ย้อนหลังไปเมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน คดีหนึ่งถูกจารึกว่าเป็นคดีสยองขวัญแห่งยุค หนังสือพิมพ์ทุกฉบับพาดหัวกันเกรียวกราว จนปิดคดีแล้วยังมีลำตัดเอาไปร้องไปเล่าไม่รู้จบ ต่อมาถูกทำเป็นละคร เป็นหนังมาหลายครั้งหลายหน นับเป็นคดีอื้อฉาวที่สุดในประวัติศาสตร์ ในชื่อ “บุญเพ็งหีบเหล็ก”
บุญเพ็ง มีพ่อเป็นคนจีน แม่เป็นคนอีสาน เกิดที่เมืองท่าอุเทน มณฑลอุดร แต่มาอยู่กับตายายที่กรุงเทพฯเมื่ออายุได้ ๕ ขวบ จนอายุเข้าเกณฑ์จึงอุปสมบท แต่แทนที่จะเอาใจใส่ในพระธรรมวินัย บุญเพ็งกลับไปลุ่มหลงกับไสยศาสตร์ เอาดีทางทำเสน่ห์ยาแฝด ดูโชคชะตา และวิชาอยู่ยงคงกะพัน มีผู้เลื่อมใสมาใช้บริการจำนวนมาก โดยเฉพาะสาวน้อยสาวใหญ่ที่มีฐานะร่ำรวย และหลายรายในจำนวนนี้ก็ทำบุญด้วยเรือนร่าง
เมื่อมีเงินใช้สอยได้คล่อง บุญเพ็งก็ติดการพนันงอมแงมถึงกับเปิดบ่อนในกุฏิ จึงถูกไล่ออกจากวัดไปหลายวัด เมื่อเป็นทาสการพนัน บุญเพ็งจึงต้องหาเงินมากขึ้น เหยื่อรายแรกที่เขาเล็ง คือ นายล้อม พ่อค้าเพชรพลอย ซึ่งถูกหลอกให้ขนสินค้าไปพบที่กุฏิ และถูกบุญเพ็งกับลูกน้องคนสนิทฆ่าหั่นศพยัดใส่หีบเหล็ก ใส่รถเจ็กไปทิ้งในคลองบางลำพู เมื่อน้ำแห้งขอดก้นคลองหีบเหล็กโผล่ แต่ก็จับมือใครดมไม่ได้ และไม่มีใครคาดคิดว่าฆาตกรจะเป็นผู้อยู่ในผ้าเหลือง
เหยื่อรายต่อมาของบุญเพ็งเป็นสาวใหญ่ชื่อ ปริก ถึงแม้ผิวหนังจะเหี่ยวย่นไปหน่อย แต่ก็เปล่งประกายแวววาวด้วยเพชรนิลจินดาและเครื่องทองที่แต่งมาล่อ จนบุญเพ็งยอมให้เป็นโยมอุปฐาก เช้าถึงเย็นถึงจนกลายเป็นคู่สวาท ต่อมานางปริกก็ยื่นคำขาดให้พระบุญเพ็งสึกออกไปใช้ชีวิตร่วมกัน เพราะตนกำลังมีท้อง พร้อมทั้งเสนอทรัพย์สินเงินทองทูนหัวให้หมด แต่บุญเพ็งกำลังมีความรักกับสาวงามที่ยังไม่เหี่ยวอีกคนหนึ่ง และกำลังคิดหาเงินไปแต่งงานตามที่ตกลงกันไว้ เป้าหมายจึงมาลงที่นางปริกทั้งเงินและตัดปัญหา
บุญเพ็งให้ลูกน้องไปซื้อหีบเหล็กใบใหญ่มาเตรียมไว้ แล้วให้ไปตามนางปริกมาพบ นายปริกก็ดีใจว่าจะได้ข่าวดีจากบุญเพ็ง จึงแต่งองค์ทรงเครื่องไปเต็มที บุญเพ็งก็ไม่ทำให้นางปริกผิดหวัง บรรเลงเพลงสวาทจนนางปริกเคลิบเคลิ้ม พอได้จังหวะก็บีบคอจนตายคามือ
ในเดือนมกราคม ๒๔๖๑ ชาวบ้านแถวคลองมหานาคพบหีบเหล็กใบหนึ่งลอยอยู่ในลำคลอง แม้จะมีก้อนอิฐถ่วงไว้หลายก้อน แต่ศพขึ้นอืดจึงลอยขึ้นมา เมื่อสืบสาวราวเรื่องก็ทราบว่าเป็นศพนางปริก ซึ่งหายออกไปจากบ้านหลังจากที่ได้รับจดหมายจากพระบุญเพ็งให้ไปเอาสร้อยที่ยืมไว้คืน ตำรวจไปหาพระบุญเพ็งที่วัดไม่พบ ได้ความว่าสึกออกไปแล้ว แต่ก็ตามไปจับได้ขณะจะเข้าวิวาห์กับสาวคนรักที่อยุธยา
การฆ่ายัดศพใส่หีบเหล็กจึงเป็นคดีครึกโครม ทำให้ตำรวจรวบรวมคดีในทำนองเดียวกันนี้ซึ่งเกิดในระยะใกล้เคียงได้ถึง ๗ คดี ซึ่งน่าจะเป็นฝีมือของฆาตกรคนเดียวกัน แต่บุญเพ็งยอมรับว่าเป็นคนทำเพียง ๒ คดีเท่านั้น คือนายล้อมและนางปริก
ศาลได้พิพากษาในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๔๖๒ ให้ประหารชีวิตสมีบุญเพ็งด้วยการตัดคอ เขาจึงได้รับการจารึกอีกอย่างหนึ่งว่า เป็นนักโทษประหารรายล่าสุดที่ใช้วิธีนี้ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นการประหารด้วยปืน
มีเรื่องเล่ากันอีกว่า ในการประหารชีวิตบุญเพ็งที่บริเวณป่าช้าวัดบางขวาง นนทบุรี ซึ่งมีประชาชนไปดูกันอย่างแน่นขนัดนั้น เพชฌฆาตลงดาบแรกที่คอของบุญเพ็งที่นั่งอยู่กับพื้นมัดอยู่กับหลัก คมดาบก็ไม่สามารถบั่นคอเขาได้ เพชฌฆาตต้องบอกให้บุญเพ็งคายของขลังที่อมอยู่ในปาก ดาบที่ ๒ จึงตัดคอเขาขาดกระเด็น
ศพของบุญเพ็งถูกนำมาทำพิธีทางศาสนาที่วัดภาษี ริมคลองแสนแสบ ถนนเอกมัย แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. ปัจจุบันจึงมีศาลของเขาอยู่ที่นั่น และเชื่อกันว่าใต้ศาลนั้นยังเป็นที่ฝังหีบเหล็ก ๗ ใบไว้ด้วย