xs
xsm
sm
md
lg

อีย้อยของจอแก้ว “ใหม่ เจริญปุระ” กับอีกนัยของความเก๋า

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ใหม่ เจริญปุระ จะห่างเหินจากการเล่นละครไปกว่า 16 ปี จนแทบจะเรียกได้ว่า แฟนจอแก้วน่าจะลืมเลือนไปพอสมควร แต่การตัดสินใจรับบทบาท “อีย้อย” ในละครเรื่อง ‘กรงกรรม’ ทางช่อง 3 นั้น ก็ถือได้ว่าเป็นการเสี่ยงทายที่ถูกต้อง เพราะทั้งบทบาทของนักร้อง-นักแสดงในการแสดงเรื่องดังกล่าว รวมไปถึงคาแรกเตอร์ของ ‘อีย้อย’ นั้น เข้าถึงผู้ชมได้อย่างง่ายดาย นั่นจึงทำให้การกลับมาของเธอในครั้งนี้ คุ้มค่าและได้ใจผู้ชมจนสร้างปรากฏการณ์ให้กับละครไทยได้ในช่วงเวลานี้...

• อะไรที่ทำให้คุณตัดสินใจรับงานแสดงนี้ หลังจากที่หายไปเป็นเวลานานครับ

เป็นเพราะ พี่อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์, พี่แดง-ธัญญา (วชิรบรรจง) และ พี่ภู-ภูวริศ ค่ะ 3 ท่านนี้ติดต่อเข้ามา ก็มีการพูดคุยและทักทายกัน ส่งบทมาให้เราอ่าน เรื่องแรกก็น่าจะเป็นพี่อ๊อฟเองที่เรารักให้กันมานาน ก็มีการคุยกันมาทุกปีเลยในเรื่องที่จะเล่นละคร แต่ก็คลาดเคลื่อนกันด้วยเรื่องคิว แต่พอพี่อ๊อฟติดต่อมาอีกครั้งหนึ่ง เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้เราได้กลับมาเล่นละครอีกครั้ง

ถามว่ารู้สึกเกร็งกับการกลับมาเล่นละครไหม แน่นอน เพราะว่าเป็นเวลา 10 กว่าปีแล้วที่เราไม่ได้เล่นละครเลย ส่วนใหญ่เราจะเล่นแต่หนังแทบทุกปี พอมันกลับมาเล่นก็จะมีความแตกต่างอยู่หน่อยนึง อย่างหนังจะมีเป็นคัตๆ ใช่ไหมคะ แต่พอเป็นละครเราต้องเล่นควบคุมทั้งซีนเลย มีกล้อง 3 ตัวมาคอยถ่าย แล้วด้วยบทย้อยก็ดี แถมตัวละครก็เข้มข้นอีก มันก็เลยทำให้เกร็งเป็น 2 เท่า แล้วไม่นับว่าเล่นเป็นแม่ลูกสี่อีก ก่อนหน้านี้เราเคยเล่นเป็นนางเอกมา เป็นนักแสดงนำมา ไม่เคยมารับบทเป็นแม่ แต่ด้วยตัวบทที่เป็นแกนหลักของเรื่องด้วย มันเลยเป็นความน่าสนใจในฐานะนักแสดง

• จากการเล่นละครในครั้งนั้นกับตอนนี้ แตกต่างกันยังไงบ้างครับ

เรื่องล่าสุดที่เราเล่นก็คือเรื่องอีพริ้ง คนเริงเมือง ตอนนั้นเราเล่นเรื่องนี้อยู่ 2 ครั้ง เล่นตอนอายุ 18 กับตอนอายุ 30 กว่า นั่นคือข้อแรก ด้วยยุคสมัยมันเปลี่ยนทางพัฒนาการด้วยวิธีการนำเสนอและการถ่ายทำต่างๆ มันก็มีความแตกต่างกันออกไป พอหลังจากอีพริ้งมาถึงละครเรื่องนี้ก็มีความแตกต่าง ในเรื่องของวิวัฒนาการของอุปกรณ์การถ่ายทำ ที่กล้องสามารถถ่ายในระดับ HD ได้แล้ว เรื่องไฟ ตัวละคร หรือแม้กระทั่งเรื่องทีมงาน ซึ่งเราไม่ได้เล่นละครมานาน แถมมาเจอทีมงานที่มีรางวัลเป็นการันตีอีก มีความละเมียดละเอียดในชิ้นงาน มันเลยมีความแตกต่างอยู่แล้วในเรื่องของพัฒนาการอย่างที่ว่า มันก็ทำให้ตัวเรามีความพัฒนาการตามไปด้วย

