xs
xsm
sm
md
lg

"หนูเป็นไอดอลในเรื่องของความพยายาม" : พิม SWEAT16!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


"ไอดอล" น่าจะเป็นอีก 1 คำที่กำลังฮิตอยู่ในวงการเพลงบ้านเรา เด็กสาวหลายคนมุ่งมั่นที่จะก้าวเข้ามาเพื่อตามความฝันของตน เช่นเดียวกับ "พิม ขจรเวคิน" สมาชิกวงไอดอลสาว SWEAT16! แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดของการเข้ามาสู่วงนี้ MGR online จึงได้โอกาสไปสัมภาษณ์พิเศษเจาะลึกถึงการก้าวเข้ามาสู่เส้นทางสายดนตรีและปัญหาในชีวิตที่เธอเคยถูกล้อจนรู้สึกว่าเป็นปมด้อยของตัวเอง



ทำไมถึงเลือกที่จะเดินเส้นทางสายไอดอล?
พิม : ตอนแรกเหมือนกับแค่อยากลองดูเฉยๆ เพราะเมื่อตอนเด็กๆ มีความฝันว่าอยากจะเป็นนักร้อง นักแสดง เพราะเราเห็นพวกพี่ๆ ที่เป็นนักแสดงเขามีชื่อเสียงและคนมีรักเยอะแยะ เราก็เลยอยากลองที่จะเป็นแบบนั้นบ้าง แต่ว่าหนูเคยไปออดิชั่นมาไม่เยอะมากเพราะตอนนั้นกลัวตัวเอง ไม่มั่นใจในตัวเอง เพราะรู้สึกว่าตัวเองหน้าตาไม่สวย ร้องเพลงไม่เพราะ รูปร่างใหญ่ ค่อนข้างอ้วน พอมันมีโครงการเอเชีย สตาร์ ออดิชั่น ซึ่งเป็นโครงการที่เฟ้นหาเด็กสาวที่มีความฝันต้องการจะเป็นไอดอล เราก็เลยลองดูเพราะรอบแรกมันแค่ส่งรูปไปกับกรอกประวัติ เราก็คิดว่ามันคงจะไม่ได้ แค่ลองดูเฉยๆ สรุปมันก็ได้ขึ้นมา เราก็แบบ เฮ้ย ดีใจมากๆ เลย ก็รู้สึกว่า เออ ได้ก้าวทำตามความฝันอีกขั้นนึง ก็เลยมาอยู่ตรงนี้เป็น SWEAT16!

พอเข้ามาในวง SWEAT16! แล้วผิดจากที่คิดไว้มั้ย?
พิม : ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ ต้องบอกว่าตอนแรกเราไม่เข้าใจความหมายของคำว่า ไอดอล เราเลยไม่ได้วาดฝันไว้ก่อนว่า ไอดอลมันจะต้องเป็นแบบนี้นะ แต่ว่าเรารู้อย่างเดียวว่า เราเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจเท่าไหร่ เราก็เลยต้องหาเรื่องที่ทำให้เรามั่นใจได้บ้าง คือตอนแรกหนูไม่เข้าใจเลยว่าตัวเองเป็นคนยังไง คาแรคเตอร์เป็นยังไง พี่เขาก็บอกให้เราหาคาแรคเตอร์ของตัวเองดู แล้วอะไรมันคือคาแรคเตอร์ของพิม เป็นคนที่ยิ้มง่ายเหรอ ก็ไม่ เพราะว่าคนรอบข้างที่มองเรามาก็จะมองว่าเราหน้าดุ และตอนแรกเป็นคนที่ไม่ได้รักตัวเองเท่าไหร่ ดูถูกตัวเองมาโดยตลอดว่าไม่เก่ง อ้วน ไม่มีความสามารถใดๆ ทั้งสิ้น จนคนอื่นเขามองเราว่าเราเป็นไอดอล

"มีหลายๆ คนเดินมาบอกกับพิมในกิจกรรมไฮไฟว์ (สัมผัสมือ) ว่าคุณพิมคือไอดอลเลยนะ เพราะว่าตอนแรกหนูน้ำหนักตัวเยอะ แล้วหนูสามารถลดลงมาได้ 15 กิโลกรัม เหมือนกับมีคนที่เห็นและมองเราว่าเราคือไอดอลของเขา เขาสามารถลดน้ำหนักได้เพราะเรา ก็เลยทำให้หนูมีความรู้สึกภูมิใจ และรักตัวเองมากขึ้น เออ เนี่ยแหละมันคือความหมายของคำว่าไอดอลของพิม"

