เคยคิดไหมว่า มันจะเป็นอย่างไร
ถ้าเราต้องไปใช้ชีวิต ไปอยู่ไปกิน ข้างกองขยะ
ร่วมกับคนเร่ร่อนหรือคนบ้า?
แต่สำหรับ “ต้องเต-ธิติ ศรีนวล” ไม่ใช่แค่คิดหรือสงสัย
แต่เขาพาตัวเองออกไปใช้ชีวิตแบบนั้นจริงๆ
กินและนอนข้างกองขยะ น้ำไม่อาบเป็นแรมเดือน
เฉกเช่นคนจรหรือคนบ้าคนหนึ่ง
อะไร? ดลใจให้เด็กหนุ่มมหา’ลัยที่เป็นถึง “เดือนคณะ”
เป็น “เน็ตไอดอล” และเป็นนักแสดงในหนังไทบ้าน เดอะ ซีรี่ย์
ออกไปใช้ชีวิตแบบนั้น
และเขาได้ค้นพบหรือเรียนรู้อะไรบ้าง?
จากชีวิตข้างกองขยะที่ใครต่อใครต่างมองว่าสกปรกไม่น่ามอง

• อะไรดลใจให้คุณออกไปใช้ชีวิตอย่างนั้น
ผมว่าวัยรุ่นมันเป็นวัยที่ทดลอง ผมก็ทดลองเหมือนกันแต่ว่าผมทดลองในอีกสไตล์หนึ่ง ที่เรียกว่าทำตามใจตัวเอง จากภายนอกอาจจะดูว่าเหมือนเป็นคนสกปรก เราเห็นสังคมวัยรุ่นว่าจะต้องเป็นคนสะอาด ต้องเข้าสังคมได้ ต้องหล่อ ต้องหน้าตาดี แต่ถ้าเราเป็นเราแบบนี้ สังคมจะยอมรับมั้ย เหมือนกับถามกลับไปสู่สังคมไปในตัว แต่ถามว่ายอมรับไหม เราก็ต้องยอมรับตัวเองว่าเราเกิดในยุคที่สังคมมันเปลี่ยนเร็ว เขายอมรับเราไม่ได้หรอก แต่พอเราเป็นตัวตนอย่างนี้แล้ว ยอมรับในบุคลิกภายนอกไม่ได้ งั้นต้องยอมรับในความสามารถและกัน
• คุณกำลังจะบอกว่า มีความเป็นหัวขบถนิดๆ ประมาณนั้น
ผมไม่รู้ว่าคำนี้มันใช้กับผมได้ไหม แต่ผมจะใช้คำว่าตลกร้ายมากกว่า เราอาจจะด่าสังคม แต่ว่าเราก็ไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดี เราก็ยังเป็นตัวเรา อาจจะแต่งตัวสกปรกไม่เรียบร้อย แต่ว่าเราก็ไม่ไปปล้นขโมยใคร อาจจะเปรียบได้เป็นงานศิลปะลักษณะ abstract ซึ่งคนภายนอกเขาอาจจะว่าตัวเรา แต่เขาไม่รู้หรอกว่าเรากำลังด่าสังคมอยู่ ถ้าเขาได้ฟังคำอธิบายที่เราสื่อไปเขาก็น่าจะเข้าใจในความหมายที่เราทำอยู่ มันเหมือนงานศิลปะชิ้นหนึ่งในตัวผม

• ประมาณว่าการใช้ชีวิตอย่างนี้ เหมือนกับการสร้างงานศิลปะให้กับตัวเอง
