จากไอดอลสาวที่น่ารัก ผู้ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแกนหลักของความสดใสแห่งไอดอลกรุ๊ปอย่าง BNK48 วันนี้ มิวนิค BNK48 หรือ นันท์นภัส เลิศนามเชิดสกุล ขอก้าวข้ามความเป็นไอดอลมาสู่บทบาทการแสดงบนแผ่นฟิล์มอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก ในคาแรกเตอร์ที่เธอบอกว่า เป็นการทำงานที่ท้าทายและเพิ่มทักษะทางด้านการแสดงไปอีกขั้นใน “Sisters กระสือสยาม”

• อยากให้เราช่วยเล่าถึงคาแรกเตอร์ในหนังเรื่องนี้หน่อยครับ
ในเรื่องรับบทเป็นโมราค่ะ โมราเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่รู้แค่ว่าตัวเองป่วย แต่ว่าไม่รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นอะไร อีกทั้งไม่ได้ทำอะไรที่ตามใจตัวเองมากนักเนื่องจากร่างกายของตัวเองไม่เอื้ออำนวย เลิกเรียนเสร็จก็กลับบ้านเลย ไม่สามารถที่จะกินอาหารที่ตัวเองอยากกิน และต้องกินยาทุกวัน แล้วเป็นเด็กวัยรุ่นที่ไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองอยากเป็นสักเท่าไหร่ แต่ถามว่าคาแรกเตอร์นี้มันแตกต่างจากตัวหนูหรือเปล่า ก็ค่อนข้างใกล้เคียงกับตัวหนูนะคะ แล้วเราก็มีร่างกายที่อ่อนแอด้วย ไม่ใช่เป็นคนที่สุขภาพแข็งแรงอะไรขนาดนั้น อีกอย่างถ้าจะให้เราไปแสดงคาแรกเตอร์วีณาค่อนข้างขัดแน่นอน เพราะว่าเราไม่ใช่เป็นคนที่บุกอะไรขนาดนั้น (ยิ้ม)
• พอเราได้รับโจทย์นี้มาแล้ว เป็นอย่างไรบ้างครับ
ถือว่ายากสำหรับตัวหนูเลย เพราะนอกจากจะเป็นหนังเรื่องแรกแล้ว อีกทั้ง CG ในเรื่องนี้ก็ค่อนข้างเยอะ และด้วยความที่เป็นหนังผี ด้วยองค์ประกอบที่ว่ามามันเลยทำให้เราต้องใช้จินตนาการในการเล่นค่อนข้างเยอะ หนูคิดว่าหนังเรื่องนี้น่าจะเป็นการเพิ่มทักษะในการแสดงตัวหนูเลย เพราะว่าหนังมันมีความแตกต่างจากละครอยู่แล้ว ในเรื่องของความละเอียดที่มีมากกว่า บางทีในเวลาที่เราเล่นมันก็ไม่จำเป็นที่จะออกมาเหมือนกับละคร แค่แสดงให้มันจริงโดยผ่านสีหน้าและแววตา ซึ่งหนูว่ามันยากนะ เพราะว่าหนูว่าเรื่องนี้มันเป็นหนังผีด้วยแหละ แล้วเป็นเรื่องแรกด้วยมันก็เลยทำให้ต้องใช้จินตนาการในการเล่นค่อนข้างสูง

• เรารู้สึกอย่างไรกับกระสือในแบบฉบับก่อนหน้านี้บ้าง
(นิ่งคิด) เอาจริงๆ หนูแทบจะไม่มีภาพเกี่ยวกับกระสือเลย เคยได้ยินแค่เขาเล่ามาว่ากระสือมีลักษณะมีหัวแล้วก็ไส้ ห้อยไปมาตามต่างจังหวัด ก็คือรู้แค่นี้เลย หลังจากนั้นมาก็ไม่รู้อะไรแล้ว การ์ตูนอะไรก็ไม่เคยอ่าน หนูไม่ค่อยชอบเรื่องเกี่ยวกับผีเท่าไหร่ ซึ่งถือว่ายากนะคะ แต่ว่าความกลัวผีของหนูก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการทำงานขนาดนั้น แต่มองในมุมหนึ่งหนูก็คิดว่าเป็นเรื่องดีนะคะ เพราะว่าการที่เรากลัวจริงๆ ในเรื่อง มันทำให้เป็นการส่งเข้าถึงตัวละครไปด้วยเช่นเดียวกัน อีกทั้งทำให้ก้าวข้ามความกลัวผีของตัวหนูเองได้ในระดับหนึ่ง แล้วตัวหนูก็ไม่มีเซนส์ในเรื่องนี้ด้วย ทำให้การทำงานไม่ได้เจอเรื่องราวที่เหนือธรรมชาติ
