ผู้ก่อตั้งเครือเนชั่นตอกกลับเนชั่นทีวี ปล่อยคลิปปลอมธนาธรคุยกับทักษิณ ชี้สุ่มเสี่ยงผิดจริยธรรม ปล่อยไปก่อนแล้วค่อยให้ชี้แจงไม่ถูกต้อง ชี้กรณีล่าสุดเหมือนไม่ทำหน้าที่
จากกรณีที่รายการข่าวข้นคนเนชั่น เมื่อวันที่ 19 มี.ค. เผยแพร่คลิปเสียงที่อ้างว่าเป็นของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ คุยกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หลบหนีคดีอาญาอยู่ในต่างประเทศ ก่อนที่นายธนาธร จะให้สัมภาษณ์ในรายการเก็บตกจากเนชั่นภาคเที่ยง เมื่อวันที่ 20 มี.ค. ว่าคลิปดังกล่าวเป็นความเท็จ การที่สถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวีนำคลิปนี้มาออกอากาศ แสดงให้เห็นว่ามาตรฐานจริยธรรมของเนชั่นตกต่ำลง สื่อที่มีคุณภาพไม่ควรจะผลักภาระในการพิสูจน์ให้กับผู้กล่าวหา พร้อมเรียกร้องให้สถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวีแสดงความรับผิดชอบ
อ่านประกอบ : “ธนาธร” โวย “เนชั่น” เอาคลิปปลอมมาออกอากาศ ชี้มาตรฐานจริยธรรมตกต่ำ
นายฉัตรชัย ภู่โคกหวาย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ เนชั่นทีวี กล่าวว่า ในฐานะผู้บริหาร ขอยืนยันในหลักการและมาตรฐานวิชาชีพข่าวขององค์กรเนชั่น ถ้านายธนาธรคิดว่าการรายงานข่าวของเนชั่นทีวีทำให้เกิดความเสียหาย ก็สามารถไปดำเนินคดีหรือฟ้องร้องโดยใช้สิทธิ์ตามกฎหมายได้อย่างเต็มที่ และหากนายธนาธรยังไม่หยุดกล่าวหาเนชั่นทีวี หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดที่ทำให้องค์กรเนชั่นเสียหายหรือล้ำเส้นข้อกฎหมาย ตนก็พร้อมที่จะดำเนินคดีกับนายธนาธรทันทีเช่นกัน
ด้านทวิตเตอร์ @NuS_Satakun ของนายศตคุณ ตันทวีวิวัฒน์ ผู้ประกาศข่าวเนชั่นทีวี ซึ่งดำเนินรายการเก็บตกจากเนชั่น ภาคเที่ยง ทางสถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวี ที่สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โพสต์ข้อความระบุว่า "ไม่ใช่ไม่อยากเอาตัวเองออกมานะ แค่รอจังหวะอยู่ ถ้ามันไม่ถูก ควรขอโทษ รับผิดชอบในสิ่งที่ทำ แต่นี่นอกจากจะไม่รับผิดแล้ว ยังตีมึนและยังหาข้ออ้างแก้ต่างอีก ถ้าคิดว่าเลือกที่จะไม่มีจรรยาบรรณแล้ว ปล่อยผ่านไหมครับ คงไม่ต่างกัน เราควรรักและเคารพคนที่ให้เกียรติ และเห็นคุณค่าในงานเรา ไม่ใช่คนที่คิดแต่จะหลอกใช้ ถูกใช้เป็นเครื่องมือมากจนลืมสิ่งที่ถูกที่ควร หวังว่าคงไม่ต้องกราบโต๊ะอีกนะ ถ้าเราไม่สามารถเปลื่ยนอะไรได้ จงเอาตัวเองออกมา"
