมายของแต่ละฝ่ายไม่เหมือนกัน “สำหรับการยื่นเรื่องขออนุญาตครอบครองนั้น อาจารย์เดชาขอเป็นรายบุคคลและไม่ได้ทำในนามมูลนิธิฯ และเพื่อไม่เป็นการแทรกแซง เราจะให้อาจารย์เดชาดำเนินการตามขั้นตอนไปก่อน ส่วนของกลางที่ยึดมา เช่น ต้นกัญชา น้ำมันสกัดจากกัญชาประมาณ หรือเมล็ดกัญชา และเรื่องคดีความของนายพรชัยขอเป็นหน้าที่พนักงานสอบสวนท้องที่เป็นผู้ดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมาย แต่ยืนยันว่ายังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาต่ออาจารย์เดชา ทั้งสิ้น”
ด้านอาจารย์เดชา เผยว่า ตนได้พูดคุยถึงจุดยืนกับนายนิยม และเข้าใจว่าตนไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ต่อตนเอง และว่า การพูดคุยได้มีข้อตกลงปฏิบัติทั้งสองฝ่าย โดยทาง ป.ป.ส.ทำหน้าที่ของท่านไปและช่วยสนับสนุนเกี่ยวกับกฎหมายที่ยังมีข้อบกพร่อง ส่วนทางมูลนิธิฯ ก็จะดำเนินการรักษาวิจัยต่อไปและให้ผลการปฏิบัติแสดงออกมาให้สังคมได้เห็นว่าฝ่ายใดทำตามข้อตกลงได้หรือไม่ โดยส่วนตัวอยากเสนอให้ถอดกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภท 5 เพราะติดปัญหาตรงจุดนี้มากมาย
ด้าน น.ส.รสนา โตสิตระกูล ตัวแทนมูลนิธิสุขภาพไทย กล่าวว่า ขณะนี้ได้ขอยื่นเรื่องให้อาจารย์เดชา ขึ้นทะเบียนเป็นหมอพื้นบ้านแล้ว โดยมีเงื่อนไขต้องให้ชาวบ้านในพื้นที่ หน่วยงานปกครองท้องถิ่น หรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล มาช่วยรับรองตามขั้นตอน
ความคืบหน้ากรณี พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ลงนามคำสั่งให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) โดยขาดจากตำแหน่งเดิม มีผลตั้งแต่วันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น
ต่อมา วันที่ 7 เม.ย. ดร.เซปิง ไชยศาสน์ แห่งโครงการเฟซออฟ ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาคดีฉ้อโกงประชาชน หลังถูกผู้เสียหายที่เข้ารับการทำศัลยกรรมแล้วเสียโฉมแจ้งความดำเนินคดี ซึ่ง ดร.เซปิง ถูกทีมงานของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ นำหมายศาลเข้าจับกุมตัวที่หมู่บ้านหรูย่านรัตนาธิเบศร์เมื่อวันที่ 3 เม.ย. รีบออกมาแถลงข่าวว่า ตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ถูกคำสั่งย้าย
ทั้งนี้ มีรายงานว่า จะมีการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ในวันที่ 9 เม.ย. โดยมีวาระสำคัญคือ แต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ซึ่งคาดว่ามีเรื่องโยกย้าย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ด้วย แต่ต่อมา กองสารนิเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเลื่อนการประชุม ก.ตร.เป็นวันที่ 10 เม.ย.แทน
ขณะที่วันที่ 9 เม.ย. ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่คำสั่งหัวหน้า คสช. มีเนื้อหาระบุว่า ตามที่หัวหน้า คสช.เคยมีคำสั่งที่ 16/2558 เรื่อง มาตรการแก้ปัญหาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างถูกตรวจสอบและการกำหนดกรอบอัตรากำลังชั่วคราว เมื่อวันที่ 25 พ.ค.2558 นั้น หัวหน้า คสช.เห็นสมควรประกาศรายชื่อบุคคลเพิ่มเติม โดยให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบช.สตม.อยู่ในบัญชีรายชื่อเพิ่มเติมดังกล่าว โดยขาดจากตำแหน่งหน้าที่และอัตราเงินเดือนเดิม ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อโอนไปเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทบริหารระดับสูง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) และให้นายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงลงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง โดยคำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ด้านที่ประชุม ครม.วันเดียวกัน (9 เม.ย.) ได้มีมติรับทราบการโอนย้าย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์มาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่ได้ร่วมประชุม ครม.โดยลาป่วย ระบุว่าท้องเสีย ยืนยันไม่ได้ต้องการหลีกเลี่ยงการตอบคำถามของสื่อมวลชนกรณีคำสั่งย้าย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ตำรวจคนสนิท พล.อ.ประวิตร แต่อย่างใด
