xs
xsm
sm
md
lg

“เทคนิครัฐประหาร” หนังสือคู่มือยึดอำนาจเมืองไทย! สั่งตรงจากฝรั่งเศสมาใช้ในปี ๒๔๗๕ จนถึงปัจจุบัน!!

เผยแพร่:   โดย: โรม บุนนาค

ฉบัคู่มือรัฐประหารบภาษาไทย
การทำรัฐประหารใช่ว่าจะมีกำลังคนถืออาวุธอยู่ใต้บังคับบัญชา หรือมีพรรคพวก มีบริวารคุมกำลัง แล้วจะสั่งสตาร์ทเครื่องรถถังออกไปยึดอำนาจได้ง่ายๆ ดีไม่ดีอาจจะต้องตกเป็นกบฏ การทำรัฐประหารเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งที่ต้องศึกษาและมีตำราให้ศึกษาเสียด้วย

ในคราวลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ในปี พ.ศ.๒๕๐๐ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ซึ่งทำรัฐประหารและต่อต้านการทำรัฐประหารมาหลายครั้ง ครองอำนาจได้ยาวนานจนได้รับฉายาว่า “นายกตลอดกาล” ได้เปิดเผยในคราวหาเสียงครั้งหนึ่งว่า ได้ยึดถือหนังสือชื่อ “เทคนิคคุปเดต้า” (Technique du Coup d’ Etat) เป็นคู่มือทำรัฐประหารมาตลอด จึงทำให้หนังสือเล่มนั้นดังขึ้นมาทันที เป็นที่สนใจใคร่รู้ของคนทั้งหลายไปตามกัน ต่อมา จินดา จินตนเสรี (จ.พันธุมจินดา) ได้นำมาแปลเป็นภาษาไทยในชื่อ “เทคนิครัฐประหาร” ซึ่งก็เป็นหนังสือขายดีจนต้องพิมพ์ซ้ำหลายครั้ง

คนที่สั่งซื้อหนังสือเล่มนี้เข้ามาไม่ใช่จอมพล ป. หากแต่เป็น ดร.ปรีดี พนมยงค์ คู่รักคู่แค้นของจอมพล ป. ซึ่งได้ให้พรรคพวกช่วยซื้อฉบับที่เป็นภาษาฝรั่งเศสแอบนำเข้ามาโดยฉีกปกออก เพราะเห็นว่าเป็นหนังสืออันตรายสำหรับผู้ครอบครอง ต่อมาได้มอบให้จอมพล ป.ตอนที่ยังรักใคร่ร่วมหัวจมท้ายก่อตั้ง “คณะราษฎร” ด้วยกัน หนังสือเล่มนี้จึงนับได้ว่าเป็นคู่มือครองอำนาจของจอมพล ป. รวมทั้งเป็นคู่มือขจัดอำนาจของคู่ต่อสู้ทางการเมือง ซึ่งมีปรีดีและกลุ่มสนับสนุนปรีดีอยู่ในฝ่ายที่ต้องกำจัดด้วย

“เทคนิคคุปเดต้า” เป็นงานเขียนของ คูร์สิโอ มาลาปาร์เต ซึ่งเป็นทั้งกวี นักประพันธ์นิยาย นักแต่งบทละคร และนักหนังสือพิมพ์ชาวอิตาเลียน พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเป็นภาษาฝรั่งเศสใน ค.ศ. ๑๙๓๑ (พ.ศ.๒๔๗๔) ขณะที่เขามีอายุ ๓๓ ปี นอกจาก “เทคนิคคุปเดต้า” จะทำให้มาลาปาร์เตมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลกแล้ว ยังทำให้เขาได้รับชะตากรรมอันเลวร้าย ถูกจอมเผด็จการมุสโซลินีจับขังคุกอยู่หลายเดือน และถูกเนรเทศปล่อยเกาะอีกหลายปี เพราะถือว่า“เทคนิคคุปเดต้า” เป็นคู่มือของการทำรัฐประหาร ทั้งมุสโซลินีและฮิตเล่อร์ต่างเกลียดชังหนังสือเล่มนี้มาก แต่ผู้มีอำนาจอีกหลายประเทศกลับเห็นว่าเป็นคู่มือในการป้องกันพวกนิยมทำรัฐประหารมิให้แย่งชิงอำนาจด้วยการใช้กำลัง