• ในส่วนของพี่ปรัช (ปรัชญา ปิ่นแก้ว - ผู้กำกับการแสดง) ได้สอนอะไรในการทำงานชิ้นนี้บ้างครับ
เท่าที่หนูได้เรียนรู้จากเขาคือ การเล่นในสิ่งที่เราเข้าใจแล้วออกมาเป็นธรรมชาติมันจะดีที่สุด หมายถึงว่า อย่างที่หนูบอกว่าพี่เขาไม่ได้กำหนดว่าจะต้องเล่นแบบนี้ๆ นะ แต่พี่เขาจะลองปล่อยให้หนูเล่น 1 เทกก่อน แต่ส่วนใหญ่หนูจะค่อนข้างผ่านได้พอสมควร เพราะ character ทั้งหนูและพี่โจ้ (พลอยยุคล โรจนกตัญญู) ค่อนข้างตรงกับตัวละครอยู่แล้วจูนติดกันไมยาก แล้วพอเวลาเล่นมันเลยกลายเป็นว่าเอาความเป็นตัวของตัวเองใส่ลงไปในงาน เลยทำให้การทำงานชิ้นนี้ค่อนข้างสะดวกขึ้น

• แล้วการทำงานตรงนี้มันต่างจากการเป็นไอดอลอย่างไรบ้างครับ
มันต้องมีความต่างกันอยู่แล้วค่ะ คือหนูชอบทำงานในด้านนี้ อะไรที่มันเป็นการแสดงหรือว่าการที่ได้เจอผู้คนหรือเป็นการที่ได้ออกไปทำงาน หนูชอบทุกอย่างเลย เพราะว่าการที่เราทำงานในวงการมาตั้งแต่เด็กก็ถือได้ว่าเป็นตัวช่วยด้วย คือประสบการณ์ในช่วงนั้นก็สามารถนำมาใช้ได้ หนูคิดว่าหนูค่อนข้างมีสมาธิในกองถ่าย หมายถึงว่าเราสามารถมีสมาธิได้ในท่ามกลางคนเยอะ ในเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นการเพิ่มทักษะให้เรา
แต่ถามว่าด้วยวัยที่โตขึ้นมีส่วนไหม หนูก็คิดว่ามีส่วนด้วย เพราะทุกงานที่หนูไปทำมันก็เหมือนกับเป็นการเพิ่มประสบการณ์ขึ้นไปเรื่อยๆ แต่การทำงานในหนังเรื่องนี้มันทำให้ทักษะในการแสดงเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งจริงๆ แล้วหนังเรื่องนี้หนูถ่ายทำมาตั้งแต่ก่อนเข้าวงแล้ว แต่ก็ไม่ถึงขั้นว่าแยกกันไปเลย และก็ไม่ได้มาปะปนกันเยอะ
• จากหนึ่งปีนับตั้งแต่การร่วมเป็นสมาชิกวง BNK48 ถือว่ามีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างครับ
ถ้านับตั้งแต่เริ่มเข้าวง หนูคิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงพอสมควรนะคะ อย่างเรื่องการเรียนหนูก็ต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ในตอนนั้น หนูต้องออกมาเรียนเป็นแบบสอบเทียบ มันเลยสามารถทำให้เราเรียนไปด้วยและทำงานไปด้วยได้ในเวลาเดียวกัน เรื่องการใช้ชีวิต หลังจากที่เข้าวงมาก็ต้องมีความระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น เช่น ไม่ใส่เสื้อที่ติดแบรนด์ หรือในเรื่องการใช้คำพูด จะต้องระวังมากยิ่งขึ้นว่ามีคำไหนหลุดออกมา รวมไปถึงเรื่องลิขสิทธิ์ผ่านเรื่องเพลง ว่ามันจะติดในส่วนตรงนี้ไหม ประมาณนี้ค่ะ
เพียงแต่ว่ามันก็ไม่ได้ถึงขั้นที่ว่าเปลี่ยนแปลงตัวตนของตัวเองเลยก็ไม่ใช่ มันเป็นแค่การใช้ชีวิตในส่วนหนึ่งมากกว่า หนูก็ยังคงเป็นตัวหนูเหมือนเดิม ส่วนคนรอบข้างตัวเรานั้นก็ยังเหมือนเดิมค่ะ เพียงแต่ว่าในส่วนที่หนูออกมาเรียนแบบสอบเทียบอาจจะไม่ได้เจอกันบ่อย จะมีนัดกินข้าวกันบ้าง แล้วก็ไม่ได้ตัดขาดไปเลย ส่วนครอบครัวหนูก็พยายามที่จะใช้เวลากับพวกเขาให้ได้มากที่สุด ไม่ใช่ว่ามีเวลาว่างก็หนีเข้าห้องแล้วไปเล่นโทรศัพท์ ก็ไม่ใช่ ซึ่งการที่มาทำงานตรงนี้ทำให้หนูรู้สึกว่าต้องมีเวลาให้ครอบครัวมากยิ่งขึ้น