ทั้งนี้ มีรายงานว่า วันเดียวกัน (9 เม.ย.) พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ได้เข้ารายงานตัวที่ ศปก.ตร. ก่อนเดินทางมารายงานตัวและรับทราบภารกิจหน้าที่ในตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ แต่งกายชุดธรรมดา ไม่ได้แต่งเครื่องแบบ และมีสีหน้าเรียบเฉย แต่ไม่ได้มีอาการเคร่งเครียดแต่อย่างใด โดยเข้ารายงานตัวต่อนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ประมาณ 10 นาที
ต่อมา นายวิษณุ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า นายกฯ ได้มอบหมายให้เป็นผู้รับการรายงานตัวจาก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กรณีเข้ามาช่วยราชการ ก่อนจะมีการโปรดเกล้าฯ ให้มีการดำรงตำแหน่งใหม่ ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และจะมีการรายงานตัวในตำแหน่งดังกล่าวอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า การย้าย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์มาเป็นที่ปรึกษาพิเศษฯ ตามคำสั่งหัวหน้า คสช.จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ไม่ทราบ ต้องไปถามทางตำรวจ เพราะคำสั่งหัวหน้า คสช.มีหลายลักษณะ ทั้งมาเพื่อจะสอบสวน สอบสวนแล้วไม่ผิด มาแล้วไม่สอบสวน และสอบสวนแล้วถึงมา และกรณีนี้ไม่ทราบว่าจะมีการสอบสวนหรือไม่ โดยนายวิษณุเผยว่า ต้นเรื่องของการย้าย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ มาครั้งนี้ ไม่มีเรื่องเกี่ยวกับการทุจริต
มีรายงานว่า หลังหัวหน้า คสช.มีคำสั่งให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ พ้นจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาเป็นที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีคำสั่งยกเลิกการประชุม ก.ตร.ที่จะมีขึ้นในวันที่ 10 เม.ย.ออกไปอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากต้องรอให้กระบวนการการพ้นจากตำแหน่ง ผบช.สตม.ของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ สมบูรณ์ตามกฎหมายก่อน
ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 เม.ย. ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจพ้นจากตำแหน่ง และแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ความว่า “มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ พลตำรวจโท สุรเชษฐ์ หักพาล ข้าราชการตำรวจ ซึ่งโอนมาเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ พ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2562"
2.“บิ๊กตู่” นำ ครม.รดน้ำขอพร “ป๋าเปรม” ขณะที่ “ป๋าเปรม” การันตี รบ.ประยุทธ์ไม่โกง ด้าน กกต.ส่งศาล รธน.ตีความสูตรคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์!
เมื่อวันที่ 10 เม.ย. พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้เปิดบ้านสี่เสาเทเวศร์ ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นำคณะรัฐมนตรี เข้ารดน้ำขอพรเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ 2562 เพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิตและการทำงานต่อไป
โอกาสนี้ พล.อ.เปรม ได้กล่าวตอนหนึ่งว่า ขอขอบคุณนายกรัฐมนตรีเพื่อนรักของตน พวกเรามีความยินดีที่ได้เห็นนายกฯ กองทัพกับข้าราชการหน่วยต่างๆ ช่วยดูแลชาติบ้านเมืองจนกระทั่งมาถึงทุกวันนี้ พูดได้เต็มปากว่า รัฐบาลของนายกฯ ไม่โกง เพราะเป็นคนที่เห็นแก่ส่วนรวมจริงๆ ...ที่ผมพูดเสมอว่า รัฐบาลนี้เก่งไม่เก่ง ก็ดูเอาเองก็แล้วกัน บอกได้เลยว่า รัฐบาลนี้ไม่โกง ยืดอกพูดได้เลยว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่โกง แต่ถ้าพูดผิด นายกฯ ก็ต้องไปจัดการ ขอขอบคุณที่ระลึกถึงกันโดยตลอด
ขอให้พระบารมีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นเกราะกำบังให้เราได้ทำแต่ความดีเพื่อชาติบ้านเมืองของเรา ขอให้ทุกคนมีแต่ความดีในตัว และนำความดีในตัวของเรามาสร้างประโยชน์ต่อประชาชน 70 ล้านคน ...ขอขอบคุณนายกฯ อีกครั้ง ผมจะจำความเป็นเพื่อนไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