ใน “เทคนิคคุปเดต้า” มาลาปาร์เตเผยว่า เลออง ทร็อตสกี้ นักการเมืองหัวรุนแรงของรัสเซีย และเป็นคู่หูของ เลนิน เป็นผู้ริเริ่มนำยุทธวิธีทำรัฐประหารแนวใหม่มาใช้เป็นรายแรกของโลก ทำให้พรรคบอลเชวิกโค่นล้มรัฐบาลนายเกอเรนสกี้ในเดือนตุลาคม ค.ศ. ๑๙๑๗ ได้ง่ายดายอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด

ยามนั้นเลนินเป็นศาสดาของลัทธิ เป็นนักยุทธศาสตร์ พวกบอลเชวิกถือกันว่าเลนินคือ “เทพเจ้าที่ลงมาปราบยุคเข็ญ” และเลนินก็คือผู้ที่กระตุ้นให้เกิดการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาล “กฎุมพี” ของนายเกอเรนสกี้ เลนินศึกษาสถานการณ์ของรัสเซียขณะนั้นแล้ววางแผนยุทธศาสตร์ จะเข้ายึดอำนาจตามหลักคำสอนของคาลมากซ์ บรมครูคอมมิวนิสต์ ซึ่งยุทธศาสตร์การยึดอำนาจของคาลมากซ์ ก็คือใช้การต่อสู้ของชนชั้นเป็นเครื่องมือ

เลนินจะใช้วิธียุยงประชาชนให้กระด้างกระเดื่องต่อการปกครองของรัฐบาลเกอเรนสกี้ ให้ประเทศรัสเซียตกอยู่ใต้อิทธิพลของมวลชนกรรมาชีพ จากนั้นก็ให้สัญญาณแก่ประชาชนทั้งประเทศลุกฮือขึ้นยึดอำนาจ แล้วตนเองจะไปปรากฏตัวต่อที่ประชุมสภาโซเวียต บังคับหัวหน้าพรรคเมนเชวิกที่กุมเสียงข้างมากในสภาให้ล้มรัฐบาลเกอเรนสกี้ แล้วจึงสถาปนาระบอบเผด็จการแห่งชนกรรมาชีพขึ้น แต่เลออง ทร็อตสกี้กลับเห็นว่า เลนินคิดแต่ยุทธศาสตร์ของการปฏิวัติ ไม่ได้คิดถึงยุทธวิธีของการยึดอำนาจ

ทร็อตสกี้เห็นว่าแผนการของเลนินเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อนและกว้างเกินไป ต้องใช้คนเป็นจำนวนมาก ดูเป็นการทำสงครามมากกว่าการทำรัฐประหาร แต่ยุทธวิธีของทร็อตสกี้ต้องการคนเพียง ๑,๐๐๐ คน ทุ่มกำลังลงเฉพาะเป้าหมายสำคัญ ตีให้ตรงและให้แรง ซึ่งเป็นวิธีง่ายๆ ไม่ต้องรอสถานการณ์หรือดูฤกษ์ยามใดๆ ทำเมื่อไหร่ก็ได้เมื่อพร้อมที่จะทำ