• เรียกว่าโตเกินวัยเมื่อเทียบกับเพื่อนวัยเดียวกันมั้ย
โตขึ้นอยู่แล้วค่ะ ทั้งในเรื่องทัศนคติ ความคิด และความรับผิดชอบ เรียกว่าแทบทุกด้านเลย อย่างเรื่องของความรับผิดชอบ ด้วยการทำงานที่มันมีมากขึ้น ทำให้หนูโตขึ้นทางด้านจิตใจ ในแง่ของสังคมและสภาพแวดล้อม จากการที่เราต้องปรับตัวเข้าสู่งาน จากการที่รับมือกับหน้าที่ตรงนี้ไปแล้ว หนูรักทุกคนที่เข้ามาในวงมันจะมีการเติบโตอยู่แล้ว
แต่ถ้าเทียบกับเพื่อนๆ วัยเดียวกัน หนูว่าต้องเติบโตเกินวัยอยู่แล้ว เพราะว่าเราได้เข้ามาทำในสิ่งที่คนอื่นๆ ไม่มีโอกาสได้ทำ ซึ่งโอกาสที่เราได้มาหนูคิดว่าจะทำให้เต็มที่ เพราะถือว่ามันหายากมากๆ กับโอกาสแบบนี้ คือถามว่าแลกกับช่วงชีวิตวัยรุ่นหรือเปล่า หนูว่ามันก็แลกเพียงแต่ไม่ได้สูญเสียไป หมายถึงว่ามันก็มีอย่างอื่นเข้ามาทดแทน คือเราเสียเวลาชีวิตเพื่อมาทุ่มเทกับตรงนี้ แต่มันก็แลกกลับมาด้วยแฟนคลับที่รักเรา
• แสดงว่าการเป็นไอดอลของตัวมิวนิคเอง ก็เท่ากับการเติมเต็มในการทำงานด้านนี้
หนูว่ามันเหมือนกับเป็นการท้าทายความสามารถตัวเองมากกว่า มันเป็นเหมือนกับเราอยากลองอะไรใหม่ๆ ในสิ่งที่เราไม่คิดว่าเราจะได้ ซึ่งทุกวันนี้หนูก็คิดว่าตัวเองยังทำได้เหมือนกัน มันยังไม่ถึงจุดที่คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว ยังไม่ใช่ หนูคิดว่ามันยังมีหนทางอีกเยอะมากที่หนูจะต้องก้าวเดินต่อไป ส่วนอีกข้อที่เราได้จากการมาทำงานตรงนี้ก็คือ มันเหมือนกับเราได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นทุกวัน เพียงแต่ว่าเราได้เรียนรู้เพิ่มมากขึ้นไปอีก หนูคิดว่ามันสนุกนะกับการที่ได้เข้ามาอยู่ตรงนี้ เพราะในแต่ละวันที่ออกไปทำงานเราไม่รู้ว่าจะได้เจออะไรบ้าง สิ่งที่เจอมันคือประสบการณ์ที่เราได้รับ
• เช่นเดียวกัน การมาอยู่ตรงนี้มันก็ทำให้ได้อะไรขึ้นมาด้วย
หนูว่าน่าจะเป็นเรื่องของการเรียนรู้ในเรื่องความผิดหวังและความสมหวัง คือการอยู่ในวงการนี้หนูว่ามันสมหวังตลอดไปก็ไม่ได้หรอกค่ะ มันอาจจะมีความผิดหวังบ้าง แต่ว่าเราก็ลืมนำส่วนนี้มาปรับเป็นแรงผลักดันให้เราก้าวเดินต่อไป หรือในเรื่องความสมหวัง เราอาจจะมีความผิดหวังในตอนนี้ก็ได้ แต่มันก็มีโอกาสที่จะมี 2 อารมณ์สลับกันไปเรื่อยๆ มันก็เหมือนให้เราได้พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เพราะว่ามีคนที่เดินคู่มากับเรา ซึ่งเขาอาจจะแซงเราไปก็ได้
แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราก้มหน้าก้มตาซ้อมอย่างเดียว เพราะการทำแบบนั้นก็เหมือนกับเราอาจจะเสียเพื่อนไป แล้วเพื่อนก็เป็นทั้งเพื่อนและคู่แข่งในเวลาเดียวกัน ซึ่งมันก็ต้องรักษาสถานะตรงนี้ควบคู่กันไป ไม่ใช่ว่าเราคิดแต่จะเอาชนะอย่างเดียวโดยไม่เอาเพื่อนตัวเองก็ไม่ใช่ มันขึ้นอยู่กับโอกาส ช่วงเวลา หรืออะไรหลายๆ อย่าง มันไม่ใช่ปัจจัยที่ว่าอย่างเดียว ต้องมีปัจจัยอื่นที่เข้ามาด้วย อย่างเลือกตั้งเซ็มบัตสึครั้งที่ผ่านมา ทั้งจากผู้ใหญ่ก็ส่วนหนึ่ง หรือว่าการเลือกตั้งก็อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งจากทั้ง 2 อย่างก็ทำให้เรามีทั้งสมหวังและผิดหวังด้วยเช่นกัน