ส่วนความคืบหน้าเกี่ยวกับการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค. ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่ได้ประกาศตัวเลข ส.ส.บัญชีรายชื่อที่แต่ละพรรคได้รับ และยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับวิธีคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ขณะที่พรรคเพื่อไทยพยายามจี้ให้ กกต.ใช้สูตรการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่พรรคเห็นว่าควรจะเป็น ปรากฏว่า ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 เม.ย. สำนักงาน กกต. ได้เผยแพร่เอกสารชี้แจงผลการประชุม กกต.ว่า กกต.ได้พิจารณาเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อที่แต่ละพรรคพึงมี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 91 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128 แล้ว โดย กกต.ทั้ง 7 คนมีมติเอกฉันท์ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่า ถ้า กกต.จะคำนวณหาจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128 ซึ่งจะมีผลทำให้พรรคการเมืองที่มีจำนวน ส.ส.ที่จะพึงมีได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ส.ส. 1 คน ได้รับการจัดสรร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 1 คน จะถือว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 หรือไม่
ซึ่ง กกต.พิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้วเห็นว่า แม้การคำนวณหา ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อตามมาตรา 91 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญ ประกอบ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128 (5) แล้วจะมีหลายพรรคการเมืองที่มีผลการคำนวณจำนวน ส.ส.จะพึงมีได้เบื้องต้นต่ำกว่า 1 คน สามารถได้รับการจัดสรร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 1 คน และสามารถจัดสรร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อได้ครบ 150 คน ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ก็ตาม แต่การคำนวณตามมาตรา 128 (5) ดังกล่าวมีผลขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 91(2) (4) เนื่องจากมีผลทำให้พรรคการเมืองที่มีจำนวน ส.ส.จะพึงมีได้ต่ำกว่า 1 คน สามารถได้รับการจัดสรรให้มี ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ 1 คน จึงอาจทำให้พรรคการเมืองบางพรรคมีจำนวน ส.ส. เกินกว่าจำนวน ส.ส. ที่จะพึงมีได้ ซึ่งต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญตาม 91(4) แต่หากคำนวณหาจำนวนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 91 จะไม่สามารถจัดสรร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อได้ครบ 150 คน อีกทั้งหากไม่นำจำนวน ส.ส. ที่จะพึงมีได้ต่ำกว่า 1 คน ไปคิดคำนวณต่อตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128 (5) ก็ไม่สามารถคิดคำนวณจัดสรรได้ครบ 150 คนเช่นกัน จึงไม่มีวิธีการใดที่จะนำมาคิดคำนวณให้มีจำนวน ส.ส.ได้ 150 คนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 83 ได้
กกต.จึงเห็นว่า เป็นปัญหาเรื่องของอำนาจหน้าที่ จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 210 (1) (2) และ พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา 7 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) ว่า ถ้า กกต.จะคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 วรรคสาม ประกอบมาตรา 128 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ซึ่งอาจทำให้พรรคการเมืองบางพรรคที่มีจำนวน ส.ส. ที่จะพึงมีได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยต่อ ส.ส. 1 คน กกต.จะสามารถดำเนินการได้หรือไม่ และการดำเนินการดังกล่าวชอบด้วยรัฐธรรมนูญตามมาตรา 91 หรือไม่
ด้านนายเชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญ เผยว่า ได้รับคำร้องจาก กกต.แล้วเมื่อช่วงเย็นวันที่ 11 เม.ย. คาดว่าจะเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญได้ช่วงหลังสงกรานต์
3.กต.เชิญทูต ตปท.พบ จี้หยุดแทรกแซงกิจการภายในของไทยกรณีคดี “ธนาธร” ด้านทูตชาติตะวันตกอ้าง ทำตามแนวทางการทูต!