เหมือนช่วงชีวิตแรกๆ รู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อย?
พิม : ไม่เชิง แต่อาจจะด้วยเมื่อตอนชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษา โดนเพื่อนล้อค่อนข้างบ่อยว่าเสียงเหมือนผู้ชาย เสียงเป็ด เสียงไม่มีความเป็นผู้หญิง ขาใหญ่ อ้วน มันก็เลยเป็นความรู้สึกที่ทำให้เราไม่มั่นใจในตัวเอง ก็เลยคิดว่าตัวเองยังไม่ดีพอ ก็เลยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเล็กน้อย แต่พอมาอยู่ที่นี่แล้วรู้สึกดีขึ้นเยอะมากๆ มันทำให้พิมรู้สึกมั่นใจในตัวเองเยอะขึ้นมาก

พอเข้ามาอยู่ในวงมันเหมือนเราต้องแอคทีฟไปในตัว?
พิม : หมายถึงพัฒนาตัวเอง ก็ค่อนข้างนะ เพราะถ้าพูดถึงเรื่องความเก่งในวงหรือด้านต่างๆ พิมเป็นคนที่ไม่เก่งเลย เรียนไม่ได้เก่งมาก ร้องเพลงไม่ได้เก่งมาก เต้นไม่ได้เก่งมาก รูปร่างไม่ได้ดีมาก เราก็เลยรู้สึกว่าเราต้องค่อนข้างที่จะพัฒนาตัวเองตลอดเวลา ต้องทำตัวเหมือนน้ำที่ไม่เต็มแก้ว พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา

นี่คือจุดเด่นของพิม?
พิม : ถ้าเรื่องความพยายามก็คิดว่าน่าจะเป็นจุดเด่นของพิม เพราะเป็นคนค่อนข้างที่จะยึดติดกับตัวเองมากๆ ว่าต้องทำอย่างนี้ จะเจาะจงตลอดเวลาว่า อาทิตย์นึงหนูจะต้องออกกำลังกายอย่างน้อยให้ได้ประมาณ 3-4 วันต่อสัปดาห์ ต้องอ่านภาษาญี่ปุ่น ท่องศัพท์วันละ 10 คำ มันจะมีอยู่ช่วงนึงที่รู้สึกเครียดกับตัวเองมากเพราะว่าไม่ได้เรียนภาษาญี่ปุ่น คือการเรียนภาษามันเป็นอะไรที่ต้องใช้ให้ได้เป็นปกติทุกวัน แล้วมันมีอยู่ช่วงนึงงานเยอะมาก จนไม่ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นเลยหนูจะทำอย่างไรดี ตอนนั้นไปลงคอร์สเรียนไว้ แต่ว่าหนูต้องซ้อม ต้องออกงาน หนูก็เสียเงินค่าเรียนไปโดยที่ได้เรียนแค่ประมาณ 2 ครั้งเอง ก็เลยเปลี่ยนวิธีการไปเรียนในออนไลน์ หาเวลาว่างๆ วันละ 2 ชั่วโมงเพื่อที่จะเรียน แล้วโชคดีอีกอย่างคือพิมทำดีเจด้วย ช่วง Drama Aholic มันก็จะเกี่ยวกับภาษาญี่ปุ่น เราก็จะได้เรียนรู้ภาษาหนูจะต้องหาคำศัพท์ ข้อคิดจากในซีรี่ย์ญี่ปุ่นหรือซีรี่ย์ใดๆ ก็แล้วแต่เอาไปสอนแฟนๆ หรือว่าจะเป็นแบบคำศัพท์ที่น่าสนใจมันก็ทำให้หนูได้เรียนรู้ในภาษาญี่ปุ่นมากขึ้น เพราะเราได้ใช้ทุกวัน