ใช่ครับ อย่างผมเอง เคยมีครั้งหนึ่งที่ชอบคนจรจัด ตอนแรกผมรู้สึกว่าเขาน่ากลัว เขาจะมาทำร้ายเราหรือเปล่า เราเลยอยากตัดตรงนี้ออกไป เลยตัดสินใจที่จะไปคลุกคลีกับเขาด้วยการไปอยู่ด้วยกันประมาณ 3 อาทิตย์ ที่ขอนแก่น ใช้ชีวิตเป็นคนจรจัดเลย กินอะไรก็กินเหมือนกับเขาเลย เรารู้สึกว่าโลกของเขามันมีความสุขนะ คือถ้าคนปกติมองอาจจะมองว่าคนนี้คือคนบ้า เดี๋ยวไม่มีอะไรกินก็ไปปล้นคนนั้นคนนี้ หรือว่ามีความรุนแรง แต่พอเราไปใช้ชีวิตจริงๆ มันรู้สึกว่าเขามีความสุขในรูปแบบของเขา ในโลกของเขา เลยอยากเอาตรงนี้มาขยายความในตัวเรา ให้คนอื่นอาจจะดูว่าเราเป็นแบบเขา แต่ตอบโจทย์เราว่าเราก็มีความสุขแบบเดียวกับเขาเช่นกัน บางคนอาจจะมองว่าแสดงหรือเปล่า แต่ผมบอกเลยว่าเราไม่อาบน้ำจริงๆ
• แสดงว่าในบางครั้ง คุณก็ถูกตั้งแง่เหมือนกัน
ผมเคยอ่านบทละครเวทีเรื่องเมืองคนโง่ (หรือ Fools บทประพันธ์โดย Neil Simon นักเขียนบทละครเวทีชาวอเมริกัน) แล้วทั้งเรื่องก็มีการตั้งคำถามว่า เราใช้ชีวิตเพื่ออะไร แล้วตัวละครในเรื่องตอบคำถามนี้ไม่ได้ ผมก็เชื่อว่าคนไหนในปัจจุบันก็ไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้เช่นกัน แล้วเราบอกว่าตัวเองโง่หรือเปล่า ก็ไม่มีใครตอบได้ เพราะว่าชีวิตก็ต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ แล้วการเรียนรู้ของผมตรงนี้ผมอาจจะโง่ในเรื่องการใช้ชีวิตในวัยรุ่น แต่ความโง่ตรงนี้ก็สอนอะไรบางอย่างให้กับผมได้ ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้ผมอาจจะยังไม่ได้อะไรจากมันนัก ผมอาจจะได้ในสิ่งที่ไม่ดี หรือได้มุมมองจากคนรอบข้าง เขาอาจจะมองผมไม่ดีบ้าง แต่ผมคิดว่าสิ่งที่เขามองมาที่เรามันอาจจะเป็นประโยชน์ให้กับผม แล้วถ้าผมมองเขาอีกแง่หนึ่ง ประมาณนี้ครับ

• ในมุมหนึ่ง ด้วยที่บ้านคุณก็ถือว่ามีหน้ามีตาอยู่พอสมควร การใช้ชีวิตแบบนี้ถือว่า “ดื้อ” กับพวกเขาด้วยมั้ย
ตอนแรกก็เหมือนครอบครัวปกติครับที่ยอมรับไม่ได้ แต่ที่บ้านก็บอกเหมือนกันนะครับว่าถ้าเก่งไม่ได้ก็เป็นคนดีก่อนละกัน อย่าไปโกงใคร ผมคิดว่าแม่น่าจะพูดกับผมแบบนี้นะ แต่จริงๆ ท่านคงไม่ได้พูดหรอก อย่างที่บอกว่าเราก็ไม่ได้สร้างปัญหาให้ใคร แต่เราน่าจะสร้างประโยชน์ด้วยซ้ำ สร้างกับวัยรุ่นที่กำลังหลงผิด ถ้าเราไปบอกกับพวกเขาแบบคุยดีๆ เด็กมันคงไม่ฟังหรอก แต่ถ้ามันมองเห็นเราเป็นไอดอล มันสามารถจะเก็บคำพูดของเราไปคิด ส่วนเรื่องที่จะทำตามหรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่อง แต่อย่างน้อยพวกนี้ก็ได้เก็บคำพูดของเราไปคิดแล้ว