สถานการณ์ความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวเนื่องกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) นอกจากเรื่องที่ถูกสื่อมวลชนจับโกหกเรื่องโอนหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับสื่อ ให้แม่ ที่สำนักข่าวอิศรานำเอกสารมาเปิดเผยว่า นายธนาธรโอนหุ้นให้แม่วันที่ 21 มี.ค.2562 ซึ่งเป็นวันหลังจากลงสมัคร ส.ส.แล้ว จะส่งผลให้นายธนาธรขาดคุณสมบัติในการลงสมัคร ส.ส. ปรากฏว่า เจ้าตัวอ้างว่า โอนหุ้นให้แม่ตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค.2562 ก่อนลงสมัคร ส.ส. แต่สำนักข่าวอิศรานำภาพข่าวจากสื่อหลายสำนักมายืนยันว่า วันที่ 8 ม.ค.2562 นายธนาธรช่วยผู้สมัครหาเสียงอยู่ที่ จ.บุรีรัมย์ ไม่ได้อยู่ กทม. แล้วจะโอนหุ้นให้แม่ในวันดังกล่าวได้อย่างไร ซึ่งเรื่องนี้มีผู้ไปร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบแล้ว ต้องรอผลตรวจสอบของ กกต.ว่า นายธนาธรโกหกเรื่องโอนหุ้นหรือไม่
ส่วนในแง่คดีความกรณีที่ตำรวจ สน.ปทุมวัน ออกหมายเรียกนายธนาธรไปรับทราบข้อกล่าวหา
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ฐานยุยงปลุกปั่น ทำให้เกิดความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน จากกรณีการชุมนุมของกลุ่มนักศึกษาเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยและต่อต้าน คสช.ที่นำโดยนายรังสิมันต์ โรม และพวก เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.2558 เนื่องจากตำรวจสืบสวนพบว่า นายธนาธรเข้าไปเกี่ยวข้องให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังและมีการใช้รถตู้พาผู้ต้องหาหลบหนี ซึ่งนายธนาธรยอมรับว่า วันดังกล่าวไปให้กำลังใจผู้ชุมนุม พร้อมอ้างว่า ขณะจะเดินทางกลับ เจอนายรังสิมันต์กำลังเรียกแท็กซี่ จึงอาสาไปส่ง
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังได้รับหมายเรียกจากตำรวจให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 6 เม.ย. นายธนาธรได้โพสต์เฟซบุ๊กปลุกให้ประชาชนยืนเคียงข้างตน โดยอ้างว่าการถูกออกหมายเรียกดังกล่าวเป็นผลจากอำนาจมืดพยายามเล่นงานพรรคอนาคตใหม่ ส่งผลให้วันเข้ารับทราบข้อกล่าวหา มีประชาชนไปให้กำลังใจนายธนาธรที่ สน.ปทุมวัน ขณะที่นายธนาธรชู 3 นิ้ว เพื่อแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านเผด็จการด้วย ไม่เท่านั้น วันดังกล่าว ยังมีเจ้าหน้าที่ทูตจากหลายประเทศไปร่วมฟังตำรวจแจ้งข้อกล่าวหานายธนาธรด้วย ซึ่งทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าเจ้าหน้าที่ทูตของประเทศเหล่านั้นไม่มีมารยาทการทางทูต ทั้งยังเป็นการก้าวก่ายกิจการภายในของไทยและแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของไทย
ด้าน น.ส.บุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เผยว่า มีหลายภาคส่วนแสดงความวิตกกังวลมายังกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเบื้องต้นทราบว่า คณะทูตและผู้แทนองค์การระหว่างประเทศที่ไปปรากฏตัวในวันดังกล่าว เป็นเพราะได้รับเชิญจากนายธนาธรเอง
ด้าน น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า "ต่อให้คุณธนาธรเป็นผู้เชิญเอง ถ้าไม่ใช่ประเด็นน่าห่วงกังวลจริงๆ ตัวแทนนานาชาติเหล่านี้ก็จะไม่ร่วมติดตามสถานการณ์ เพราะมีธรรมเนียมทางการทูตในการทำงานอยู่...”
ขณะที่นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) กล่าวว่า กต.จะพิจารณาว่า จะทำหนังสือชี้แจงหรือเชิญทูตต่างๆ มาทำความเข้าใจเรื่องดังกล่าวหรือไม่ เพราะผิดหลักการทูตของสหประชาชาติ การที่สถานทูตเข้ามาเกี่ยวข้องเรียกร้องกระบวนการยุติธรรม จะทำได้กรณีเดียวคือ กรณีคนของเขามีเรื่องในประเทศไทย ซึ่งเป็นกรณีเดียวที่ทำได้ตามหลักสากล แต่ถ้าไม่ใช่คนของเขา ไม่มีประเทศไหนเขายอม เขาไม่ทำกัน