ตอนนั้นเลนินไม่เห็นด้วยกับวิธีของทร็อตสกี้ และมีความคิดเหมือนคนส่วนใหญ่ในพรรคบอลเชวิกที่จะเข้าครองอำนาจโดยวิถีทางรัฐสภา หาทางเข้ากุมเสียงข้างมากในสภาให้ได้ แต่หลังจากที่พรรคบอลเชวิกประสบความล้มเหลวในการยุยงกรรมกรและทหาร ให้ลุกฮือแข็งข้อต่อรัฐบาลในเดือนกรกฎาคม ๑๙๑๗ แล้ว เลนินก็เป็นบุคคลเพียงคนเดียวในพรรคบอลเชวิกที่มีทรรศนะตรงกับทร็อตสกี้ที่ว่า จะต้องเข้าครองอำนาจโดยวิธีรัฐประหาร ไม่ใช่ทางรัฐสภา แต่ทว่าเลนินก็ยังคิดถึงแต่วิธีเก่าๆ คือต้องรอดูสถานการณ์ เมื่อมีความเหมาะสมแล้วจึงส่งกำลังทหารบุกเข้าเมืองเปโตรกราดซึ่งเป็นเมืองหลวง โดยให้สมาชิกพรรคบอลเชวิกในเมืองลุกฮือขึ้นประสานกัน แต่ตอนนั้นเลนินต้องหลบไปลี้ภัยอยู่ในฟินแลนด์ ไม่สามารถล่วงรู้สถานการณ์ในรัสเซียได้ละเอียด จึงยังลงมือไม่ได้

ในการประชุมคณะกรรมการกลางของพรรคบอลเชวิกที่กรุงเปโตรกราดในวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๑๙๑๗ ก่อนที่ทร็อตสกี้จะทำรัฐประหารไม่กี่วัน เลนินได้ปลอมตัวเข้ามาร่วมประชุมด้วย ที่ประชุมลงมติเกือบเป็นเอกฉันท์เห็นชอบกับวิธีการเข้ายึดอำนาจโดยกำลัง แต่ไม่มีใครเห็นชอบตามยุทธวิธีของทร็อตสกี้ ซึ่งเป็นวิธีการที่เลื่อนลอย เหมือนการก่อกบฏของพวกทหาร เป็นวิธีที่ปราศจากความร่วมมือของมวลชน และปราศจากการนัดหยุดงาน ผิดหลักคำสอนของมากซิสม์ ซึ่งพรรคที่นิยมลัทธิมากซ์อย่างพรรคบอลเชวิกไม่ควรนำมาใช้

นอกจากคณะกรรมการพรรคบอลเชวิกส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับวิธีการของทร็อตสกี้ เพราะเห็นว่าขัดกับลัทธิมากซ์แล้ว ยังมีสาเหตุมาจากไม่ชอบหน้าเขาด้วย เพราะเห็นว่าทร็อตสกี้เป็นคนเย่อหยิ่งอวดดี ไม่เจียมตัวว่าเป็นสมาชิกหน้าใหม่เพียงปีเดียวของพรรค ทั้งยังรู้สึกอิจฉาความปราดเปรื่องเฉียบแหลมของทร็อตสกี้ด้วย
เมื่อพรรคยอมรับหลักการที่จะยึดอำนาจโดยใช้กำลังแล้ว ทร็อตสกี้ซึ่งมีตำแหน่งเป็นประธานฝ่ายทหารของพรรค ก็วางแผนจะลงมือตามวิธีการของตัว ถึงตอนนี้เลนินซึ่งก็ยังไม่ค่อยเชื่อถือวิธีการของทร็อตสกี้นัก แต่ก็ช่วยเขียนจดหมายถึงกรรมการกลางของพรรค ปกป้องวิธีการของทร็อตสกี้ เพราะเห็นว่าการทำรัฐประหารจะให้เกิดความลังเลขึ้นไม่ได้