• แน่นอนว่าการใช้ชีวิตของเราที่เป็นคนจรจัด หรือไม่อาบน้ำ เราได้แง่คิดจากการใช้ชีวิตแบบนี้ยังไงบ้าง
ในช่วงวัยรุ่นแน่นอนว่ามันก็ต้องมีช่วงที่ไม่รู้ว่าชีวิตจะไปต่อยังไง หลังจากที่เรียนจบไปเราจะชอบวิชานี้จริงๆ ไหม เราเรียนมาเพื่ออะไร เราเลยได้ลองหลุดออกไปครั้งหนึ่ง ถามว่าได้อะไรไหม ผมบอกเลยว่าได้ความลำบาก แล้วมันเป็นผลดีเหรอ ตัวเองก็อยู่ดีๆ แล้วจะไปลำบากทำไม แต่ผมรู้สึกว่าถ้าชีวิตเราลำบากสุดๆ แล้ว ถ้าเราเจอปัญหามันจะรู้สึกสบายไปเลย เช่นว่าเดือนนี้ไม่มีเงินใช้เลย แต่พอเรานึกถึงช่วงเวลาที่เราเป็นคนจรจัดแล้วคุ้ยขยะกิน มันก็ทำให้เราคิดว่าเราไม่มีความลำบากเลย แต่ถามว่าหามุมมองอื่นได้ไหม ได้ แต่ผมตอบไม่ได้เพราะว่ามันจะอยู่ในช่วงเวลานั้นๆ ได้ ในส่วนที่เราคิด และตอบคำถามตัวเองในตอนนั้น แล้วพอเวลาผ่านไปเราหาคำตอบจากคำถามนั้นมั้ย ผมดันลืมไปหมด แต่มันตอบได้ด้วยตัวเองซึ่งก็งงเหมือนกัน

• หลายคนอาจจะเคยโดยสบประมาทว่าเหนื่อยเปล่า แต่อะไรที่เรายังเชื่อว่าจะทำแบบนี้อยู่
อย่างแรกเลย การวิพากษ์สังคมจะต้องให้คนกลุ่มใหญ่มองเราว่าเป็นอะไรสักอย่างหนึ่งที่เราจะพูด แต่โดยส่วนตัวผมจะไม่เป็นลักษณะเชิงวิพากษ์ ผมจะเป็นแบบว่าถ้ามองก็มอง แต่ถ้าไม่มองก็แล้วแต่ สามารถมองได้อย่างอิสระ เพราะผมคงเปลี่ยนอะไรสังคมไม่ได้ ผมเปลี่ยนคนกลุ่มใหญ่ไม่ได้ แต่ผมเป็นผมเอง คุณมองผมแล้วคุณอาจจะได้อะไรสักอย่าง แต่ผมไม่รู้ว่าได้อะไร ถ้าคุณมองว่าผมด่า ผมก็จะเป็นอย่างที่คุณคิดว่าผมด่า จะคิดอะไรก็แล้วแต่ เหมือนเราเป็นตัวแทนในการด่าในความคิดเขาก็ได้

• การมีแนวคิดหรืออุดมการณ์บางอย่าง มันค่อนข้างตอบโจทย์ในตัวเราประมาณหนึ่งรึยัง
ตอนนี้ถือว่าได้นิดเดียว ถึงว่ายังไม่ตอบโจทย์อะไรเลย เพราะว่ามันยังมีอะไรเยอะแยะในสังคมที่เราต้องเรียนรู้ อย่างการที่มาอยู่ในกรุงเทพฯ ผมอยากมาใช้ชีวิตคนจรจัดที่นี่ ผมว่าคนจรจัดที่นี่น่าจะแตกต่างจากคนจรจัดที่ผมเคยไปสัมผัสมา คือสภาพแวดล้อมมันไม่เหมือนกัน มันอาจจะได้มุมมองใหม่ คือผมอยากจะเป็นคนจรจัดในตามที่ต่างๆ ทั้งในจังหวัดตัวเอง ในกรุงเทพฯ หรือว่าต่างประเทศ ความฝันของผมอยากจะไปเป็นคนจรจัดในทุกประเทศที่สามารถไปได้ตามกำลังทรัพย์ของตัวเอง แต่ปัญหาก็คืออยู่ที่เงินนี่แหละ มันเลยทำให้เรายังไปไหนไม่ได้ ก็ต้องเป็นคนจรจัดในประเทศเรา (ยิ้ม)