หลังนายดอนส่งสัญญาณอาจมีการเชิญทูตประเทศต่างๆ ดังกล่าวมาทำความเข้าใจ ปรากฏว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย รีบออกอาการปกป้องนายธนาธรและเจ้าหน้าที่ทูตที่ไปร่วมฟังตำรวจแจ้งข้อกล่าวหานายธนาธร โดยอ้างว่า การที่นานาประเทศเข้ามาดูการดำเนินคดีหัวหน้าพรรคการเมืองหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องผิดจรรยาบรรณอะไร
ทั้งนี้ น.ส.บุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เผยในเวลาต่อมาว่า กต.ได้เชิญเอกอัครราชทูตของประเทศที่ส่งผู้แทนเข้าร่วมสังเกตการณ์การรับทราบข้อกล่าวหาของนายธนาธรเข้าพบรองปลัด กต.เมื่อวันที่ 10 เม.ย. โดยรองปลัดได้แสดงความผิดหวังและห่วงกังวลต่อการปรากฏตัวของผู้แทนทูตต่างประเทศที่ สน.ปทุมวัน เพราะทำให้เกิดภาพที่ถูกตีความได้ว่า เป็นการไปให้กำลังใจแก่นายธนาธรและเป็นการเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในบริบททางการเมืองไทยในปัจจุบัน การกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่เกินเลยภารกิจทางการทูต เข้าข่ายแทรกแซงกิจการภายในของไทยและละเมิดหลักปฏิบัติและพันธกรณีทางการทูตภายใต้อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ค.ศ.1961 มาตรา 41 จึงขอให้สถานเอกอัครราชทูตดำเนินการเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก
สำหรับเอกอัครราชทูตและอุปทูตประเทศต่างๆ ที่เข้าพบรองปลัด กต. ได้แก่ ฝรั่งเศส, เนเธอร์แลนด์, สหราชอาณาจักร, เยอรมนี, แคนาดา, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, สหรัฐอเมริกา, ฟินแลนด์, เบลเยียม, สหภาพยุโรป
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนทูตต่างประเทศดังกล่าวจะไม่ให้ราคากับท่าทีของกระทรวงการต่างประเทศของไทย โดยสำนักข่าวเอพีรายงานว่า สถานทูตของชาติตะวันตก ได้ออกคำชี้แจงยืนยันว่า สถานทูตของชาติตะวันตกไม่ได้ละเมิดระเบียบปฏิบัติพิธีการทูตแต่อย่างใด และการเฝ้าสังเกตการณ์ก็เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติทางการทูต
4.“บิ๊กตู่” ใช้ ม.44 ยืดเวลาค่ายมือถือจ่ายค่าคลื่น กสทช. พร้อมเปิดทางทีวีดิจิทัลคืนใบอนุญาตได้ภายใน 30 วัน!
เมื่อวันที่ 11 เม.ย. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่คำสั่งหัวหน้า คสช.เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมตามที่ได้มีคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 16/2559 เรื่อง การประมูลคลื่นความถี่เพื่อกิจการโทรคมนาคม เพื่อให้การประมูลคลื่นความถี่ สำหรับกิจการโทรคมนาคม ย่าน 895-915 เมกะเฮิร์ตซ์ / 940-960 เมกะเฮิร์ตซ์ ที่ต้องดำเนินการใหม่ เนื่องจากปัจจุบันปัญหาจากการแข่งขันทางธุรกิจสำหรับกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม ส่งผลต่อความสามารถในการชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ได้ทันภายในเวลาที่กำหนด
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญ ประกอบกับมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว หัวหน้า คสช.จึงมีคำสั่งว่า ผู้รับใบอนุญาตรายใดไม่สามารถชำระเงินประมูลคลื่นความถี่ได้ ให้แจ้งเป็นหนังสือไปยังสำนักงาน กสทช.ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คำสั่งนี้มีผลใช้บังคับ เพื่อขอแบ่งชำระเงินประมูลคลื่นความถี่ และให้สำนักงาน กสทช.พิจารณาแบ่งชำระเงินจากเงินประมูลคลื่นความถี่ออกเป็น 10 งวด (จากเดิม 4 งวด งวดละปี) งวดละเท่าๆ กัน โดยให้ปีที่ผู้รับใบอนุญาตประมูลคลื่นความถี่เริ่มนับเป็นงวดแรก และให้ผู้รับใบอนุญาตชำระเงินประมูลคลื่นความถี่ตามงวดที่ กสทช.พิจารณาตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป โดยงวดที่ต้องชำระในปี 2563 ให้ชำระรวมกับเงินชดเชยของงวดที่ผ่านมาด้วย