• ได้เรียนรู้อะไรจากความสมหวังและผิดหวัง
ความพยายามและอดทนค่ะ หนูว่ามันจะทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี อาจจะมีบ้างที่ทำให้เราเหนื่อย แต่ถ้าผลลัพธ์ที่ออกมาแล้วคุ้มค่าหนูว่าก็หายเหนื่อยนะ คือถ้าเราไม่เหนื่อยในตอนนี้มันอาจจะไม่สมหวังในอนาคตก็ได้ ในเมื่อเรามีโอกาสแล้วเรายอมเหนื่อยแล้วทำให้มันเต็มที่ดีกว่า คือการที่เราได้เซ็นเตอร์เพลง Tsugi No Season (ฤดูใหม่) มา แต่การได้มาหนูคิดว่าน่าจะเหนื่อยกว่าคนอื่น ซึ่งมันก็กดดันนะคะเพราะว่ามีหลายสายตาที่จับจ้องเรา หนูซ้อมทั้งที่เรียน พอกลับมาบ้านเราก็ต้องซ้อมอีก เพราะว่าเราอยากทำตรงนั้นให้มันดี ซึ่งพอวันเปิดตัว ถ้าเราทำออกมาได้ดี มันจะทำให้ความเหนื่อยนั้นไม่สูญเปล่า
• จากการที่เราได้ไปแสดงตามที่ต่างๆ แล้วแฟนคลับตอบรับดี เรามองตรงนี้อย่างไรบ้าง
จริงๆ หนูว่าตัวหนูไม่ได้เก่งขนาดนั้น มันยังมีอีกหลายอย่างที่หนูต้องทำ แล้วการไปทำงานหนูถือว่าเป็นการฝึกฝนแล้วก็เก็บประสบการณ์ไปในตัว ยังมีอีกหลายอย่างที่หนูต้องเรียนรู้ ซึ่งทุกคนก็มีเป้าหมายเป็นของตัวเองอยู่แล้วค่ะ แต่ก็พยายามเพื่อที่จะไปถึงจุดนั้นอยู่ แล้วแต่ละคนก็มีวิธีไม่เหมือนกันอยู่แล้ว อย่างที่หนูบอกว่ามันมีปัจจัยหลายๆอย่าง บางทีช่วงเวลาหนึ่งอาจจะเป็นช่วงเวลาของเราก็ได้ ตอนนี้มันอาจจะไม่ใช่แต่อนาคตอาจจะใช่ก็ได้ ซึ่งหนูก็พยายามทำตรงนี้ต่อไป เพราะทำแล้วมีความสุข ยังสนุกกับมันอยู่
• สรุปคือ การเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกถือว่าสานต่อความคาดหวังของทั้งตัวเองและแฟนคลับด้วยมั้ย
จริงๆ การเข้ามาในช่วงแรกหนูแค่อยากพิสูจน์ตัวเองว่าเราทำได้หรือเปล่า แต่ในเมื่อเห็นแล้วว่าเราสามารถทำได้เหมือนกัน เราก็ต้องมีความรับผิดชอบในสิ่งที่เราเข้ามา ไม่ใช่ว่าเข้ามาเล่นๆ แล้วอยู่ไปวันๆ เราเข้ามาแล้ว เราอยากจะให้ BNK48 ไปได้ไกลขึ้นซึ่งหนูคิดว่าทุกคนมีความสำคัญหมด ขาดคนใดคนหนึ่งไปก็ไม่ใช่ BNK48 แล้วหนูคิดว่าทุกคนในวงก็น่าจะช่วยๆ กันนะคะ ถ้าแต่ละคนเข้ามาเติมซึ่งกันและกัน หนูว่ามันน่าจะไปได้ไกลขึ้นไปเรื่อยๆ
• ความคาดหวังในตัวผลงานของตัวมิวนิคเองครับ
คือทุกคนก็น่าจะคาดหวังเหมือนกันนะคะ อย่างตัวหนังเรื่องนี้เองหนูก็คาดหวังว่าอยากจะให้เรื่องนี้ออกมาดี ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องชอบหนังเรื่องนี้ ให้เขาลองเปิดใจและเข้ามาดู อีกอย่าง หนูว่าคนไทยยังไม่เปิดใจกับหนังไทยขนาดนั้น หนูคิดว่าถ้าผู้ชมได้เข้ามาดูหนังเรื่องนี้อาจจะได้มุมมองใหม่ๆ ก็ได้ แล้วทั้งหนูกับพี่โจ้ก็เป็นหน้าใหม่ทั้งคู่ ซึ่งถ้ามีคำติชมอะไรหนูก็ยินดีรับ ไม่จำเป็นว่าจะต้องมาชมอย่างเดียว เพราะคำติสามารถเปลี่ยนมาเป็นบทเรียนให้เหมือนกัน (ยิ้ม)