• แล้วการไปศึกษาคนจรจัด อะไรคือสิ่งที่มีความสุขสำหรับเราในการศึกษาครับ
ในแต่ละวัน ผมเจอไม่เหมือนกันเลย เคยเจอคนจรจัดที่เป็นเจ้าถิ่น หมายถึงว่าเขาจะมีเขตขยะเป็นของตนเอง ถ้าสมมติว่าเราหิว แต่ขยะไม่ใช่ของเรา ค้นโดยไม่มองรอบข้าง เราอาจจะโดนทำร้ายได้ เพราะว่าเขาก็มีพื้นที่ส่วนตัวของเขา หรือเคยเจอคนจรจัดที่มีนิสัยดี เช่นว่า ผมเคยให้เงินเขาวันละ 5 บาทคนเดียว ให้ทุกครั้ง แต่มีวันหนึ่งที่ผมให้เขาเลือกระหว่าง 5 บาท กับ 10 บาท ปรากฏว่าเขาเลือกเหรียญ 5 บาทเหมือนเดิม ผมมีความสงสัยในใจว่า ความจำเขามีแค่เหรียญเดิมหรือเปล่า ผมเลยถามเขาไปว่าทำไมเลือกเหรียญเดิม เขาตอบกลับมาว่า ผมเอาแค่พอได้ เอาแค่คุณพอให้ แล้วส่วนนี้คือส่วนที่คุณพอใช้เหมือนกัน
หรือถ้าดื่มน้ำ ต่อให้กระหายแค่ไหน เขาก็ไม่ดื่มจนหมดขวด เพราะบางคนถ้าเขานอนใกล้ต้นไม้ เขาจะเก็บในส่วนนั้นมารดน้ำ ส่วนการกิน ผมเคยลองกินลูกชิ้นที่ไม่รู้ว่าผ่านมากี่วันแล้วซึ่งมีกลิ่นที่เหม็นมาก พอผมได้ลองกินเข้าไป ผมแสบท้องเลย ทั้งด้วยความเผ็ดและมันอยู่นาน เขาจะแนะนำว่าให้ลองกินอะไรบางอย่างรองท้องก่อน ก่อนที่จะกินส่วนที่เหลือลงไป มันจะทำให้เราไม่แสบท้อง พวกเขาก็สอนผมมาเรื่อยๆ โดยผมอาศัยในการเรียนรู้อย่างเดียว

• จากความสำเร็จที่ผ่านมา พอมีภาคพิเศษออกมา โดยส่วนตัวมีความรู้สึกยังไง
กดดันครับ เพราะทางทีมงานได้ให้โอกาสเราขึ้นมากำกับร่วม จากที่ก่อนหน้านี้ผมทำหน้าที่ร่วมเขียนบทภาพยนตร์ แล้วก็เป็นผู้ช่วยผู้กำกับ แล้วพอเขาให้โอกาสเรา ซึ่งจากก่อนหน้านี้เราจะถนัดในความเป็นอีสาน แต่พอมาเป็นครั้งนี้มันต้องตอบโจทย์คนในวงกว้าง รวมถึงทางภาพก็ต้องเปลี่ยนใหม่หมด เหมือนกับเปิดตลาดให้กับทางไทบ้านด้วย ซึ่งมันมีความยากครับ บวกกับการที่ได้เพื่อนๆ กลุ่ม BNK48 เข้ามา เราก็พอทราบกฎต่างๆ ซึ่งมันเข้าใจง่าย ไม่มีอะไรแปลกใหม่ มันก็เลยท้าทายว่าคนมองมาว่ามมันง่ายและธรรมดาไปหรือเปล่า แต่สิ่งนี้มันต้องมีอะไรซ่อนอยู่เหมิอนกัน






ถ้าเราต้องไปใช้ชีวิต ไปอยู่ไปกิน ข้างกองขยะ
ร่วมกับคนเร่ร่อนหรือคนบ้า?