"แล้วก็อีกอย่างนึงคือที่สถานีวิทยุเจ ชานแนล เขาจะมีคนญี่ปุ่นอยู่ ตอนนั้นหนูไม่ค่อยได้พูดภาษาญี่ปุ่น เขียนอย่างเดียว อ่านแกรมม่า ท่องศัพท์ มันก็ไม่ได้ฝึกพูด หนูก็เลยขอให้ ซุมิมัต นักแสดงตลกชาวญี่ปุ่น ช่วยเป็นเพื่อนคุยให้หนูสักชั่วโมงได้ไหม เพื่อจะได้พัฒนาภาษา เขาก็ช่วยหนู หนูก็เลยรู้สึกรักที่นี่มากๆ เพราะได้ฝึกตัวเองทุกวัน"

แต่เราก็สามารถแบ่งเวลาเรียนจนได้เกียรตินิยมอันดับ 1 สาขาการบริหารธุรกิจญี่ปุ่น แขนงภาษาญี่ปุ่น คณะบริหารธุรกิจ สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น
พิม : เรื่องการแบ่งเวลาถ้ามันจะทำให้ง่ายมันก็ง่ายจะทำให้ยากมันก็ยาก เพราะว่าคนเรามันมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน พิมเป็นคนที่เวลาจะทำอะไรก็จะทุ่มเทมากๆ ช่วงที่สอบเคยอ่านหนังสือทั้งวันแทบไม่ได้พักเลย สมมุติว่าวันนี้มีงานเลิกประมาณ 6 โมงเย็น วันต่อไปพิมมีสอบตอน 8 โมงเช้า พอกลับถึงบ้านประมาณ 2 ทุ่มก็นั่งอ่านจนถึงเที่ยงคืนแล้วก็นอน แล้วตื่นมาอ่านอีกทีตอนตี 3 ซึ่งที่มหาวิทยาลัยฯ มีความเข้มงวดในเรื่องภาษาญี่ปุ่น ต้องท่องคำศัพท์กันแทบจะทุกอาทิตย์ เวลาที่อยู่บนรถพิมก็มีหนังสืออยู่เล่มนึง กระดาษเอสี่ ดินสอ ปากกา เอามานั่งเขียนๆ จดๆ ขอให้ได้เขียนสักนิดสักหน่อยมันก็รู้สึกดีมากๆ ก็เลยต้องแบ่งเวลาให้ดีๆ เพื่อให้ได้ทำสิ่งที่เรารักและเราเรียนให้ดี

แล้วคิดว่าตัวเองเป็นไอดอลแนวไหน?
พิม : พิมคิดว่าเป็นไอดอลในเรื่องของความพยายาม เหมือนเราได้รับโอกาสมาครั้งนึงแล้วพิมไม่อยากให้สิ่งใดๆ ก็แล้วแต่ที่เราได้รับมามันหลุดลอยไป เลยคิดว่าทุกวันเราต้องทำในทุกๆ สิ่งให้มันดีที่สุด อย่างที่บอกว่าพิมไม่ใช่คนเก่ง เวลาที่ได้รับมอบหมายงานมาอย่างนึงเราจะต้องฝึกมากกว่าคนอื่นเขา อย่างเช่นเรื่องของการเป็นพิธีกร ช่วงแรกๆ ก็เครียด ตื่นเต้น เฮ้ยเราจะทำได้ดีรึเปล่า เพราะสมัยก่อนจะมีคนบอกว่าพิมเป็นคนที่ค่อนข้างจะอยู่แต่ในกรอบ เวลาพูดอะไรจะค่อนข้างมีความเป็นทางการ แล้วจะทำยังไงให้พูดได้ลื่นไหลขึ้น ก็เลยต้องฝึก แล้วโชคดีที่คนรอบข้างของพิม เช่นพี่มุก (ม่านมุก-ชดาธาร ด่านกุล) เขาเรียนการแสดงมาก็เลยได้มีโอกาสไปปรึกษา แล้วมีอยู่ครั้งนึงช่วงที่เดินสายแรกๆ เหมือนพอพิมมาเป็นดีเจ จากตอนแรกเลยที่พูดไม่เก่ง ต้องมีสคริปท์ตลอดเวลา ว่าควรจะตอบยังไงดี คำถามนี้ควรจะตอบแบบไหน แต่พอเราเป็นดีเจ ได้เดินสายเยอะๆ ได้พูดเยอะมากขึ้น มันทำให้การพูดของเราลื่นไหลขึ้น เพราะฉะนั้นเวลาที่เราจะทำอะไรหลายๆ อย่างเราควรพยายามก็เลยคิดว่าตัวเองเนี่ยน่าจะเป็นไอดอลในเรื่องของความพยายาม



