ในพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งเป็นพระราชพิธีศักดิ์สิทธิ์คู่ราชอาณาจักรไทยมาตั้งแต่กษัตริย์พระองค์แรกในสมัยกรุงสุโขทัย พิธีนี้มีขั้นตอนที่สำคัญก็คือ การสรงน้ำมูรธาภิเษก และการถวายเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ เมื่อทรงผ่านขั้นตอนนี้แล้วจึงจะถือว่าเป็นกษัตราธิราชโดยสมบูรณ์ ทรงเปลี่ยนสถานะจาก “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” เป็น “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” “พระราชโองการ” ก็จะเป็น “พระบรมราชโองการ”
แต่ครั้งหนึ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้ ที่ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกกษัตริย์พระองค์หนึ่ง ไม่มีเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์เข้าร่วมพิธีเพราะมีเหตุสุดวิสัย แต่ก็จำใจต้องทำพิธีโดยไม่มีสิ่งสำคัญนี้เข้าร่วม
ทั้งนี้เมื่อปลายรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ทรงขัดเคืองพระทัยเจ้าฟ้าพร พระอนุชาผู้เป็นมหาอุปราช ซึ่งจะต้องขึ้นครองราชย์ต่อตามกฎมณเฑียรบาล จึงทรงมอบตำแหน่งรัชทายาทให้แก่เจ้าฟ้านเรนทร์ กรมขุนสุเรนทร์พิทักษ์ พระราชโอรสองค์โต แต่เจ้าฟ้านเรนทร์เห็นว่าพระเจ้าอาควรจะได้เป็นรัชทายาท จึงทรงผนวชหนีปัญหา แบบไม่ยอมสึก พระเจ้าท้ายสระจึงมอบตำแหน่งนี้ให้แก่เจ้าฟ้าอภัย พระราชโอรสองค์กลาง
เมื่อพระเจ้าท้ายสระสวรรคตในปี ๒๒๗๕ จึงเกิดขัดแย้งกันอย่างรุนแรง เมื่อเจ้าฟ้าอภัยถือว่าพระองค์ได้รับมอบราชสมบัติจากพระราชบิดา และเจ้าฟ้าปรเมศร์ พระอนุชาก็สนับสนุนพระเชษฐา ส่วนเจ้าฟ้าพร ก็ถือว่าพระองค์ยังเป็นรัชทายาทโดยชอบธรรม
ฝ่ายพระเจ้าหลานมีวังหลวงสนับหนุน ส่วนพระเจ้าอาก็มีวังหน้าสนับสนุน สงครามกลางเมืองชิงอำนาจระหว่างวังหลวงกับวังหน้าจึงเกิดขึ้น ต่างผลัดกันรุกผลัดกับรับถึง ๓ วัน ล้มตายเป็นจำนวนมากทั้งสองฝ่ายจนฝ่ายวังหลวงสองพี่น้องเห็นว่าหมดทางสู้ จึงหอบสมบัติลงเรือหนี ของที่หอบหนีไปมีเครื่องราชูปโภคและเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ด้วย เพื่อขัดขวางการราชาภิเษก แต่เรือไปล่ม จึงถูกจับมาทุบด้วยท่อนจันทน์ทั้งสององค์
ส่วนสมบัติสำคัญของแผ่นดินจมน้ำหายไปหมด เจ้าฟ้าพรจึงทำพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นครองราชย์ โดยมีสวดมนต์เลี้ยงพระ ๓ วัน ในวันที่ ๓ เวลาเช้า สรงมุรธาภิเษก ทรงเครื่องแล้วเสด็จประทับพระที่นั่งอัฐทิศแต่ทิศเดียว พระมหาราชครูพราหมณ์กราบบังคมทูลถวายสิริราชสมบัติ แล้วสวดเวทถวายชัยมงคล เป็นเสร็จการเพียงเท่านั้น ไม่ได้ตั้งพระที่นั่งภัทรบิฐ และไม่ได้ถวายเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราช ที่ ๓ แต่ในพงศาวดารเรียกเมื่อสวรรคตแล้วว่า พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