แต่สำหรับ “ต้องเต-ธิติ ศรีนวล” ไม่ใช่แค่คิดหรือสงสัย
แต่เขาพาตัวเองออกไปใช้ชีวิตแบบนั้นจริงๆ
กินและนอนข้างกองขยะ น้ำไม่อาบเป็นแรมเดือน
เฉกเช่นคนจรหรือคนบ้าคนหนึ่ง
อะไร? ดลใจให้เด็กหนุ่มมหา’ลัยที่เป็นถึง “เดือนคณะ”
เป็น “เน็ตไอดอล” และเป็นนักแสดงในหนังไทบ้าน เดอะ ซีรี่ย์
ออกไปใช้ชีวิตแบบนั้น
และเขาได้ค้นพบหรือเรียนรู้อะไรบ้าง?
จากชีวิตข้างกองขยะที่ใครต่อใครต่างมองว่าสกปรกไม่น่ามอง
• อะไรดลใจให้คุณออกไปใช้ชีวิตอย่างนั้น
ผมว่าวัยรุ่นมันเป็นวัยที่ทดลอง ผมก็ทดลองเหมือนกันแต่ว่าผมทดลองในอีกสไตล์หนึ่ง ที่เรียกว่าทำตามใจตัวเอง จากภายนอกอาจจะดูว่าเหมือนเป็นคนสกปรก เราเห็นสังคมวัยรุ่นว่าจะต้องเป็นคนสะอาด ต้องเข้าสังคมได้ ต้องหล่อ ต้องหน้าตาดี แต่ถ้าเราเป็นเราแบบนี้ สังคมจะยอมรับมั้ย เหมือนกับถามกลับไปสู่สังคมไปในตัว แต่ถามว่ายอมรับไหม เราก็ต้องยอมรับตัวเองว่าเราเกิดในยุคที่สังคมมันเปลี่ยนเร็ว เขายอมรับเราไม่ได้หรอก แต่พอเราเป็นตัวตนอย่างนี้แล้ว ยอมรับในบุคลิกภายนอกไม่ได้ งั้นต้องยอมรับในความสามารถและกัน
• คุณกำลังจะบอกว่า มีความเป็นหัวขบถนิดๆ ประมาณนั้น
ผมไม่รู้ว่าคำนี้มันใช้กับผมได้ไหม แต่ผมจะใช้คำว่าตลกร้ายมากกว่า เราอาจจะด่าสังคม แต่ว่าเราก็ไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดี เราก็ยังเป็นตัวเรา อาจจะแต่งตัวสกปรกไม่เรียบร้อย แต่ว่าเราก็ไม่ไปปล้นขโมยใคร อาจจะเปรียบได้เป็นงานศิลปะลักษณะ abstract ซึ่งคนภายนอกเขาอาจจะว่าตัวเรา แต่เขาไม่รู้หรอกว่าเรากำลังด่าสังคมอยู่ ถ้าเขาได้ฟังคำอธิบายที่เราสื่อไปเขาก็น่าจะเข้าใจในความหมายที่เราทำอยู่ มันเหมือนงานศิลปะชิ้นหนึ่งในตัวผม
• ประมาณว่าการใช้ชีวิตอย่างนี้ เหมือนกับการสร้างงานศิลปะให้กับตัวเอง
ใช่ครับ อย่างผมเอง เคยมีครั้งหนึ่งที่ชอบคนจรจัด ตอนแรกผมรู้สึกว่าเขาน่ากลัว เขาจะมาทำร้ายเราหรือเปล่า เราเลยอยากตัดตรงนี้ออกไป เลยตัดสินใจที่จะไปคลุกคลีกับเขาด้วยการไปอยู่ด้วยกันประมาณ 3 อาทิตย์ ที่ขอนแก่น ใช้ชีวิตเป็นคนจรจัดเลย กินอะไรก็กินเหมือนกับเขาเลย เรารู้สึกว่าโลกของเขามันมีความสุขนะ คือถ้าคนปกติมองอาจจะมองว่าคนนี้คือคนบ้า