• พอได้ศึกษาคาแรกเตอร์ของอีย้อย ได้เห็นอะไรบ้างครับ


ได้เห็นความเป็นมนุษย์แม่คนหนึ่งซึ่งมีความรักลูกชนิดที่ว่าไม่ลืมหูลืมตาเลย แล้วมันได้เล็งเห็นเลยว่าความรักของคนนั้นมันดีงาม อย่างเรื่องแม่หรือพ่อต่อลูกมันเป็นสิ่งดี แต่บางครั้งการที่เรามองแค่ด้านใดด้านเดียว แล้วไม่เล็งเห็นถึงความเป็นมนุษย์ซึ่งมี 2 ด้าน แล้วการที่ย้อยซึ่งไม่ให้อภัยใครเลย ย้อยไม่เคยมองในมุมตรงกลางเลย ย้อยจะเป็นคนลักษณะที่ว่าขวาสุดซ้ายสุด มันก็ทำให้เราได้ย้อนกลับไปในตัวย้อย แล้วมันก็ทำให้เราเชื่อมั่นอยู่อย่างหนึ่งว่า มนุษย์นั้นไม่มีใครดีที่สุด บางครั้งคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ไม่ใช่คนที่ถูกต้องเสมอไป หรือความคิดเห็นของลูกก็ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นใหญ่ด้วยเช่นกัน ถ้าย้อนถึงเด็กยุคนี้ กับเด็กยุคก่อนหน้านี้ มันมีความต่างกันนะ

อย่างเด็กยุคก่อนจะเป็นเด็กที่ไม่สามารถโต้ตอบพ่อแม่ได้ แต่เด็กยุคนี้สามารถโต้ตอบพ่อแม่ได้ อาจจะเป็นเพราะว่าเขาจะมีความรู้เยอะกว่า หรือก็แล้วแต่ แต่ว่าก็มีวัฒนธรรมที่อ่อนน้อมถ่อมตนนะ นี่ก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงมันก็ไม่ได้หมายความว่าเราสอนลูกได้อย่างเดียว การที่เราจะต้องถูกกว่าลูกนั้นก็ไม่ใช่ คือตัวย้อยนั้นจะมองตัวเองว่าฉันถูกเสมอ ฉันเป็นแม่ ถ้าฉันคิดอะไรแล้วต้องไม่มีพลาด แต่ในความเป็นจริงนั้นมันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีพ่อแม่หรือมนุษย์คนไหนที่ไม่เคยทำผิดพลาด คุณมีสิทธิ์ผิดพลาดได้ ไม่ใช่ว่าความคิดของคุณนั้นจะต้องถูกเสมอไป อีกอย่างหนึ่งที่เราเห็นในตัวย้อยก็คือในเรื่องของความสุดโต่ง ซึ่งความรู้สึกเราคือมันไม่ดีเลย การที่คุณรักและทุ่มเทอะไรสักอย่างมันก็เป็นส่วนดี แต่ถ้ามันมากจนเกินไป สิ่งเหล่านั้นก็จะกลับมาทำร้ายคุณได้ไหมบั้นปลายได้ในที่สุด

• เท่าที่ฟังมามันเหมือนนั่งดูหลักพระพุทธศาสนาผ่านทางละครเลยนะครับ

ใช่ค่ะ คือพี่อ๊อฟเองเขาตั้งใจให้คนที่ชมละครเรื่องนี้ ให้ได้เห็นในกฎแห่งกรรมเรื่องบัว 4 เหล่า คือ บัวใต้น้ำ บัวปริ่มน้ำ บัวพ้นหน้า และบัวเหนือน้ำ คือพี่อ๊อฟจะเน้นเรื่องนี้จริงๆ เป็นหลักของกฎแห่งกรรม นั่นคือสิ่งที่บ้านเรามีอยู่แล้วในเรื่องพระพุทธศาสนา แล้วในเรื่องกรงกรรมก็ค่อนข้างสะท้อนตรงนี้ เรื่องเกี่ยวกับว่าคุณทำกรรมอันใดไว้ คุุณจะได้รับผลกรรมนั้น นั่นคือเรื่องแรก เรื่องที่สองก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับสถาบันครอบครัวซึ่งเราได้พูดไปเมื่อก่อนหน้านี้ แล้วก็เรื่องของมนุษย์ที่ไม่มีใครที่คิดว่าทำผิดพลาดได้ คุณมีสิทธิ์ที่จะทำผิดทุกคน