นอกจากนี้กรณีที่ผู้รับใบอนุญาตไม่ชำระเงินประมูลคลื่นความถี่ในส่วนที่เหลือตามงวดที่แบ่งชำระภายในเวลาที่กำหนด ผู้รับใบอนุญาตต้องชำระเงินประมูลคลื่นความถี่เพิ่มเท่ากับผลคูณของจำนวนเงินประมูลคลื่นความถี่ที่ค้างชำระกับอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี โดยคำนวณเป็นรายวัน หากพ้นกำหนดชำระเงิน จะถือว่าผู้รับใบอนุญาตกระทำผิดเงื่อนไข กสทช.อาจพิจารณาพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตได้
ส่วนผู้รับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อให้บริการโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิทัลรายใดประสงค์จะคืนใบอนุญาที่ได้รับตามประกาศ ให้แจ้งเป็นหนังสือไปยังสำนักงาน กสทช.ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คำสั่งนี้มีผลใช้บังคับ และให้สำนักงาน กสทช.พิจารณากำหนดค่าชดเชยให้แก่ผู้รับใบอนุญาต ขณะเดียวกันผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเรียกคลื่นความถี่ตามคำสั่งนี้ ได้รับการทดแทน ชดใช้ หรือจ่ายค่าตอบแทนตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่สำนักงาน กสทช.กำหนด คือ การยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ที่ต้องชำระงวดสุดท้ายของราคาขั้นต่ำหรือราคาเริ่มต้น และ 2 งวดสุดท้ายของราคาที่เกินกว่าราคาขั้นต่ำหรือราคาเริ่มต้นตามประกาศ และกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตรายใดยังไม่ชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่จนถึงงวดที่ได้รับยกเว้น ให้ผู้รับใบอนุญาตรายนั้นชำระค่าธรรมเนียมดังกล่าวให้ครบถ้วนจนถึงงวดที่ได้รับยกเว้น โดยให้ชำระภายใน 120 วันนับแต่วันที่คำสั่งนี้มีผลใช้บังคับ
ด้านนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช.กล่าวว่า หลังจากนี้ กสทช.จะเชิญผู้ประกอบการมาประชุมชี้แจงในวันที่ 17 เม.ย. เวลา 11.00 น. และว่า เบื้องต้นคำสั่งหัวหน้า คสช.ดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลที่ประสงค์จะดำเนินธุรกิจต่อ จะได้รับการช่วยเหลืองดเว้นการชำระค่าใบอนุญาตในงวดที่ 5 และ 6 จำนวน 13,622 ล้านบาท โดยถือใบอนุญาตได้ตลอดจนหมดอายุ 15 ปี และรัฐบาลจะให้การช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการเช่าใช้โครงข่ายโทรทัศน์ประเภทที่ใช้คลื่นความถี่ภาคพื้นดินในระบบดิจิทัล ตลอดระยะเวลาการได้รับอนุญาตให้บริการโทรทัศน์ดิจิทัลที่เหลืออยู่ โดยให้มีผลหลังจากสิ้นสุดมาตรการบรรเทาผลกระทบ ซึ่งที่ผ่านมาผู้ประกอบการได้ชำระเงินไปแล้ว 60% ของราคาใบอนุญาตทั้งหมด คิดเป็นมูลค่า 34,600 ล้านบาท
นายฐากรกล่าวด้วยว่า มาตรา 44 ที่ออกมา เพื่อให้ทีวีดิจิทัลที่มีศักยภาพ มีคอนเทนต์ที่ดี สามารถอยู่รอดได้ ซึ่งทีวีดิจิทัลในปัจจุบันมีอยู่ 27 ช่อง คาดว่าจะมีการคืนใบอนุญาตราว 4-5 ช่อง แต่ยังบอกไม่ได้ว่าช่องไหนบ้าง ซึ่งช่องที่เหลือจะมีกำลังใจในการประกอบธุรกิจต่อไป ส่วนเงินชดเชยที่ให้แก่ผู้ที่มาคืนใบอนุญาตนั้น กสทช.จะแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาอีกครั้งว่า จะชดเชยเท่าไหร่ และต้องคืนเงินประมูลทีวีดิจิทัลงวด 4.5 ให้กับ 3 ช่องที่ไม่ได้ขอผ่อนผัน คือ ช่อง 7 เอชดี, เวิร์คพอยท์ และสปริงนิวส์ด้วย
ด้านนายสุภาพ คลี่ขจาย นายกสมาคมผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการทีวิดีจิทัลอยู่ระหว่างรอหลักเกณฑ์ในการคืนใบอนุญาตของ กสทช. ซึ่งก่อนหน้านี้มีผู้ประกอบการหลายรายมีความประสงค์จะคืนใบอนุญาต แต่เมื่อมีคำสั่งมาตรา 44 ทำให้ผู้ประกอบการบางรายอาจเปลี่ยนใจที่จะดำเนินธุรกิจต่อ เพราะไม่ต้องแบกภาระค่าใบอนุญาตกับค่าโครงข่ายอีกราวๆ 10 ปี แต่ยังรอดูความชัดเจนจาก กสทช.อีกครั้ง นายสุภาพกล่าวด้วยว่า การจ่ายเงินชดเชยถือเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ผู้ประกอบการอยากคืนใบอนุญาต
5.เลขาฯ ป.ป.ส.ยันไม่แจ้งข้อหา “อ.เดชา” ครอบครองกัญชาเพื่อแจกยาผู้ป่วย ส่วนคดี “อ.ซ้ง” ขึ้นอยู่กับ ตร.!