ขณะที่นายสุทธิชัย แซ่หยุ่น ผู้ก่อตั้งและอดีตผู้บริหารเครือเนชั่นที่ลาออกไปก่อนหน้านี้ ให้สัมภาษณ์ในรายการ Talk Together ร่วมกับนายวิสุทธิ์ คมวัชรพงศ์ ระบุว่า อยากให้เห็นว่าพลังโซเชียลมีเดียสำคัญมาก ทั้งทางบวกและทางลบ พลังมหาศาลมันต้องใช้ไปในทางที่บวก เหตุการณ์ดังกล่าวยืนยันว่าตนไม่ได้เกี่ยวข้องกับเครือเนชั่นแล้ว เกษียณจากเนชั่น 1 ปีพอดี เมื่อเดือนมีนาคม 2561 เพื่อจะมาทำสื่อที่ตนคิดว่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า คือ บริษัท กาแฟดำ จำกัด ซึ่งเป็นชื่อที่ตนใช้ในการเขียนหนังสือมาตลอด 30-40 ปีที่ผ่านมา ฉะนั้น คลิปที่ออกมา ตนเชื่อว่าสังคมไทยทั้งปวงช่วยกันตัดสินแล้ว ได้เห็นและตัดสินว่าเหมาะหรือไม่เหมาะอย่างไร
"เนชั่นที่ผมเคยทำ มีสิ่งที่เรียกว่าเนชั่นเวย์ (Nation Way) เป็นคู่มือจริยธรรมคนทำข่าวของเครือเนชั่น ซึ่งถ้าเปิดดูและอ่านเพื่อที่จะตอบว่า ที่เห็นการกระทำครั้งนี้ถูกหรือผิด ก็จะรู้ว่ามีความสุ่มเสี่ยงที่จะถูกมองว่าผิดจริยธรรม ดังนั้นสำหรับผมมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิด และเป็นเรื่องที่คนที่เกี่ยวข้องจะต้องทบทวน ฟื้นความน่าเชื่อของคนทำสื่อ และไม่จำกัดเฉพาะสื่อเนชั่น ในภาวะปัจจุบันที่มีการหาเสียง มีการพยายามที่จะให้ข้อมูลทั้งทางด้านบวกและทางลบต่อพรรคการเมือง จำเป็นอย่างที่สื่อจะต้องระมัดระวังที่จะตรวจสอบข่าวก่อน อะไรที่สุ่มเสี่ยงกับการที่จะถูกผู้ติดตามมองว่าไม่เป็นธรรม โอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม จะทำให้ความน่าเชื่อถือของสื่อนั้น ตกอยู่ในภาวะที่เป็นอันตราย โดยเฉพาะในสภาพปัจจุบัน ที่สื่อนั้นกำลังถูกจับตามองว่าเข้าข้างใครหรือเปล่า เป็นเครื่องมือใครหรือเปล่า และประชาชนคาดหวังมากในภาวะเช่นนี้ ที่สื่อจะทำหน้าที่เป็นผู้ที่ตรวจสอบข่าวให้ ไม่ใช่เป็นเครื่องมือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง"
ในตอนหนึ่ง นายสุทธิชัย กล่าวว่า การตัดสินใจของเนชั่นทีวีครั้งนี้ ที่ออกมาจะเป็นเหตุผลใดก็ตาม หรือที่อ้างว่าก็มีคลิปนี้อยู่ในโซเชียลมีเดีย ดังนั้นเราก็เอาออกมาให้ดูกัน เราไม่ได้บอกว่าเป็นใคร เราไม่ยืนยันว่าถูกหรือผิด ไม่น่าจะเป็นหน้าที่ของสื่อที่เรียกตัวเองว่าเป็นเกตคีปเปอร์ (Gatekeeper หรือ ผู้เฝ้าประตู หมายถึงทำหน้าที่กลั่นกรองข่าวสาร) คนที่เฝ้าประตูมีหน้าที่ตรวจสอบว่าอะไรควรจะผ่าน หรือไม่ผ่านประตูนี้ ถ้าหากเราเป็นเกตคีปเปอร์ แล้วเราบอกว่าอะไรก็ผ่านเข้ามาได้ แล้วคนที่อยู่ในบ้านตัดสินเอาเอง ก็แปลว่าเราไม่ได้ทำหน้าที่ของเกตคีปเปอร์ คนเชื่อว่าสื่อก็อ้างเป็นกระจกเงาของสังคมด้วย