เริ่มมาจัดรายการที่สถานีวิทยุออนไลน์ J Channel ได้ยังไง?
พิม : ตอนแรกต้องบอกว่ามีความสนใจในเรื่องของการเป็นดีเจอยู่แล้ว และทีนี้ได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่ให้ลองมาทำเทปดู แต่ว่าถ้าจะเป็นดีเจในช่องนี้ต้องไปศึกษาในเรื่องของเพลงญี่ปุ่นและต้องหาคอนเท้นท์ของตัวเองมาทุกวันนะ ตอนแรกก็แบบหนูจะทำเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรนะให้มันแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา แล้วช่วงนั้นกำลังฮิตซีรี่ย์ญี่ปุ่นมาก ก็เลยลองเสนอผู้ใหญ่ไปว่า ในช่วงของหนูเป็นช่วงที่พูดคุยเกียวกับเรื่องซีรี่ย์หรือว่าเป็นหนัง แล้วก็นำคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นจากในนั้น หรือว่าจากเนื้อเพลงมาสอนคนดูดีมั้ย ผู้ใหญ่เขาก็แบบเฮ้ย เป็นความคิดที่ดี เราก็เลยลองทำดู ตอนแรกก็จะตะกุตะกักหน่อย

"ครั้งแรกเลยหนูจำได้ว่าหนูไม่สบายหนักมาก อาเจียน ปวดหัว ท้องเสียเยอะมาก ตอนนั้นแบบโอ้ย จะหยุดดีมั้ยนะ แต่มันเป็นวันแรก ก็หยุดไม่ได้ ก็ลากสังขารออกจากบ้าน ไม่รู้ทำไมต้องเป็นวันนั้นด้วย แล้วตอนแรกเนี่ยใจเต้น ตอนที่จะเปิดไมค์ก็เกร็งไปหมด ถึงจะมีสคริปท์ให้อ่านก็อ่านเหมือนอ่านหนังสือพิมพ์เลย ก็เลยไปอ่านคอมเม้นท์ของหลายๆ คน เขาก็บอกว่า จะเป็นได้เหรอพูดเหมือนอ่านอยู่เลย ตอนหลังเราก็เลยรู้สึกเฟล ทำไมถึงทำได้ไม่ดี แต่ว่าพอตอนหลังทำไปเรื่อยๆ เราก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ก็เลยรู้สึกสนุกกับงานดีเจมากๆ"

การหาเรื่องมาพูดก็น่าจะเป็นงานที่หนักพอสมควร?
พิม : ช่วงแรกเป็นสิ่งที่ค่อนข้างหนักมาก เพราะว่าเรายังไม่รู้ว่าเราควรเอาคอนเท้นต์อะไรมาพูดดีที่ทำให้คนที่รับฟังเราสนใจ ตอนแรกก็เครียดนะ เพราะหนูต้องหาเนื้อหาเองทั้งหมดเลยไม่ว่าจะเป็นเรื่องหนังหรือเรื่องสอนภาษา แต่ว่าตอนหลังมันก็เหมือนชินมากขึ้น เรารู้แล้วว่าผู้ฟังสนใจแบบนี้นะ หรือว่าบางทีที่เราดูซีรี่ย์ญี่ปุ่นมา เราก็จะนั่งจดคำศัพท์ หรือ ข้อคิดอะไรสอนใจ หรือบางทีก็จะฟังเพลงแล้วก็ดูความหมายมาเล่าสู่กันฟัง ตอนนี้ก็เหมือนเป็นเพื่อนกับคนฟังมากกว่า เราก็เลยรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น และก็ได้คนฟังช่วยคุยกับเรา ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้คุยกันกับเพื่อน