ความคืบหน้ากรณีที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ได้เข้าตรวจค้นมูลนิธิขวัญข้าวที่ จ.สุพรรณบุรี ที่มีนายเดชา ศิริภัทร เป็นประธานและผู้ก่อตั้งมูลนิธิฯ เมื่อวันที่ 3 เม.ย. ซึ่งอาจารย์เดชาและมูลนิธิฯ ได้วิจัยกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ และแจกจ่ายสารสกัดกัญชาให้ประชาชนที่เจ็บป่วยใช้บำบัดรักษามาเป็นเวลานาน โดยเป็นองค์กรที่ทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน ไม่แสวงหาผลกำไร ซึ่งตำรวจได้จับกุมนายพรชัย ชูเลิศ หรืออาจารย์ซ้ง เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ พร้อมยึดต้นกล้ากัญชา เมล็ดกัญชาตากแห้ง ผงกัญชาบดแห้ง น้ำกัญชาสกัดทั้งหมด ทั้งนี้ ขณะที่ตำรวจเข้าจับกุมอาจารย์ซ้ง อาจารย์เดชาไม่ได้อยู่ที่มูลนิธิฯ แต่อยู่ที่ประเทศลาว ตำรวจจึงออกหมายเรียกในเวลาต่อมา
หลังมีข่าวตำรวจบุกจับอาจารย์ซ้งพร้อมกัญชาที่มูลนิธิขวัญข้าว ได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในโลกโซเชียล พร้อมติดแฮชแท็ก #SaveDecha เนื่องจากขณะนี้อยู่ในช่วง 90 วันที่กฎหมายยกเว้นโทษไม่เอาผิดผู้ที่ครอบครองกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ โดยผู้ที่ครอบครองต้องแจ้งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ภายในวันที่ 19 พ.ค.นี้ เมื่อยังไม่พ้นกำหนดดังกล่าว เหตุใดตำรวจจึงบุกเข้าจับกุม
ซึ่งต่อมา 8 เม.ย. นายนิยม เต็มศรีสุข เลขาธิการ ป.ป.ส. ได้ออกมาชี้แจงว่า กัญชายังคงเป็นยาเสพติดผิดกฎหมาย การผลิต จำหน่าย ครอบครองต้องได้รับอนุญาต ประชาชนทั่วไปไม่สามารถปลูกกัญชาเองได้ เมื่อตรวจสอบที่ทำการมูลนิธิฯ แล้วพบกัญชา จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องตรวจยึดและจับผู้ต้องหาที่ทำการผลิตและครอบครอง หากเจ้าพนักงานไม่ดำเนินการ จะเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมย้ำว่า การตรวจยึดและจับกุมดังกล่าว ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้กับผู้ใด
ขณะที่หลายฝ่ายทั้งแพทย์ นักวิชาการ นักกฎหมาย ภาคประชาชน รวมถึงรัฐมนตรีบางคน ได้ออกมาการันตีความดีและการช่วยเหลือประชาชนของอาจารย์เดชา และมูลนิธิขวัญข้าว พร้อมตำหนิการกระทำของเจ้าหน้าที่และตำรวจที่บุกจับกุมเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ
โดย ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สิ่งที่มูลนิธิและอาจารย์เดชาทำไป ล้วนเป็นประโยชน์กับผู้ป่วย เนื่องจากผู้ป่วยเหล่านี้มีข้อจำกัดจากแพทย์แผนปัจจุบัน ขณะเดียวกัน ยังมีการสอนวิธีปฏิบัติตัว สอนใช้กัญชาอย่างถูกวิธี ตนอยู่ในชมรม จึงรับทราบและเรียนรู้วิธีการใช้กัญชา โดยแนะนำให้คนไข้ใช้ “กระบวนการ (จับกุม) ดังกล่าวเป็นข้อบกพร่องอย่างให้อภัยไม่ได้ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และ ป.ป.ส. ....” ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าวด้วยว่า การบุกจับแล้วบอกว่าผิดกฎหมาย ถามว่าตำรวจหรือ อย.มีปัญญาให้การบริบาลผู้ป่วยหรือไม่
ขณะที่นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ถึงกับเอาตำแหน่งและชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อการันตีความดีของอาจารย์เดชา โดยกล่าวว่า อาจารย์เดชาเป็นคนซื่อตรงและมีชีวิตเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นมาโดยตลอด มีความเมตตา มีการปฏิบัติธรรมและมีการลงมือทำด้วย แม้อาจารย์เดชาอายุกว่า 70 ปีแล้ว แต่ยังคอยช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ทางผู้ปฏิบัติเรียกว่า เป็นผู้มีหัวใจโพธิสัตว์ คือเห็นใครเดือดร้อน ก็อยากจะช่วยเหลือ แม้กฎหมายไม่ค่อยเอื้อ ก็ยอมเสี่ยงเพื่อทำยาแจกคนยากคนจนและคนทุกข์เข็ญ เพราะยากที่จะไปซื้อยามารักษาโรคร้าย โดยเฉพาะโรคมะเร็ง “ถ้าเซฟอาจารย์เดชาไว้ให้ช่วยเหลือคนจำนวนมาก เอาชีวิตเราไปแลก ติดคุกแทนยังทำได้เลย ...ควรให้คนที่มีความรู้ที่สุด เสียสละที่สุดอยู่ทำงานต่อไป ...ผมยินดีเอาตำแหน่งเป็นประกัน เอาชีวิตเป็นประกันเลยด้วยซ้ำไป”