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : วชิร สายจำปา
• อยากให้เราช่วยเล่าถึงคาแรกเตอร์ในหนังเรื่องนี้หน่อยครับ
ในเรื่องรับบทเป็นโมราค่ะ โมราเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่รู้แค่ว่าตัวเองป่วย แต่ว่าไม่รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นอะไร อีกทั้งไม่ได้ทำอะไรที่ตามใจตัวเองมากนักเนื่องจากร่างกายของตัวเองไม่เอื้ออำนวย เลิกเรียนเสร็จก็กลับบ้านเลย ไม่สามารถที่จะกินอาหารที่ตัวเองอยากกิน และต้องกินยาทุกวัน แล้วเป็นเด็กวัยรุ่นที่ไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองอยากเป็นสักเท่าไหร่ แต่ถามว่าคาแรกเตอร์นี้มันแตกต่างจากตัวหนูหรือเปล่า ก็ค่อนข้างใกล้เคียงกับตัวหนูนะคะ แล้วเราก็มีร่างกายที่อ่อนแอด้วย ไม่ใช่เป็นคนที่สุขภาพแข็งแรงอะไรขนาดนั้น อีกอย่างถ้าจะให้เราไปแสดงคาแรกเตอร์วีณาค่อนข้างขัดแน่นอน เพราะว่าเราไม่ใช่เป็นคนที่บุกอะไรขนาดนั้น (ยิ้ม)
• พอเราได้รับโจทย์นี้มาแล้ว เป็นอย่างไรบ้างครับ
ถือว่ายากสำหรับตัวหนูเลย เพราะนอกจากจะเป็นหนังเรื่องแรกแล้ว อีกทั้ง CG ในเรื่องนี้ก็ค่อนข้างเยอะ และด้วยความที่เป็นหนังผี ด้วยองค์ประกอบที่ว่ามามันเลยทำให้เราต้องใช้จินตนาการในการเล่นค่อนข้างเยอะ หนูคิดว่าหนังเรื่องนี้น่าจะเป็นการเพิ่มทักษะในการแสดงตัวหนูเลย เพราะว่าหนังมันมีความแตกต่างจากละครอยู่แล้ว ในเรื่องของความละเอียดที่มีมากกว่า บางทีในเวลาที่เราเล่นมันก็ไม่จำเป็นที่จะออกมาเหมือนกับละคร แค่แสดงให้มันจริงโดยผ่านสีหน้าและแววตา ซึ่งหนูว่ามันยากนะ เพราะว่าหนูว่าเรื่องนี้มันเป็นหนังผีด้วยแหละ แล้วเป็นเรื่องแรกด้วยมันก็เลยทำให้ต้องใช้จินตนาการในการเล่นค่อนข้างสูง
• เรารู้สึกอย่างไรกับกระสือในแบบฉบับก่อนหน้านี้บ้าง
(นิ่งคิด) เอาจริงๆ หนูแทบจะไม่มีภาพเกี่ยวกับกระสือเลย เคยได้ยินแค่เขาเล่ามาว่ากระสือมีลักษณะมีหัวแล้วก็ไส้ ห้อยไปมาตามต่างจังหวัด ก็คือรู้แค่นี้เลย หลังจากนั้นมาก็ไม่รู้อะไรแล้ว การ์ตูนอะไรก็ไม่เคยอ่าน หนูไม่ค่อยชอบเรื่องเกี่ยวกับผีเท่าไหร่ ซึ่งถือว่ายากนะคะ แต่ว่าความกลัวผีของหนูก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการทำงานขนาดนั้น แต่มองในมุมหนึ่งหนูก็คิดว่าเป็นเรื่องดีนะคะ เพราะว่าการที่เรากลัวจริงๆ ในเรื่อง มันทำให้เป็นการส่งเข้าถึงตัวละครไปด้วยเช่นเดียวกัน อีกทั้งทำให้ก้าวข้ามความกลัวผีของตัวหนูเองได้ในระดับหนึ่ง แล้วตัวหนูก็ไม่มีเซนส์ในเรื่องนี้ด้วย ทำให้การทำงานไม่ได้เจอเรื่องราวที่เหนือธรรมชาติ
• ในส่วนของพี่ปรัช (ปรัชญา ปิ่นแก้ว - ผู้กำกับการแสดง) ได้สอนอะไรในการทำงานชิ้นนี้บ้างครับ