ทร็อตสกี้ได้คัดเลือกคนประมาณพันคนตั้งเป็นหน่วยจู่โจม โดยเลือกจากกรรมกรในโรงงานเมืองปูตีลอฟและเมืองวีบอร์ก รวมทั้งทหารเรือจากกองเรือในทะเลบอลติค และทหารบกจากกรมทหารลัตเวีย ให้อยู่ในบังคับบัญชาของ อันโตนอฟ ออฟเซียนโก สหายคู่ใจ วางแผนให้หน่วยจู่โจมทำการซ้อมยึดอำนาจอยู่ ๑๐ กว่าวันจนมั่นใจ แต่เป็นการ “ซ้อมอย่างไม่แลเห็น” ทั้งๆ ที่เป็นการซ้อมกลางฝูงชนในเมืองหลวงนั่นเอง หน่วยจู่โจมนี้แบ่งเป็นหมู่ๆ หมู่ละ ๓ คนบ้าง ๔ คนบ้าง แล้วแยกย้ายกันซ้อมยุทธวิธีแห่งการยึดอำนาจตามสถานที่สำคัญต่างๆในขณะที่ผู้คนพลุกพล่าน แต่ก็ไม่มีใครสังเกตเห็น เพราะหมู่หนึ่งมีไม่กี่คนและไม่ได้พกอาวุธ
ในขณะนั้นมีข่าวลือแพร่สะพัดรวมทั้งข่าวในหนังสือพิมพ์ระบุว่า พรรคบอลเชวิกเตรียมการยึดอำนาจ รัฐบาลนายเกอเรนสกี้ก็จัดวางแผนต่อต้านไว้อย่างรัดกุม แต่ก็เป็นการวางแผนตามคาดการว่าจะเกิดการยึดอำนาจแบบเก่าๆ ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีการยึดอำนาจตามวิธีใหม่ของทร็อตสกี้ที่ไม่เคยมีใครใช้มาก่อน

ทร็อตสกี้ได้เสาะหาแผนผังบริการฝ่ายเทคนิคของนครเปโตรกราดมาได้อันหนึ่ง เขาจึงให้ทหารเรือหมู่หนึ่งพร้อมด้วยวิศวกรและกรรมกรที่มีความชำนาญพิเศษไปตรวจสำรวจท่อน้ำใต้ดิน ท่อแก๊ส สายไฟฟ้า สายโทรศัพท์และสายโทรเลข คนเหล่านี้ต้องมุดลงไปในท่อต่างๆที่อยู่ใต้ดิน รวมทั้งท่อที่ฝังไว้ใต้ที่ทำการของกรมเสนาธิการทหารด้วย แผนการได้กำหนดให้ตัดการติดต่อระหว่างย่านต่างๆในชุมชนอย่างเด็ดขาดภายในเวลาเพียง ๒-๓ นาที ทร็อตสกี้ได้แบ่งนครเปโตรกราดออกเป็นเขตๆ มีจุดยุทธศาสตร์ตั้งอยู่ตรงไหนก็แบ่งคนไปปฏิบัติการเป็นเขตๆไม่ก้าวก่ายกัน โดยให้นิยามการยึดอำนาจไว้ว่า “การยึดอำนาจก็คือ การใช้กำปั้นประเคนคนพิการ”

ในวันที่ ๒๑ ตุลาคม อันโตนอฟ ออฟเซียนโก ผู้บัญชาการหน่วยจู่โจม ได้กำหนดให้ทุกหน่วยทำการซ้อมยึดที่ทำการต่างๆอีกครั้ง การซ้อมใหญ่ครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่นแม่นยำ เป็นที่พอใจของทร็อตสกี้และออฟเซียนโกมาก โดยเฉพาะที่ทำการไฟฟ้ากรุงเปโตรกราด ซึ่งดำเนินการโดยเทศบาล ไม่มีตำรวจทหารไปคุ้มครอง เมื่อหน่วยจู่โจมซึ่งเป็นทหารเรือ ๓ คนย่องเข้าไป ผู้อำนวยการมาพบเข้าพอดี แทนที่จะเฉลียวใจว่า ๓ คนนั้นเข้ามาอย่างมีพิรุธ ผู้อำนวยการกลับทึกทักเอาว่าทั้ง ๓ เป็นเจ้าหน้าที่ที่ผู้บัญชาการรักษาความสงบส่งมาช่วยรักษาการณ์
“ผู้บัญชาการรับปากว่าจะส่งคนมาช่วยรักษาการณ์ตั้ง ๕ วันแล้ว เพิ่งจะมาเดี๋ยวนี้เอง” ผอ.ว่า