ด้านมูลนิธิชีววิถี (ไบโอไทย) มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้รวบรวมเงินบริจาคจากประชาชน ยื่นขอประกันตัวอาจารย์ซ้งต่อศาลจังหวัดสุพรรณบุรีเมื่อวันที่ 9 เม.ย. หลังถูกคุมขังตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย. ซึ่งในที่สุด ศาลฯ อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวอาจารย์ซ้ง โดยตีราคาประกัน 5 แสนบาท
ขณะที่อาจารย์เดชาได้เดินทางกลับจากประเทศลาวมาถึงไทยเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ก่อนออกคำแถลงยืนยันว่า การแจกจ่ายน้ำมันกัญชาเพื่อรักษาผู้เจ็บป่วยโรคมะเร็ง พาร์กินสัน โรคข้อ ลมชัก และอื่นๆ เป็นเรื่องศีลธรรมที่ต้องทำ อยู่เหนือกฎระเบียบล้าหลังใดๆ เพราะสิทธิของผู้ป่วยที่จะได้รับยาและการรักษา เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน และศีลธรรมขั้นพื้นฐาน
อาจารย์เดชาเผยด้วยว่า หลังจาก พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ฉบับปรับปรุงแก้ไข เปิดโอกาสให้หมอพื้นบ้านสามารถยื่นขอนิรโทษกรรมมีกัญชาเพื่อครอบครองทางการแพทย์ได้ ก่อนตนเดินทางไปลาว จึงทำหนังสือมอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ยื่นเรื่องขอนิรโทษกรรม แต่กลับมาถูกจับกุมเสียก่อน ทั้งที่ยังอยู่ในช่วง 90 วัน
ล่าสุด 11 เม.ย. นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการ ป.ป.ส. ได้เปิดแถลงพร้อมด้วยอาจารย์เดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ และตัวแทนจากมูลนิธิชีววิถี, มูลนิธิสุขภาพไทย, มูลนิธิเกษตรยั่งยืน (ประเทศไทย) และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค โดยนายนิยมกล่าวว่า การจับกุมนายพรชัย หรืออาจารย์ซ้ง มาจากการตีความกฎหมายของแต่ละฝ่ายไม่เหมือนกัน “สำหรับการยื่นเรื่องขออนุญาตครอบครองนั้น อาจารย์เดชาขอเป็นรายบุคคลและไม่ได้ทำในนามมูลนิธิฯ และเพื่อไม่เป็นการแทรกแซง เราจะให้อาจารย์เดชาดำเนินการตามขั้นตอนไปก่อน ส่วนของกลางที่ยึดมา เช่น ต้นกัญชา น้ำมันสกัดจากกัญชาประมาณ หรือเมล็ดกัญชา และเรื่องคดีความของนายพรชัยขอเป็นหน้าที่พนักงานสอบสวนท้องที่เป็นผู้ดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมาย แต่ยืนยันว่ายังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาต่ออาจารย์เดชา ทั้งสิ้น”
ด้านอาจารย์เดชา เผยว่า ตนได้พูดคุยถึงจุดยืนกับนายนิยม และเข้าใจว่าตนไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ต่อตนเอง และว่า การพูดคุยได้มีข้อตกลงปฏิบัติทั้งสองฝ่าย โดยทาง ป.ป.ส.ทำหน้าที่ของท่านไปและช่วยสนับสนุนเกี่ยวกับกฎหมายที่ยังมีข้อบกพร่อง ส่วนทางมูลนิธิฯ ก็จะดำเนินการรักษาวิจัยต่อไปและให้ผลการปฏิบัติแสดงออกมาให้สังคมได้เห็นว่าฝ่ายใดทำตามข้อตกลงได้หรือไม่ โดยส่วนตัวอยากเสนอให้ถอดกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภท 5 เพราะติดปัญหาตรงจุดนี้มากมาย
ด้าน น.ส.รสนา โตสิตระกูล ตัวแทนมูลนิธิสุขภาพไทย กล่าวว่า ขณะนี้ได้ขอยื่นเรื่องให้อาจารย์เดชา ขึ้นทะเบียนเป็นหมอพื้นบ้านแล้ว โดยมีเงื่อนไขต้องให้ชาวบ้านในพื้นที่ หน่วยงานปกครองท้องถิ่น หรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล มาช่วยรับรองตามขั้นตอน