เท่าที่หนูได้เรียนรู้จากเขาคือ การเล่นในสิ่งที่เราเข้าใจแล้วออกมาเป็นธรรมชาติมันจะดีที่สุด หมายถึงว่า อย่างที่หนูบอกว่าพี่เขาไม่ได้กำหนดว่าจะต้องเล่นแบบนี้ๆ นะ แต่พี่เขาจะลองปล่อยให้หนูเล่น 1 เทกก่อน แต่ส่วนใหญ่หนูจะค่อนข้างผ่านได้พอสมควร เพราะ character ทั้งหนูและพี่โจ้ (พลอยยุคล โรจนกตัญญู) ค่อนข้างตรงกับตัวละครอยู่แล้วจูนติดกันไมยาก แล้วพอเวลาเล่นมันเลยกลายเป็นว่าเอาความเป็นตัวของตัวเองใส่ลงไปในงาน เลยทำให้การทำงานชิ้นนี้ค่อนข้างสะดวกขึ้น
• แล้วการทำงานตรงนี้มันต่างจากการเป็นไอดอลอย่างไรบ้างครับ
มันต้องมีความต่างกันอยู่แล้วค่ะ คือหนูชอบทำงานในด้านนี้ อะไรที่มันเป็นการแสดงหรือว่าการที่ได้เจอผู้คนหรือเป็นการที่ได้ออกไปทำงาน หนูชอบทุกอย่างเลย เพราะว่าการที่เราทำงานในวงการมาตั้งแต่เด็กก็ถือได้ว่าเป็นตัวช่วยด้วย คือประสบการณ์ในช่วงนั้นก็สามารถนำมาใช้ได้ หนูคิดว่าหนูค่อนข้างมีสมาธิในกองถ่าย หมายถึงว่าเราสามารถมีสมาธิได้ในท่ามกลางคนเยอะ ในเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นการเพิ่มทักษะให้เรา
แต่ถามว่าด้วยวัยที่โตขึ้นมีส่วนไหม หนูก็คิดว่ามีส่วนด้วย เพราะทุกงานที่หนูไปทำมันก็เหมือนกับเป็นการเพิ่มประสบการณ์ขึ้นไปเรื่อยๆ แต่การทำงานในหนังเรื่องนี้มันทำให้ทักษะในการแสดงเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งจริงๆ แล้วหนังเรื่องนี้หนูถ่ายทำมาตั้งแต่ก่อนเข้าวงแล้ว แต่ก็ไม่ถึงขั้นว่าแยกกันไปเลย และก็ไม่ได้มาปะปนกันเยอะ
• จากหนึ่งปีนับตั้งแต่การร่วมเป็นสมาชิกวง BNK48 ถือว่ามีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างครับ
ถ้านับตั้งแต่เริ่มเข้าวง หนูคิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงพอสมควรนะคะ อย่างเรื่องการเรียนหนูก็ต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ในตอนนั้น หนูต้องออกมาเรียนเป็นแบบสอบเทียบ มันเลยสามารถทำให้เราเรียนไปด้วยและทำงานไปด้วยได้ในเวลาเดียวกัน เรื่องการใช้ชีวิต หลังจากที่เข้าวงมาก็ต้องมีความระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น เช่น ไม่ใส่เสื้อที่ติดแบรนด์ หรือในเรื่องการใช้คำพูด จะต้องระวังมากยิ่งขึ้นว่ามีคำไหนหลุดออกมา รวมไปถึงเรื่องลิขสิทธิ์ผ่านเรื่องเพลง ว่ามันจะติดในส่วนตรงนี้ไหม ประมาณนี้ค่ะ
เพียงแต่ว่ามันก็ไม่ได้ถึงขั้นที่ว่าเปลี่ยนแปลงตัวตนของตัวเองเลยก็ไม่ใช่ มันเป็นแค่การใช้ชีวิตในส่วนหนึ่งมากกว่า หนูก็ยังคงเป็นตัวหนูเหมือนเดิม ส่วนคนรอบข้างตัวเรานั้นก็ยังเหมือนเดิมค่ะ เพียงแต่ว่าในส่วนที่หนูออกมาเรียนแบบสอบเทียบอาจจะไม่ได้เจอกันบ่อย จะมีนัดกินข้าวกันบ้าง แล้วก็ไม่ได้ตัดขาดไปเลย ส่วนครอบครัวหนูก็พยายามที่จะใช้เวลากับพวกเขาให้ได้มากที่สุด ไม่ใช่ว่ามีเวลาว่างก็หนีเข้าห้องแล้วไปเล่นโทรศัพท์ ก็ไม่ใช่ ซึ่งการที่มาทำงานตรงนี้ทำให้หนูรู้สึกว่าต้องมีเวลาให้ครอบครัวมากยิ่งขึ้น
• เรียกว่าโตเกินวัยเมื่อเทียบกับเพื่อนวัยเดียวกันมั้ย