ทหารเรือทั้ง ๓ จึงสวมรอยว่าได้รับคำสั่งให้มาคุ้มครองจากการยึดของพวกบอลเชวิก โรงไฟฟ้าของนครเปโตรกราดจึงตกอยู่ในการยึดของพรรคบอลเชวิกอย่างง่ายๆ

ตำรวจและทหารของรัฐบาลมัวพะวงที่จะพิทักษ์สถาบันทางการเมืองของรัฐ เช่นวังฤดูหนาว อันเป็นทำเนียบรัฐบาล วังมาเรีย ที่ประชุมสภาสูง วังโตรีด ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ตลอดจนศาลาว่าการกระทรวงต่างๆ รวมทั้งที่ทำการกรมเสนาธิการด้วย แต่ยุทธวิธีของทร็อตสกี้จะบุกเข้ายึดหน่วยงานด้านเทคนิค ด้านสาธารณูปโภค ในทรรศนะของทร็อตสกี้เห็นว่าการยึดอำนาจเป็นการยึดเทคนิค โดยกล่าวว่า

“ในการยึดอำนาจจากรัฐบาล จำเป็นต้องใช้หน่วยจู่โจมและช่างเทคนิค กล่าวคือต้องใช้คณะบุคคลถืออาวุธอยู่ในบังคับบัญชาของนายช่าง”

ในวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๑๙๑๗ ขณะที่คณะกรรมการวางแผนปลุกเร้าประชาขนของพรรคบอลเชวิกกำลังประชุมกันอยู่ที่ตึกสโมลนี ซึ่งทร็อตสกี้ก็ตั้งกองบัญชาการอยู่ชั้นบนห้องนั้น สมาชิกคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามาบอกที่ประชุมว่าหน่วยจู่โจมของทร็อตสกี้เข้ายึดที่ทำการโทรเลขกลางไว้ได้แล้ว ทั้งยึดสะพานข้ามแม่น้ำเนวาไว้ด้วย

การยึดสะพานข้ามแม่น้ำเนวานับเป็นการคุมการคมนาคมระหว่างกรุงเปโตรกราดกับชานกรุงไว้โดยเด็ดขาด นอกจากนี้หน่วยจู่โจมที่ประกอบด้วยทหารเรือยังบุกเข้ายึดโรงไฟฟ้า โรงอัดแก๊ส และสถานีรถไฟได้ตามแผนทุกอย่าง แม้ที่ทำการโทรเลขกลางจะมีตำรวจและทหารรักษาการณ์อยู่ ๕๐ คน แต่ทหารเรือ ๓ คนที่เคยเข้ามาซ้อมยึดไว้แล้วรู้ลู่ทางดี ได้เล็ดลอดเข้าไปในที่ทำการ เอาระเบิดมือขว้างไปที่แนวของตำรวจทหารที่กำลังต่อสู้กับหน่วยจู่โจม ทำให้ตำรวจทหารแตกกันกระเจิง

นอกจากนี้รถยนต์หุ้มเกราะของคณะรัฐประหารยังวิ่งไปมาระหว่างตึกสโมลนีกับย่านที่หน่วยจู่โจมกำลังปฏิบัติงานอยู่ ทั้งตามตึกที่อยู่สี่แยกของถนนสำคัญหน่วยจู่โจมก็ลอบเอาปืนกลไปตั้งเตรียมไว้ก่อนแล้ว

ราว ๖ โมงเย็นของวันนั้น อันโตนอฟ ออฟเซียนโก ผู้บัญชาการหน่วยจู่โจม ซึ่งเป็นอดีตทหารของพระเจ้าซาร์ ก็เข้ารายงานกับทร็อตสกี้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “เรียบร้อย”