เดี๋ยวไม่มีอะไรกินก็ไปปล้นคนนั้นคนนี้ หรือว่ามีความรุนแรง แต่พอเราไปใช้ชีวิตจริงๆ มันรู้สึกว่าเขามีความสุขในรูปแบบของเขา ในโลกของเขา เลยอยากเอาตรงนี้มาขยายความในตัวเรา ให้คนอื่นอาจจะดูว่าเราเป็นแบบเขา แต่ตอบโจทย์เราว่าเราก็มีความสุขแบบเดียวกับเขาเช่นกัน บางคนอาจจะมองว่าแสดงหรือเปล่า แต่ผมบอกเลยว่าเราไม่อาบน้ำจริงๆ
• แสดงว่าในบางครั้ง คุณก็ถูกตั้งแง่เหมือนกัน
ผมเคยอ่านบทละครเวทีเรื่องเมืองคนโง่ (หรือ Fools บทประพันธ์โดย Neil Simon นักเขียนบทละครเวทีชาวอเมริกัน) แล้วทั้งเรื่องก็มีการตั้งคำถามว่า เราใช้ชีวิตเพื่ออะไร แล้วตัวละครในเรื่องตอบคำถามนี้ไม่ได้ ผมก็เชื่อว่าคนไหนในปัจจุบันก็ไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้เช่นกัน แล้วเราบอกว่าตัวเองโง่หรือเปล่า ก็ไม่มีใครตอบได้ เพราะว่าชีวิตก็ต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ แล้วการเรียนรู้ของผมตรงนี้ผมอาจจะโง่ในเรื่องการใช้ชีวิตในวัยรุ่น แต่ความโง่ตรงนี้ก็สอนอะไรบางอย่างให้กับผมได้ ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้ผมอาจจะยังไม่ได้อะไรจากมันนัก ผมอาจจะได้ในสิ่งที่ไม่ดี หรือได้มุมมองจากคนรอบข้าง เขาอาจจะมองผมไม่ดีบ้าง แต่ผมคิดว่าสิ่งที่เขามองมาที่เรามันอาจจะเป็นประโยชน์ให้กับผม แล้วถ้าผมมองเขาอีกแง่หนึ่ง ประมาณนี้ครับ
• ในมุมหนึ่ง ด้วยที่บ้านคุณก็ถือว่ามีหน้ามีตาอยู่พอสมควร การใช้ชีวิตแบบนี้ถือว่า “ดื้อ” กับพวกเขาด้วยมั้ย
ตอนแรกก็เหมือนครอบครัวปกติครับที่ยอมรับไม่ได้ แต่ที่บ้านก็บอกเหมือนกันนะครับว่าถ้าเก่งไม่ได้ก็เป็นคนดีก่อนละกัน อย่าไปโกงใคร ผมคิดว่าแม่น่าจะพูดกับผมแบบนี้นะ แต่จริงๆ ท่านคงไม่ได้พูดหรอก อย่างที่บอกว่าเราก็ไม่ได้สร้างปัญหาให้ใคร แต่เราน่าจะสร้างประโยชน์ด้วยซ้ำ สร้างกับวัยรุ่นที่กำลังหลงผิด ถ้าเราไปบอกกับพวกเขาแบบคุยดีๆ เด็กมันคงไม่ฟังหรอก แต่ถ้ามันมองเห็นเราเป็นไอดอล มันสามารถจะเก็บคำพูดของเราไปคิด ส่วนเรื่องที่จะทำตามหรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่อง แต่อย่างน้อยพวกนี้ก็ได้เก็บคำพูดของเราไปคิดแล้ว