ในสมัยกรุงธนบุรี มีคำกล่าวกันว่า เมื่อพระเจ้าตากสินทำพิธีราชาภิเษกนั้นหาพราหมณ์ทำพิธีไม่ได้ เป็นการบกพร่องไม่ต้องราชประเพณี จึงทรงไม่ใช้พระราชโองการจนตลอดรัชกาล แต่สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพบสำเนาหนังสือแต่งตั้งเจ้าพระยานคร มีพระราชโองการตามแบบอย่างพระเจ้าแผ่นดินครั้งกรุงเก่าทุกประการ
นอกจากนี้ ในวรรณคดีเรื่อง “ยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุรี” ซึ่ง นายสวนมหาดเล็ก ได้แต่งขึ้นใน พ.ศ.๒๓๑๔ หลังจากขึ้นครองราชย์ได้ ๔ ปี มีโคลงตอนหนึ่งว่า
ใครอาจอาตมตั้งตัวผจญ ได้ฤา
พ่ายพระกุศลพลทั่วด้าว
ปราบดาภิเษกบนภัทรบิฐ บัวแฮ
สมบัติสมบูรณ์ด้าวแด่นฟ้ามาปาน
เมื่อตอนที่พระเจ้าตากสินยึดกรุงศรีอยุธยากลับคืนมาได้ แต่อยู่ในสภาพที่กล่าวกันว่า “กลายจากเมืองทองเป็นเมืองถ่าน” ทรงตัดสินพระทัยที่จะย้ายราชธานีไปอยู่ที่กรุงธนุรี ก่อนจะออกจากกรุงศรีอยุธยาไปนั้น โปรดให้ขุดพระศพพระเจ้าเอกทัศน์ที่สุกี้พระนายกองนำไปฝังไว้ที่โคกพระเมรุ มาบรรจุในพระโกศที่สร้างพอสังเขป และตามหาพระสงฆ์ที่ยังพอมี มาทำพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพตามเยี่ยงกษัตริย์แต่ก่อนมา แม้จะมีเครื่องประกอบพิธีต่างๆไม่พร้อม ก็ยึดธรรมเนียมราชประเพณี และทำเท่าที่จะทำได้ในสถานการณ์เช่นนั้น
พิธีราชาภิเษกของพระองค์ในยามที่บ้านแตกสาแหลกขาด ราษฎรไม่มีข้าวจะกิน แต่การบรมราชาภิเษกก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะบ้านเมืองยังแยกเป็นก๊กเป็นเหล่า จำต้องเรียกขวัญกำลังใจประชาชนให้กลับคืนมา และก๊กต่างๆจะได้หยุดความแตกแยก เข้ามารวมเป็นหนึ่งเดียวกัน จึงสันนิษฐานได้ว่า พระเจ้าตากสินก็คงจะทำตามธรรมเนียมราชประเพณีเท่าที่จะทำได้เช่นกัน ในบทกวีที่นายสวนมหาดเล็กแต่งยอพระเกียรตินั้น ก็ได้กล่าวว่าทรงทำพิธีปราบดาภิเษกบนพระแท่นภัทรบิฐ ถึงแม้จะไม่มีเครื่องราชเบญจราชกกุธภัณฑ์ ซึ่งตอนนั้นก็คงจะสุดวิสัย หาไม่ได้ ก็ถือว่าผ่านขั้นตอนสำคัญของพระราชพิธีราชาภิเษกแล้ว เช่นเดียวกับสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
นี่ก็เป็นเกล็ดประวัติศาสตร์เกี่ยวกับบรมราชาภิเษก ซึ่งเป็นพระราชพิธีศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดิน แต่บางครั้งก็จำต้องทำไปตามสถานการณ์ เพื่อให้บ้านเมืองกลับคืนมาสู่ความสงบสุขร่มเย็นโดยเร็ว และในยามที่บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข ก็ทำเต็มตามพระราชประเพณี ให้เป็นสิริมงคลแก่บ้านเมืองต่อไป