คณะรัฐมนตรีต่างตกใจเผ่นเข้าไปหลบในวังฤดูหนาว ซึ่งมีเยาวชนลูกผู้ดี ๓-๔ กองร้อย กับทหารหญิง ๑ กองพันรักษาการณ์อยู่ ส่วนตัวนายกรัฐมนตรีเกอเรนสกี้ไม่รู้ว่าหลบไปไหน บางกระแสข่าวว่าเขาเล็ดลอดออกไปหัวเมืองใกล้เคียง เพื่อระดมทหารมาตีฝ่ายรัฐประหาร

ตามถนนหนทางต่างเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่กระหายใคร่รู้ข่าวคราว ห้างร้านรวมทั้งโรงหนังโรงละครยังเปิดตามปกติ รถรางก็ยังวิ่งปกติเช่นกัน แต่บนรถเต็มไปด้วยทหารและกรรมกรถืออาวุธ ฝูงชนที่เคลื่อนไปตามถนนเพื่อดูเหตุการณ์นั้น บ้างก็แช่งชักสาปส่งรัฐบาล บ้างก็ด่าพรรคบอลเชวิก ตอนนั้นมีข่าวลือสับสน บ้างก็ว่าหัวหน้าพรรคเมนเชวิกถูกยิงเป้าที่หน้าสภาผู้แทนราษฎรแล้ว บ้างก็ว่าเลนินเข้ายึดวังฤดูหนาว และตั้งมั่นอยู่ในห้องที่พระเจ้าซาร์เคยประทับ ประชาชนจึงมุ่งไปที่วังฤดูหนาวเพื่อจะดูว่ามีธงแดงชักอยู่เหนือวังหรือไม่ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นกองรักษาการณ์ของเยาวชนลูกผู้ดีตั้งปืนกลและปืนใหญ่จังก้า เมื่อชะเง้อมองไปที่หน้าต่างเผื่อจะเห็นเนินหรือพวกบอลเชวิกโผล่มาบ้าง ก็ไม่เห็นใครเลย

เวลานั้นนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลและพวกที่เป็นปฏิปักษ์กับพรรคบอลเชวิก ไม่ยอมเชื่อว่าพรรคบอลเชวิกยึดอำนาจได้แล้ว เพราะรัฐสภา กระทรวงทบวงกรมต่างๆยังไม่ถูกยึด คณะรัฐมนตรีก็ยังมีอิสระ เพียงแต่หลบเข้าไปอยู่ในวังฤดูหนาวเพื่อความปลอดภัย ไม่ได้ถูกจับ รัฐบาลของนายเกอเรนสกี้ยังไม่ล้ม ฉะนั้นการที่พรรคบอลเชวิกประกาศว่ายึดอำนาจได้แล้วจึงเป็นเรื่องไม่จริง แม้แต่คณะกรรมการวางแผนปลุกเร้าประชาชนของพรรคบอลเชวิกรวมทั้งเลนินเอง ก็ยังไม่ยอมเชื่อว่าทร็อตสกี้ยึดอำนาจได้แล้ว

ทร็อตสกี้ไม่ได้สนใจใยดีกับคณะรัฐบาลและสถานที่ทำการของรัฐบาลเลย คณะรัฐมนตรียังลอยนวลอยู่ก็จริง แต่เหมือนคนพิการสั่งการอะไรไม่ได้เลย เพราะการสื่อสารโทรคมนาคมถูกพรรคบอลเชวิกยึดไว้ทั้งหมด รัฐบาลถูกตัดการติดต่อกับส่วนต่างๆ ของประเทศโดยสิ้นเชิง สถานีวิทยุก็อยู่ในการควบคุมของคณะรัฐประหาร ตามชานกรุงถนนทุกสายถูกปิดกั้นไม่มีใครเล็ดลอดออกนอกเมืองได้ ทหารหลายกรมเริ่มเปลี่ยนท่าทีหันมาฟังคำสั่งของคณะกรรมการปฏิวัติฝ่ายทหารที่มีทร็อตสกี้เป็นประธาน