• แน่นอนว่าการใช้ชีวิตของเราที่เป็นคนจรจัด หรือไม่อาบน้ำ เราได้แง่คิดจากการใช้ชีวิตแบบนี้ยังไงบ้าง
ในช่วงวัยรุ่นแน่นอนว่ามันก็ต้องมีช่วงที่ไม่รู้ว่าชีวิตจะไปต่อยังไง หลังจากที่เรียนจบไปเราจะชอบวิชานี้จริงๆ ไหม เราเรียนมาเพื่ออะไร เราเลยได้ลองหลุดออกไปครั้งหนึ่ง ถามว่าได้อะไรไหม ผมบอกเลยว่าได้ความลำบาก แล้วมันเป็นผลดีเหรอ ตัวเองก็อยู่ดีๆ แล้วจะไปลำบากทำไม แต่ผมรู้สึกว่าถ้าชีวิตเราลำบากสุดๆ แล้ว ถ้าเราเจอปัญหามันจะรู้สึกสบายไปเลย เช่นว่าเดือนนี้ไม่มีเงินใช้เลย แต่พอเรานึกถึงช่วงเวลาที่เราเป็นคนจรจัดแล้วคุ้ยขยะกิน มันก็ทำให้เราคิดว่าเราไม่มีความลำบากเลย แต่ถามว่าหามุมมองอื่นได้ไหม ได้ แต่ผมตอบไม่ได้เพราะว่ามันจะอยู่ในช่วงเวลานั้นๆ ได้ ในส่วนที่เราคิด และตอบคำถามตัวเองในตอนนั้น แล้วพอเวลาผ่านไปเราหาคำตอบจากคำถามนั้นมั้ย ผมดันลืมไปหมด แต่มันตอบได้ด้วยตัวเองซึ่งก็งงเหมือนกัน
• หลายคนอาจจะเคยโดยสบประมาทว่าเหนื่อยเปล่า แต่อะไรที่เรายังเชื่อว่าจะทำแบบนี้อยู่
อย่างแรกเลย การวิพากษ์สังคมจะต้องให้คนกลุ่มใหญ่มองเราว่าเป็นอะไรสักอย่างหนึ่งที่เราจะพูด แต่โดยส่วนตัวผมจะไม่เป็นลักษณะเชิงวิพากษ์ ผมจะเป็นแบบว่าถ้ามองก็มอง แต่ถ้าไม่มองก็แล้วแต่ สามารถมองได้อย่างอิสระ เพราะผมคงเปลี่ยนอะไรสังคมไม่ได้ ผมเปลี่ยนคนกลุ่มใหญ่ไม่ได้ แต่ผมเป็นผมเอง คุณมองผมแล้วคุณอาจจะได้อะไรสักอย่าง แต่ผมไม่รู้ว่าได้อะไร ถ้าคุณมองว่าผมด่า ผมก็จะเป็นอย่างที่คุณคิดว่าผมด่า จะคิดอะไรก็แล้วแต่ เหมือนเราเป็นตัวแทนในการด่าในความคิดเขาก็ได้
• การมีแนวคิดหรืออุดมการณ์บางอย่าง มันค่อนข้างตอบโจทย์ในตัวเราประมาณหนึ่งรึยัง
ตอนนี้ถือว่าได้นิดเดียว ถึงว่ายังไม่ตอบโจทย์อะไรเลย เพราะว่ามันยังมีอะไรเยอะแยะในสังคมที่เราต้องเรียนรู้ อย่างการที่มาอยู่ในกรุงเทพฯ ผมอยากมาใช้ชีวิตคนจรจัดที่นี่ ผมว่าคนจรจัดที่นี่น่าจะแตกต่างจากคนจรจัดที่ผมเคยไปสัมผัสมา คือสภาพแวดล้อมมันไม่เหมือนกัน มันอาจจะได้มุมมองใหม่ คือผมอยากจะเป็นคนจรจัดในตามที่ต่างๆ ทั้งในจังหวัดตัวเอง ในกรุงเทพฯ หรือว่าต่างประเทศ ความฝันของผมอยากจะไปเป็นคนจรจัดในทุกประเทศที่สามารถไปได้ตามกำลังทรัพย์ของตัวเอง แต่ปัญหาก็คืออยู่ที่เงินนี่แหละ มันเลยทำให้เรายังไปไหนไม่ได้ ก็ต้องเป็นคนจรจัดในประเทศเรา (ยิ้ม)