แล้วได้มาพากย์ภาพยนตร์การ์ตูน "ชินจัง เดอะ มูวี่" ได้ยังไง
พิม : จุดเริ่มต้นน่าจะมาจากงานหนึ่ง พิมได้มีโอกาสไปเป็นพิธีกร แล้วในงานนั้นมีวีทีอาร์แนะนำการ์ตูนประมาณ 2 นาที พิมก็งง เฮ้ย หนูต้องทำงานนี้ด้วยเหรอ คือตอนแรกก็จะมีวิดีโอมาให้ แล้วก็มีเสียงเป็นไกด์มาเฉยๆ พี่ที่บริษัทโยชิโมโต้ ไทยเลนด์ เขาก็บอกว่าอยากให้พิมพากย์ใหม่ พิมก็แบบ เฮ้ย จะดีเหรอพี่ คือเราก็ไม่ได้มั่นใจในเสียงตัวเองขนาดนั้น แค่การเป็นพิธีกรที่ต้องคู่กับคนญี่ปุ่นก็หนักมาแล้ว คือตอนแรกก็ไม่ได้รู้สึกเครียดอะไร แต่พอวันที่ทดสอบระบบเสียงแล้วมีพิธีกรชาวญี่ปุ่นมาร่วมด้วย พลังเขาเยอะมาก หนูก็ยืนเอ๋ออยู่บนเวที แบบหน้าเสีย แล้วหนูจะทำได้จริงๆ เหรอ มันเป็นการ์ตูนเด็กด้วยเขาก็เลยต้องมีร้อยใส่ร้อย มีล้านใส่ล้าน ลงมาก็โดนผู้ใหญ่ว่าว่าทำไมไม่มีพลังเลย คือตอนแรกยังปรับตัวไม่ได้ว่าจะต้องทำอะไรดี แล้วต้องมาพากย์เป็นตัวอย่างของการ์ตูนด้วย ช่วงนั้นก็เครียดมาก ทุกวันนั่งซ้อมว่าต้องพูดอะไรบ้าง มันค่อนข้างที่จะยากเพราะว่าในช่วง 2 นาทีนิดๆ เขาก็จะมีการจดบันทึกไว้ประมาณ 2 หน้ากระดาษ แล้วเราก็ต้องดูสิว่าตัวละครมันอ้าปาก งับปากตอนไหน แล้วโทนเสียงที่เราจะใช้มันเป็นโทนเสียงอย่างไรดี แต่ผลตอบรับที่ได้มามันก็ดีเกินคาด เราก็เลยรู้สึกแฮปปี้มากๆ

พอได้มาพากย์ภาพยนตร์จริงๆ เป็นยังไงบ้าง?
พิม : ยากมาก ยากเป็นงานที่ยากที่สุดตั้งแต่หนูได้พบเจอมา ถึงขนาดวันแรกตอนที่ไปคัดเลือก มีพี่หยก นักพากย์มาคอยฝึกให้ พอหลังจากนั้นหนูก็หันไปถามพี่เขาว่าหนูจะไปรอดมั้ยในวงการนี้ พี่เขาก็บอกว่ารอด แต่ต้องใช้ประสบการณ์หน่อย เพราะว่าหนูเป็นคนที่เรียนรู้อะไรได้ค่อนข้างเร็ว แต่ว่าเราต้องฝึกให้มันเยอะๆ ฝึกดูแอนิเมะ ฝึกอ่านหนังสือ ฝึกพูดให้ช้าๆ ชัดๆ ได้ใจความ คือต้องฝึกทุกอย่างเลย แล้วก็ในการพากย์การ์ตูนใดๆ ก็แล้วแต่ สมมติว่าการแสดง หรือการทำสิ่งต่างๆ เราจะสื่อสารกันด้วยสายตา กิริยาท่าทาง ใบหน้า อารมณ์ แต่ว่ากับการพากย์การ์ตูน มันไม่ใช่เลย มันเอาแค่เสียงอย่างเดียว สมมติว่าหนูรู้สึกเศร้าเท่านี้ (ทำนิ้วแคบๆ) หนูก็ต้องรู้สึกเศร้าเท่านี้ (ขยายมือทั้งสองข้างให้กว้างขึ้น) เพื่อที่จะสื่อสารไปถึงคนดูให้ได้รู้เรื่อง ก็เป็นอะไรที่ค่อนข้างยากมากสำหรับพิม

มาพูดถึงวงกันบ้าง รู้สึกยังไงกับกระแส "ปิ้งย่าง" (Yakiniku) เพลงล่าสุดของ SWEAT16!
พิม : เพลงนี้ต้องบอกว่ากระแสดีเกินคาดมากๆ ต้องขอบคุณทุกคนมากๆ ที่ให้การสนับสนุนและให้การตอบรับ SWEAT16! เป็นอย่างดี ก็เหนือความคาดหมายจริงๆ