• พอละครได้ออกอากาศออกไป ผลตอบรับถือว่าดีมาก โดยส่วนตัวของพี่เองรู้สึกยังไงครับ

ก็รู้สึกทั้งภูมิใจและดีใจ เพราะทั้งตัวเราเอง พี่อ๊อฟ นักแสดงทุกคน รวมถึงทางทีมงาน โดยเฉพาะเราเองต้องทำงานมากกว่าปกติ 3 เท่า ข้อแรกคือ ต้องหยุดงานร้องเพลงไปช่วงนึง ขนาดเดียวกันต้องทุ่มเทให้กับละครเรื่องนี้ เนื่องจากห่างหายมานานอย่างที่บอก แล้วเรามาได้ทำงานกับทีมงานที่ว่ามีรางวัลการันตีทุกปี ขณะเดียวกัน การที่เรามาได้รับบทนี้ ทั้งพี่อ๊อฟและพี่แดงได้บอกว่า บทนี้จะเป็นตัวเอกของเรื่อง แล้วเรื่องนี้ก็ไม่มีทั้งพระเอกหรือนางเอกของเรื่องเลย บทในเรื่องจะเป็นลักษณะว่าเป็นคนที่ชี้ชะตา นำพาอะไรหลายๆ อย่าง รวมถึงเป็นตัวโยงเรื่องด้วย ก็เลยทำให้เรารู้สึกเครียด แล้วด้วยความที่เราเคยทำงานในลักษณะแบบหามรุ่งหามค่ำ แล้วสิ่งที่เราทุ่มเทกับงานลงไปมันกลายเป็นผลลัพธ์ที่ดีจากผู้ชม ก็ถือว่าเป็นความภูมิใจของคนที่ทำงานหนักคนนึงนะ หรือว่าไม่เสียแรงที่เราได้ทุ่มเทชิ้นงานนี้แล้วทุกฝ่ายมีความสุข มันก็เลยเกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้นมา

• แสดงว่าการทำงานในละครเรื่องนี้ ถือว่าหนักพอสมควร

แทบทุกซีนเลยก็ว่าได้ เราใช้คำว่าโคตรหนักเลย ยกตัวอย่างเช่น ฉากเปิดตัวของพิไล จะเอาสมบัติจากย้อย เพราะว่าพิไลเขาไม่ยอมรับลูกสะใภ้อีกคน แล้วอีกคนหนึ่งเขาก็ไม่ยอมรับข้อตกลงของย้อย แล้วเขาก็ต้องการสมบัติซึ่งมีการต่อรองกับเรา แค่ซีนนี้ซีนแรก เราถึงกับอาเจียนเลย แล้วพี่อ๊อฟเอาต้องการแบบแรงสุดขีด เราก็แสดงออกมาเต็มที่แล้ว แต่พี่อ๊อฟก็บอกว่าแรงได้อีกซึ่งเป็นหนึ่งซีนที่แบบว่าเป็นครั้งแรกที่เล่นแล้วอาเจียนอย่างที่บอกเลย นี่คือ 1 ซีน นี่ยังไม่นับซีนที่ปะทะกับอาซา หรือว่าซีนที่มีลูกคนหนึ่งเสียชีวิต ซึ่งถือว่าเครียดมาก เพราะว่าอารมณ์ของคนที่จากเป็นกับจากไปมันต่างกันมาก สำหรับแม่คนหนึ่ง

เราใช้คำว่า 25 ซีน ขึ้นไปนี้คือหนักหมดเลย จากซีนทั้งหมด 40 ซีน ถึงขนาดที่ว่าจากที่ท่องบทไปตามปกติ บางวันนี่คือพูดไม่รู้เรื่องเลย เหมือนกับพูดไม่ได้ เครื่องรวนไปเลย ต่อจากนี้เราต้องเปลี่ยนตัวเองเป็นคนที่ตื่นเช้า จากปกติที่ทำงานกลางคืน เราก็ต้องปรับตัวเราด้วย นี่คือข้อแรก แต่พอปรับตัวได้แล้วมาเจอบทที่แต่ละทีมไม่ต่ำกว่า 3 หน้า A4 แล้วบทที่เรารักก็เป็นบทที่เป็นปัจจัยสำคัญของเรื่อง ซึ่งการเล่นละครของเราไม่ใช่ว่ามานั่งท่องบทต่อๆ ไป มันต้องท่องแล้วกระโจนไปเป็นคนนั้น และเข้าใจทุกคนในบทตัวละครอย่างถ่องแท้ เส้นทางที่อ๊อฟเขาต้องการแบบว่าเล่นแล้วสมจริงที่สุด