• แล้วการไปศึกษาคนจรจัด อะไรคือสิ่งที่มีความสุขสำหรับเราในการศึกษาครับ
ในแต่ละวัน ผมเจอไม่เหมือนกันเลย เคยเจอคนจรจัดที่เป็นเจ้าถิ่น หมายถึงว่าเขาจะมีเขตขยะเป็นของตนเอง ถ้าสมมติว่าเราหิว แต่ขยะไม่ใช่ของเรา ค้นโดยไม่มองรอบข้าง เราอาจจะโดนทำร้ายได้ เพราะว่าเขาก็มีพื้นที่ส่วนตัวของเขา หรือเคยเจอคนจรจัดที่มีนิสัยดี เช่นว่า ผมเคยให้เงินเขาวันละ 5 บาทคนเดียว ให้ทุกครั้ง แต่มีวันหนึ่งที่ผมให้เขาเลือกระหว่าง 5 บาท กับ 10 บาท ปรากฏว่าเขาเลือกเหรียญ 5 บาทเหมือนเดิม ผมมีความสงสัยในใจว่า ความจำเขามีแค่เหรียญเดิมหรือเปล่า ผมเลยถามเขาไปว่าทำไมเลือกเหรียญเดิม เขาตอบกลับมาว่า ผมเอาแค่พอได้ เอาแค่คุณพอให้ แล้วส่วนนี้คือส่วนที่คุณพอใช้เหมือนกัน
หรือถ้าดื่มน้ำ ต่อให้กระหายแค่ไหน เขาก็ไม่ดื่มจนหมดขวด เพราะบางคนถ้าเขานอนใกล้ต้นไม้ เขาจะเก็บในส่วนนั้นมารดน้ำ ส่วนการกิน ผมเคยลองกินลูกชิ้นที่ไม่รู้ว่าผ่านมากี่วันแล้วซึ่งมีกลิ่นที่เหม็นมาก พอผมได้ลองกินเข้าไป ผมแสบท้องเลย ทั้งด้วยความเผ็ดและมันอยู่นาน เขาจะแนะนำว่าให้ลองกินอะไรบางอย่างรองท้องก่อน ก่อนที่จะกินส่วนที่เหลือลงไป มันจะทำให้เราไม่แสบท้อง พวกเขาก็สอนผมมาเรื่อยๆ โดยผมอาศัยในการเรียนรู้อย่างเดียว
• จากความสำเร็จที่ผ่านมา พอมีภาคพิเศษออกมา โดยส่วนตัวมีความรู้สึกยังไง
กดดันครับ เพราะทางทีมงานได้ให้โอกาสเราขึ้นมากำกับร่วม จากที่ก่อนหน้านี้ผมทำหน้าที่ร่วมเขียนบทภาพยนตร์ แล้วก็เป็นผู้ช่วยผู้กำกับ แล้วพอเขาให้โอกาสเรา ซึ่งจากก่อนหน้านี้เราจะถนัดในความเป็นอีสาน แต่พอมาเป็นครั้งนี้มันต้องตอบโจทย์คนในวงกว้าง รวมถึงทางภาพก็ต้องเปลี่ยนใหม่หมด เหมือนกับเปิดตลาดให้กับทางไทบ้านด้วย ซึ่งมันมีความยากครับ บวกกับการที่ได้เพื่อนๆ กลุ่ม BNK48 เข้ามา เราก็พอทราบกฎต่างๆ ซึ่งมันเข้าใจง่าย ไม่มีอะไรแปลกใหม่ มันก็เลยท้าทายว่าคนมองมาว่ามมันง่ายและธรรมดาไปหรือเปล่า แต่สิ่งนี้มันต้องมีอะไรซ่อนอยู่เหมิอนกัน