โตขึ้นอยู่แล้วค่ะ ทั้งในเรื่องทัศนคติ ความคิด และความรับผิดชอบ เรียกว่าแทบทุกด้านเลย อย่างเรื่องของความรับผิดชอบ ด้วยการทำงานที่มันมีมากขึ้น ทำให้หนูโตขึ้นทางด้านจิตใจ ในแง่ของสังคมและสภาพแวดล้อม จากการที่เราต้องปรับตัวเข้าสู่งาน จากการที่รับมือกับหน้าที่ตรงนี้ไปแล้ว หนูรักทุกคนที่เข้ามาในวงมันจะมีการเติบโตอยู่แล้ว
แต่ถ้าเทียบกับเพื่อนๆ วัยเดียวกัน หนูว่าต้องเติบโตเกินวัยอยู่แล้ว เพราะว่าเราได้เข้ามาทำในสิ่งที่คนอื่นๆ ไม่มีโอกาสได้ทำ ซึ่งโอกาสที่เราได้มาหนูคิดว่าจะทำให้เต็มที่ เพราะถือว่ามันหายากมากๆ กับโอกาสแบบนี้ คือถามว่าแลกกับช่วงชีวิตวัยรุ่นหรือเปล่า หนูว่ามันก็แลกเพียงแต่ไม่ได้สูญเสียไป หมายถึงว่ามันก็มีอย่างอื่นเข้ามาทดแทน คือเราเสียเวลาชีวิตเพื่อมาทุ่มเทกับตรงนี้ แต่มันก็แลกกลับมาด้วยแฟนคลับที่รักเรา
• แสดงว่าการเป็นไอดอลของตัวมิวนิคเอง ก็เท่ากับการเติมเต็มในการทำงานด้านนี้
หนูว่ามันเหมือนกับเป็นการท้าทายความสามารถตัวเองมากกว่า มันเป็นเหมือนกับเราอยากลองอะไรใหม่ๆ ในสิ่งที่เราไม่คิดว่าเราจะได้ ซึ่งทุกวันนี้หนูก็คิดว่าตัวเองยังทำได้เหมือนกัน มันยังไม่ถึงจุดที่คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว ยังไม่ใช่ หนูคิดว่ามันยังมีหนทางอีกเยอะมากที่หนูจะต้องก้าวเดินต่อไป ส่วนอีกข้อที่เราได้จากการมาทำงานตรงนี้ก็คือ มันเหมือนกับเราได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นทุกวัน เพียงแต่ว่าเราได้เรียนรู้เพิ่มมากขึ้นไปอีก หนูคิดว่ามันสนุกนะกับการที่ได้เข้ามาอยู่ตรงนี้ เพราะในแต่ละวันที่ออกไปทำงานเราไม่รู้ว่าจะได้เจออะไรบ้าง สิ่งที่เจอมันคือประสบการณ์ที่เราได้รับ
• เช่นเดียวกัน การมาอยู่ตรงนี้มันก็ทำให้ได้อะไรขึ้นมาด้วย
หนูว่าน่าจะเป็นเรื่องของการเรียนรู้ในเรื่องความผิดหวังและความสมหวัง คือการอยู่ในวงการนี้หนูว่ามันสมหวังตลอดไปก็ไม่ได้หรอกค่ะ มันอาจจะมีความผิดหวังบ้าง แต่ว่าเราก็ลืมนำส่วนนี้มาปรับเป็นแรงผลักดันให้เราก้าวเดินต่อไป หรือในเรื่องความสมหวัง เราอาจจะมีความผิดหวังในตอนนี้ก็ได้ แต่มันก็มีโอกาสที่จะมี 2 อารมณ์สลับกันไปเรื่อยๆ มันก็เหมือนให้เราได้พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เพราะว่ามีคนที่เดินคู่มากับเรา ซึ่งเขาอาจจะแซงเราไปก็ได้
แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราก้มหน้าก้มตาซ้อมอย่างเดียว เพราะการทำแบบนั้นก็เหมือนกับเราอาจจะเสียเพื่อนไป แล้วเพื่อนก็เป็นทั้งเพื่อนและคู่แข่งในเวลาเดียวกัน ซึ่งมันก็ต้องรักษาสถานะตรงนี้ควบคู่กันไป ไม่ใช่ว่าเราคิดแต่จะเอาชนะอย่างเดียวโดยไม่เอาเพื่อนตัวเองก็ไม่ใช่ มันขึ้นอยู่กับโอกาส ช่วงเวลา หรืออะไรหลายๆ อย่าง มันไม่ใช่ปัจจัยที่ว่าอย่างเดียว ต้องมีปัจจัยอื่นที่เข้ามาด้วย อย่างเลือกตั้งเซ็มบัตสึครั้งที่ผ่านมา ทั้งจากผู้ใหญ่ก็ส่วนหนึ่ง หรือว่าการเลือกตั้งก็อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งจากทั้ง 2 อย่างก็ทำให้เรามีทั้งสมหวังและผิดหวังด้วยเช่นกัน