เมื่อเหตุการณ์ยังดูสับสน ในเช้าวันที่ ๒๕ ตุลาคม ทร็อตสกี้จึงสั่งให้อันโตนอฟ ออฟเซียนโกเข้ายึดวังฤดูหนาวที่คณะรัฐมนตรีหลบเข้าอาศัย และบอกเลนินว่า

“นี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้คณะกรรมการกลางพรรคบอลเชวิกและคณะกรรมการวางแผนปลุกเร้าประชาชนพากันแน่ใจว่า การรัฐประหารของเราหาได้ล้มเหลวไม่”
“ท่านตัดสินใจช้าไปหน่อย” เลนินว่า

ทร็อตสกี้จึงชี้แจงว่า

“ข้าพเจ้าไม่อาจสั่งหน่วยจู่โจมให้เข้าตีรัฐบาลได้ จนกว่าจะแน่ใจว่ากองทหารประจำนครเปโตรกราดไม่เข้าช่วยคุ้มครองรัฐบาล เราจำต้องให้ทหารได้มีเวลาสำหรับคิดเปลี่ยนใจมาเข้าข้างฝ่ายเรา จะมีก็แต่พวกเยาวชนลูกผู้ดีเท่านั้นที่จะคงภักดีต่อรัฐบาลอย่างไม่ลืมหูลืมตา”

วันนั้นเลนินปลอมตัวเป็นกรรมกร โกนเคราเกลี้ยงเกลาและสวมวิก เล็ดลอดออกจากที่ซ่อนไปร่วมประชุมที่ตึกสโมลนี เพื่อจะดูให้แน่ใจว่ารัฐบาลล้มหรือยัง คณะรัฐมนตรีถูกหน่วยจู่โจมของทร็อตสกี้จับไว้ได้หรือไม่ เลนินไม่วางใจทร็อตสกี้ เพราะดูเขาเป็นคนที่มั่นใจตนเองมากเกินไป ทั้งยังดูบ้าบิ่นมีความคิดนอกรีตอยู่เสมอ

เลนินในสภาพปลอมตัวได้มานั่งอยู่ต่อหน้าทร็อตสกี้เพียงสองคนในห้องหนึ่งที่ตึกสโมลนี โดยมีหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าววางเกลื่อนอยู่ต่อหน้า ทร็อตสกี้มองหน้าเลนินแล้วก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้ เขารู้สึกว่าถึงเวลาที่เลนินจะถอดวิกออกได้แล้ว พรรคบอลเชวิกยึดอำนาจไว้ได้โดยเด็ดขาด เลนินเป็นใหญ่ในรัสเซียแต่ผู้เดียว ถึงเวลาที่เลนินควรจะปล่อยให้เคราขึ้นตามเดิม แล้วถอดวิกโยนทิ้งให้ใครๆจำหน้าได้เสียที เขาจึงบอกเลนินว่า

“ท่านจะมัวปลอมตัวอยู่ทำไมอีก ธรรมดาผู้ชนะย่อมจะไม่หลบๆซ่อนๆ”

เลนินฟังแล้วก็หรี่ตาจ้องมองทร็อตสกี้ พร้อมกับยิ้มอย่างประชด ถึงนาทีนั้นเลนินก็ยังไม่เชื่อว่าทร็อตสกี้ยึดอำนาจได้แล้ว เพราะเสียงปืนใหญ่และเสียงปืนกลยังรัวมาแต่ไกล ซึ่งเสียงปืนใหญ่นั้นมาจากปืนของเรือลาดตระเวนที่จอดอยู่ในแม่น้ำเนวาถล่มใส่วังฤดูหนาว สนับสนุนให้หน่วยจู่โจมบุกเข้ายึด