• ละครเรื่องนี้มีครบทุกองค์ประกอบเลย โดยส่วนตัวของคุณเอง คิดเห็นยังไงบ้างครับ

ถ้าพูดถึงในออนไลน์ก่อน เราถือว่าเป็นกำไรให้กับผู้ชมนะ แล้วก็เป็นกำไรของนักแสดงด้วย อย่างเมื่อก่อนเราเล่นในแต่ละช่องซึ่งจะมีข้อจำกัดในเรื่องของเวลาในการรับชม เช่น ละครออนแอร์ตอนสองทุ่มครึ่ง แต่บางคนยังไม่ถึงบ้านเลย หรือบางช่องก็มีเวลาจำกัดในการฉาย บางคนก็ไม่สามารถที่จะดูได้ ไม่เหมือนกับสมัยนี้ที่มีการรีรันให้ดูตลอดเวลา เพราะฉะนั้นคุณก็สามารถที่จะดูที่ไหน เวลาไหนก็ได้ ดูที่ต่างประเทศก็ได้ อย่างเพื่อนเราบางคนที่อยู่ต่างประเทศ เขาก็ดูผลงานของเราซึ่งถือว่าเซอร์ไพรส์เหมือนกัน นอกจากนี้มันทำให้คนดูรู้สึกว่าไม่สามารถที่จะพลาดได้เลยแม้แต่ตอนเดียว แล้วก็ไม่เสียดายที่จะพลาดชมในตอนออกอากาศจริง เพราะเขาสามารถชมได้อย่างที่บอก เราเลยรู้สึกว่าทุกอย่างมันดูลงตัวหมดในนาทีนี้ ซึ่งองค์ประกอบที่ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์

แล้วอีกปัจจัยหนึ่งคือ ละครเรื่องนี้มันมีความเป็นไทยมาก ถามเนื้อเรื่องยังย้อนยุคไปสู่ยุคแม่ของเราด้วยซ้ำไป แล้วสำหรับน้องๆ ที่ไม่เคยผ่านในช่วงเวลาดังกล่าว เขาก็ได้กลับไปเห็นในช่วงที่คุณพ่อคุณแม่ของเขาอยู่ในยุควัยหนุ่มวัยสาว ส่วนคนที่อยู่ในยุคเดียวกัน เขากำลังกลับไปในช่วงเวลานั้นเหมือนกัน ส่วนตัวเราถือว่าเป็นช่วงยุคที่เราเพิ่งเกิด มันทำให้เราได้ย้อนเวลากลับไป เราคิดว่าการทำละครย้อนยุคมันถือว่าเป็นความงดงามนะ เพราะทำให้คนเราได้คิดถึงกลิ่นอายในช่วงสมัยก่อน แล้วก็เรามีความสุขที่เราได้ทำงานกับคนคุณภาพอย่างที่บอก สุดท้ายก็คือรสชาติของผลงานที่เป็นไทยจริงๆ มันแสดงให้ถึงวิถีชาวบ้านและตรรกะของมนุษย์จริงๆ ไม่ต้องไปเสกสรรปั้นแต่งอะไรมากมาย เพราะช่วงหลังๆ ก็ต้องยอมรับว่าเราก็ได้อิทธิพลจากต่างประเทศมา บางทีก็พัฒนาไปตามเขา พอมีเนื้อเรื่องและองค์กประกอบลักษณะอย่างนี้เลยทำให้ถูกใจผู้ชม แล้วทำให้เรารู้สึกภูมิใจด้วย

• อยากถามเรื่องเคล็ดลับในการดูแลสุขภาพครับ ทำยังไงคุณถึงยังดูดีอยู่ครับ

อาจจะเป็นเพราะว่าเราต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา เราแทบไม่เคยหยุดทำงานเลย ก็ต้องขอบพระคุณทุกชิ้นงานด้วย ที่มันทำให้เราต้องคอยดูแลตัวเองอยู่สม่ำเสมอ เพราะว่าเราไม่สามารถปล่อยตัวหรือไม่ดูแลตัวเองได้ เราก็ต้องดูแลประชาชนคนดูหรือเจ้าภาพแต่ละคนที่มาให้เกียรติเราในการทำงานแต่ละชิ้น มันก็คอยให้เราพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ไม่หนีหายไปไหนทางด้านการงาน ซึ่งทางชีวิตจริงเราก็ได้คุณแม่ที่จะค่อนข้างดูแลตัวเองมาก แล้วเราจะได้ยีนดีเอ็นเอในเรื่องของความไม่แก่ ท่านอายุ 70-80 แล้วก็ยังดูดี มันก็ทำให้ลูกได้อานิสงส์ตรงนี้ไปด้วย

เราก็ต้องนอนหลับพักผ่อนให้ดี กินวิตามิน แล้วก็คอยดูแลผิวพรรณ ดูแลรูปร่างหน้าตาเราอยู่เสมอๆ ทุกกลวิธี เพราะเราก็อยากมีความสุข เราขายความสุข แล้วงานคอนเสิร์ตเรามีหน้าที่เป็น ENTERTAINER เพราะฉะนั้น เราก็ต้องมีความสุขก่อนจึงจะสามารถดูแลคนดูได้เต็มที่ ถ้าเราไม่สุข เราก็ไม่รู้ว่าจะเอาความสุขที่ไหนไปให้เขา ต้องพัฒนาความคิดบวก การมองโลก หรือว่าการแบ่งปัน มันก็จะทำให้สุขทั้งภายในและภายนอก
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : Instagram : maicharoenpura



กำลังโหลดความคิดเห็น