• ได้เรียนรู้อะไรจากความสมหวังและผิดหวัง
ความพยายามและอดทนค่ะ หนูว่ามันจะทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี อาจจะมีบ้างที่ทำให้เราเหนื่อย แต่ถ้าผลลัพธ์ที่ออกมาแล้วคุ้มค่าหนูว่าก็หายเหนื่อยนะ คือถ้าเราไม่เหนื่อยในตอนนี้มันอาจจะไม่สมหวังในอนาคตก็ได้ ในเมื่อเรามีโอกาสแล้วเรายอมเหนื่อยแล้วทำให้มันเต็มที่ดีกว่า คือการที่เราได้เซ็นเตอร์เพลง Tsugi No Season (ฤดูใหม่) มา แต่การได้มาหนูคิดว่าน่าจะเหนื่อยกว่าคนอื่น ซึ่งมันก็กดดันนะคะเพราะว่ามีหลายสายตาที่จับจ้องเรา หนูซ้อมทั้งที่เรียน พอกลับมาบ้านเราก็ต้องซ้อมอีก เพราะว่าเราอยากทำตรงนั้นให้มันดี ซึ่งพอวันเปิดตัว ถ้าเราทำออกมาได้ดี มันจะทำให้ความเหนื่อยนั้นไม่สูญเปล่า
• จากการที่เราได้ไปแสดงตามที่ต่างๆ แล้วแฟนคลับตอบรับดี เรามองตรงนี้อย่างไรบ้าง
จริงๆ หนูว่าตัวหนูไม่ได้เก่งขนาดนั้น มันยังมีอีกหลายอย่างที่หนูต้องทำ แล้วการไปทำงานหนูถือว่าเป็นการฝึกฝนแล้วก็เก็บประสบการณ์ไปในตัว ยังมีอีกหลายอย่างที่หนูต้องเรียนรู้ ซึ่งทุกคนก็มีเป้าหมายเป็นของตัวเองอยู่แล้วค่ะ แต่ก็พยายามเพื่อที่จะไปถึงจุดนั้นอยู่ แล้วแต่ละคนก็มีวิธีไม่เหมือนกันอยู่แล้ว อย่างที่หนูบอกว่ามันมีปัจจัยหลายๆอย่าง บางทีช่วงเวลาหนึ่งอาจจะเป็นช่วงเวลาของเราก็ได้ ตอนนี้มันอาจจะไม่ใช่แต่อนาคตอาจจะใช่ก็ได้ ซึ่งหนูก็พยายามทำตรงนี้ต่อไป เพราะทำแล้วมีความสุข ยังสนุกกับมันอยู่
• สรุปคือ การเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกถือว่าสานต่อความคาดหวังของทั้งตัวเองและแฟนคลับด้วยมั้ย
จริงๆ การเข้ามาในช่วงแรกหนูแค่อยากพิสูจน์ตัวเองว่าเราทำได้หรือเปล่า แต่ในเมื่อเห็นแล้วว่าเราสามารถทำได้เหมือนกัน เราก็ต้องมีความรับผิดชอบในสิ่งที่เราเข้ามา ไม่ใช่ว่าเข้ามาเล่นๆ แล้วอยู่ไปวันๆ เราเข้ามาแล้ว เราอยากจะให้ BNK48 ไปได้ไกลขึ้นซึ่งหนูคิดว่าทุกคนมีความสำคัญหมด ขาดคนใดคนหนึ่งไปก็ไม่ใช่ BNK48 แล้วหนูคิดว่าทุกคนในวงก็น่าจะช่วยๆ กันนะคะ ถ้าแต่ละคนเข้ามาเติมซึ่งกันและกัน หนูว่ามันน่าจะไปได้ไกลขึ้นไปเรื่อยๆ
• ความคาดหวังในตัวผลงานของตัวมิวนิคเองครับ
คือทุกคนก็น่าจะคาดหวังเหมือนกันนะคะ อย่างตัวหนังเรื่องนี้เองหนูก็คาดหวังว่าอยากจะให้เรื่องนี้ออกมาดี ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องชอบหนังเรื่องนี้ ให้เขาลองเปิดใจและเข้ามาดู อีกอย่าง หนูว่าคนไทยยังไม่เปิดใจกับหนังไทยขนาดนั้น หนูคิดว่าถ้าผู้ชมได้เข้ามาดูหนังเรื่องนี้อาจจะได้มุมมองใหม่ๆ ก็ได้ แล้วทั้งหนูกับพี่โจ้ก็เป็นหน้าใหม่ทั้งคู่ ซึ่งถ้ามีคำติชมอะไรหนูก็ยินดีรับ ไม่จำเป็นว่าจะต้องมาชมอย่างเดียว เพราะคำติสามารถเปลี่ยนมาเป็นบทเรียนให้เหมือนกัน (ยิ้ม)
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : วชิร สายจำปา