สักครู่หนึ่ง ดีเบนโก หัวหน้าหน่วยจู่โจมฝ่ายทหารเรือก็เข้ามารายงานทร็อตสกี้และเลนินว่า หน่วยจู่โจมของออฟเซียนโกบุกเข้ายึดวังฤดูหนาวไว้ได้แล้ว คณะรัฐมนตรีของเกอเรนสกี้ตกเป็นเชลยของพรรคบอลเชวิก รัฐบาลคว่ำแล้ว
“อา! ในที่สุดก็สำเร็จ” เลนินอุทานออกมาอย่างดีใจ

ว่าแล้วก็ถอดวิกออก โชว์หัวล้านเลี่ยนเตียนโล่งอันเป็นสัญลักษณ์ แต่ก็ยังขาดเครา

“ท่านเลิกปลอมตัวช้าไปถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง” ทร็อตสกี้บอก

“เราไปกันเถอะ” เลนินกล่าวขณะที่เดินนำไปยังห้องประชุมใหญ่ของสภาโซเวียต เพื่อรับตำแหน่งผู้กุมอำนาจสูงสุดของรัสเซีย ผู้ที่ตามหลังเขาไปติดๆก็คือ เลออง ทร็อตสกี้ ซึ่งเมื่อไม่กี่นาทีมานี้ เลนินยังไม่ยอมเชื่อคำพูดของเขาว่ายึดอำนาจได้สำเร็จ

ยุทธวิธีทำรัฐประหารของทร็อตสกี้ เป็นวิธีที่ไม่มีใครเคยใช้มาก่อน และไม่มีใครคาดคิด การทำรัฐประหารก่อนหน้านั้นมุ่งแต่จะยึดที่ทำการรัฐบาล ยึดตัวคณะรัฐมนตรี แต่ทร็อตสกี้ไม่สนใจในเรื่องเหล่านั้นเลย เขามุ่งแต่จะยึดที่ทำการด้านเทคนิคต่างๆ อย่างที่เขากล่าวไว้ว่า

“การยึดอำนาจก็คือ การใช้กำปั้นประเคนคนพิการ”

เป็นที่น่าสังเกตว่า การยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ของไทย ก็ได้ใช้ยุทธวิธีของเลออง ทร็อตสกี้แล้ว

“เทคนิคคุปเดต้า” พิมพ์ออกมาครั้งแรกเป็นภาษาฝรั่งเศสใน พ.ศ. ๒๔๗๓ ต่อมาเพียง ๒ ปี เราก็นำยุทธวิธีทำรัฐประหารแบบใหม่นี้มาใช้ แสดงว่าเราเรียนรู้เร็วมากในเรื่องทันสมัยแบบนี้

และเรายังนำรัฐประหารมาใช้ประโยชน์ในความหมายตรงกันข้าม ไม่ใช่ทำรัฐประหารเพื่อโค่นล้มระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นการทำรัฐประหารเพื่อนำประชาธิปไตยกลับคืนมา อย่างเช่นการทำรัฐประหารครั้งแรกในปี ๒๔๗๖ เมื่อประชาธิปไตยที่เพิ่งได้มา แต่กลับถอยหลังลงคลองอีก มีการปิดรัฐสภาโดยพละการ ประกาศงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา เลยมีการทำรัฐประหารเพื่อเปิดรัฐสภา นำรัฐธรรมนูญกลับมาใช้

หรือทำรัฐประหารมาผ่าทางตัน ที่บ้านเมืองไม่สามารเดินต่อไปได้ อย่างรัฐประหารในปี ๒๕๔๙ ของ คมช. และรัฐประหารในปี ๒๕๕๗ ของ คสช.
ถือได้ว่าเป็น “รัฐประหารเพื่อประชาธิปไตย” ในแบบ “ไทยสไตล์”
เลนิน
เลออง ทรอสกี
ฉากบุกวังฤดูหนาวของหนังเรื่อง “October”


กำลังโหลดความคิดเห็น