กระจกเงาของสังคมจะต้องสะท้อนถึงสิ่งที่เกิดว่ามันดีหรือไม่ดี ถูกหรือไม่ถูก กระจกจะต้องสะท้อนความเป็นจริง กระจกมัวหรือกระจกแตก กระจกร้าว ไม่สามารถทำหน้าที่ที่ถูกต้องได้ ดังนั้นถ้าเรามองสื่อมีบทบาททั้งเป็นเกตคีปเปอร์ และเป็นมิเรอร์ (Mirror หรือ กระจก) ด้วยข่าวที่ออกมาวันนี้ แน่นอนต้องถูกตั้งคำถามชัดเจนว่าที่เนชั่นทีวีทำไปนั้นได้กลั่นกรอง ตรวจสอบ และใช้หลักการของสื่ออันควรจะมีหรือไม่ คำตอบของผู้บริหารเนชั่นทีวีที่ออกมาว่าทำหน้าที่ตามหลักจรรยาบรรณแล้ว ท้ายที่สุดประชาชนคงตัดสินว่า จริงหรือไม่จริง
ในตอนหนึ่ง นายสุทธิชัย กล่าวว่า ในหลักการทั่วไป การที่สื่ออ้างว่ามีการกล่าวหาบุคคลอย่างนี้ แล้วเราปล่อยออกไปก่อน แล้วให้คนที่ถูกพาดพิงมาอธิบาย ตอบโต้ทีหลัง หลังนำเสนอข่าวไปแล้ว ในหลักการปฏิบัติไม่ถูกต้อง ซึ่งจะต้องพิสูจน์ได้ว่าสื่อได้พยายามให้อีกฝ่ายหนึ่งได้แสดงความคิดเห็นว่าที่ถูกกล่าวหาได้มีคำตอบแล้ว ถ้าพยายามแล้วอีกฝ่ายไม่ตอบ เวลากระชั้นชิด หรือเหตุผลใดก็ตาม ต้องบอกไว้ในข่าวนั้นว่าได้พยายามติดต่อผู้ที่เป็นข่าวแล้วแต่เขาไม่ตอบ หรือไม่สามารถจะตอบได้ ไม่สะดวกที่จะตอบ เพื่อที่ผู้บริโภคข่าวจะได้สามารถเข้าใจได้ว่าข่าวนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร
"ดังนั้นเรื่องนี้แน่นอนว่าสังคมจะต้องมีความเห็น เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ถูกต้อง ไม่ถูกต้อง เป็นหน้าที่ของสื่อที่จะอธิบายได้ว่าได้มาอย่างไร ตรวจสอบอย่างไร คิดว่าเป็นธรรมเพียงพอหรือไม่ ต้องพยายามให้ความเป็นธรรมเท่าที่มนุษย์พึงจะทำได้ แม้จะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม โดยมาตรฐานถ้าไม่แสดงความพยายามเลย กลับบอกไม่รู้ว่าใช่ไม่ใช่ แล้วให้ไปตัดสินเอาเอง เหมือนไม่ได้ทำหน้าที่แล้ว เพราะสื่อมีหน้าที่กลั่นกรอง ก็มีคำถามว่า นี่เป็นสื่งที่อ้างว่าเป็นการทำหน้าที่สื่อหรือ สามารถที่จะอ้างขอสิทธิของความเป็นสื่อจากสังคมได้หรือ ถ้าไม่ทำหน้าที่กลั่นกรอง ตรวจสอบ ให้ความเป็นธรรมกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ผมเชื่อว่าเรื่องนี้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องแสดงบทบาทของตัวเอง เพื่อความเป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย" นายสุทธิชัย กล่าว