ถามจริงๆ เราอยากเป็นเซ็นเตอร์ (ผู้ที่ยืนตำแหน่งตรงกลาง) ของเพลงบ้างมั้ย?
พิม : อืม.. ถ้ามองย้อนกลับไปในตัวหนูเมื่อ 1 ปีที่แล้ว ไม่มีความรู้สึกที่อยากจะเป็นเซ็นเตอร์เลย เพราะเราไม่มีความมั่นใจ แต่ว่าตอนนี้หนูมีความรู้สึกว่าอยากจะเป็นเซ็นเตอร์ เพราะอยากจะก้าวข้ามผ่านตัวเองให้ได้ คือเราต้องการที่จะมีความมั่นใจมากขึ้น หนูคิดว่าการที่เราจะได้เป็นเซ็นเตอร์เนี่ยมันต้องมีความมั่นใจ และสามารถส่งผ่านพลัง ส่งความสุขไปให้ได้ทุกๆ คน ถ้ามีโอกาสก็อยากจะลองเป็นสักครั้งนึง จะต้องมีความสุขมากแน่ๆ แล้วก็อยากจะส่งความสุขไปให้กับทุกๆ คนด้วย

ความฝันของพิมจริงๆ คืออะไร?
พิม : ความฝันจริงๆ ของหนูคือการได้ไปเรียนต่อประเทศญี่ปุ่น และเป็นแอร์โฮสเตส แต่ว่าพอหนูได้มาอยู่ตรงนี้แล้ว หนูรู้สึกว่ามีความสุขมากๆ เลยอยากที่จะเรียนภาษาญี่ปุ่นให้ได้เก่งๆ แล้วก็อยู่ในวงการบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นพิธีกร หรือว่าจะเป็นการพากย์ การแสดงละคร อยากจะลองทำงานในทุกๆ สายดูว่าสิ่งไหนมันเหมาะกับเราจริงๆ แล้วอยากจะลองทำอะไรที่มันท้าทาย เพราะเป็นคนที่ค่อนข้างเครียดแต่ว่าสนุกทุกครั้งที่ได้ทำอะไรที่มันยากๆ และท้าทาย

นั่นคือสเต็ปต่อไป?
พิม : อย่างที่บอกว่าใจจริงแล้วยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบที่จะเป็นอะไรจริงๆ หนูชอบทุกๆ อย่างเลยนะ ไม่ว่าจะเป็นพิธีกร การพากย์ การแสดง หรือว่าการเป็นไอดอลที่เป็นอยู่ตอนนี้ ก็เลยอยากจะลองทำในทุกๆ สายเลย หนูเคยคุยกับพี่คนนึงเขาบอกว่าถ้าเปรียบหนูเป็นวงกลมวงนึง หนูจะไม่มีการทะลุไปทางโน้นทางนี้ อย่างน้องมิวสิค (จิดาภา จงสืบพันธ์) ที่ร้องเพลงเก่ง เขาก็มีทักษะการร้องเพลงที่ทะลุวงกลมออกไป แต่หนูจะเป็นระดับอยู่ในวงกลมคือสามารถทำอะไรก็ได้ ก็เลยอยากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยว่าจริงๆ แล้วเนี่ย เราชอบอะไรที่สุด แล้วเราเหมาะกับการทำสิ่งไหนที่สุด

แล้วหาเจอรึยังว่าอะไรเหมาะกับเราที่สุด?
พิม : วันนี้คิดว่าหาเจอแล้วในระดับนึงคือเรื่องของการพากย์ รู้สึกว่าอะไรที่มันต้องใช้ทักษะในการพูดตอนนี้หนูรู้สึกว่าทำแล้วแฮปปี้มากๆ แล้วยิ่งได้มาดูตัวอย่างที่ตัวเองพากย์รู้สึกแบบ เฮ้ย มันใช่เสียงเราจริงๆ เหรอ เราก็รู้สึกมีความสุขสนุกสดใสมากๆ ตอนนี้

เรื่อง : ดรงค์ ฤทธิปัญญา , สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ , วิดิโอ , ตัดต่อ : ดรงค์ ฤทธิปัญญา
กำลังโหลดความคิดเห็น