คุณเคยแอบชอบเพื่อน หรือ มีเพื่อนมาแอบชอบคุณหรือเปล่า ? ซึ่งเชื่อได้เลยว่าความรู้สึกแบบนี้ค่อยมีกันอยู่ไม่มากก็น้อย แต่ถ้ามีเหตุการณ์อย่างงี้เกิดขึ้น เป็นคุณจะมีความรู้สึกยังไง ซึ่งแน่นอนว่าภาพยนตร์เรื่องใหม่ของจีดีเอช (GDH) ‘เฟรนด์โซน ระวังสิ้นสุดทางเพื่อน’ ที่มี “ใบเฟิร์น-พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์” ผู้รับบทเป็น กิ๊ง ก็อาจจะเป็นตัวแทนของใครหลายคนที่จะแสดงความรู้สึกที่ว่านี้ ผ่านตัวหนังให้เข้าใจถึงคำว่า ‘เฟรนด์โซน’ มากยิ่งขึ้นเลยก็ว่าได้

• อยากให้คุณช่วยพูดถึงหนังเรื่องนี้มาพอสังเขปหน่อยครับ
เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างปาล์ม (รับบทโดย นาย-ณภัทร เสียงสมบุญ) กับกิ๊ง สองคนนี้เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมเลย เป็นระยะเวลากว่า 10 ปีเลย แต่มันมีความรู้สึกบางอย่างที่เกินเพื่อนไป แต่ว่าเราก็อยู่ด้วยกัน มีปัญหาอะไรก็ช่วยเหลือกัน ไม่ว่าเขาจะมีแฟนหรือว่าเรามีแฟน ก็จะตามไปช่วยแก้ปัญหาซึ่งกันและกัน จนวันหนึ่งเกิดปัญหาที่ว่า ว่าวันที่จะเลือกความรู้สึกตัวเองก้าวข้ามผ่านความเป็นเพื่อน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้แฟนหรือเสียเพื่อนไป ส่วนคาแรกเตอร์ที่เราได้รับในหนัง ในบทกิ๊ง ถือว่าค่อนข้างตรงกับตัวเรามากนะ เพราะว่าเขาจะเป็นผู้หญิงที่ตรงไปตรงมา ห้าวๆ พูดจาโผงผาง และมีการทุ่มมาก อยากได้อะไรก็จะทุ่มลงไปให้สุดตัวไปเลย
• คุณกำลังจะบอกว่า เราเล่นเรื่องนี้ เหมือนกับไม่ได้เล่นอะไรเลยมั้ย
เล่นสิคะ ถึงแม้ว่าคาแรกเตอร์อาจจะมีความคล้ายกับตัวเรา แต่ว่าเส้นเรื่องหรือทิศทางของตัวละครที่ไปเจอ มันก็มีความแตกต่างกับสิ่งที่เราเจออยู่แล้ว มันเป็นการแก้ปัญหาที่ตัวละครเป็นแบบนี้นะ แต่ก็ไม่เรียกว่าผ่อนคลายนะคะ เพราะว่าตัวละครในเรื่องก็มีอุปสรรคที่เข้ามา แต่ถามว่าคาแรกเตอร์ ในเรื่องนี้มันยากหรือเปล่า ก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรเยอะมาก

• ในการทำงานกับ GDH ครั้งแรก มันต่างกับการทำงานที่ผ่านมายังไงบ้างครับ
คือเราอยากที่จะร่วมงานกับทาง GDH อยู่แล้ว เพราะว่าทางเขามีความตั้งใจมาก อย่างเรื่องบทหนังเรื่องนี้ก็ใช้เวลาในการทำประมาณ 2 ปี กว่าที่จะเริ่มถ่ายทำ กำหนดซีนทุกอย่าง เขาไปดูโลเคชั่น หรือ บล็อกช็อท มาไม่รู้เท่าไหร่ พอการถ่ายทำหนังเรื่องนี้จบลง เราก็มีความรู้สึกดีใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้ เพราะการถ่ายทำในหนังเรื่องนี้ถือว่าเต็มที่ดุเดือดทุกซีน ถ้าซีนไหนไม่ดีจะปล่อยผ่านไม่ได้เลย เรื่องนี้ก็ถือว่ามีความตั้งใจมาก
• การร่วมงานกับพี่หมู (ชยนพ บุญประกอบ : ผู้กำกับการแสดง) ครั้งนี้ มีความแตกต่างยังไงบ้างครับ
แตกต่างตรงตัวบทและสถานการณ์ของตัวละครที่ได้เจอ อีกครั้งเราได้เล่นอะไรที่ไม่เคยเล่นมาก่อนในชีวิต เช่น ฉากที่นั่งๆ อยู่ แล้วก็กระโดดขึ้นไปเกาะป้ายที่ฮ่องกง แล้วกรีดร้อง เราถือว่าส่วนตัวมากเพราะว่าไม่เคยทำอะไรอย่างนี้มาก่อน นอกจากนี้เราคิดว่ามันสุดหลายซีนมาก มันอยู่ในสถานการณ์คับขันและวิธีแก้ปัญหาต่างๆ ตัวละครจะมีความซีเรียสมากก็จะทำยังไงต่อไป แต่โดยรวมถือว่ามีความตลก อย่างการแสดงในเรื่องเราร้องไห้หนักมากในหลายๆซีน แต่พอไปดูจอมอนิเตอร์ พี่หมูสามารถทำให้ฉากที่เราเล่นนั้นกลายเป็นความตลก เราถือว่าเป็นพรสวรรค์ของพี้่หมูที่เปลี่ยนฉากร้องไห้ให้เป็นตลกได้

• นับตั้งแต่ผ่านงานแสดงมาตั้งแต่เด็ก จนถึงตอนนี้ ในมุมมองของเราเอง เราเรียกตัวเองว่านักแสดงได้รึยัง
ได้ค่ะ มันเป็นสิ่งเดียวที่เราทำและคุณค่าของตัวเองคืออาชีพของเราคือนักแสดง คือสิ่งที่เราทำมา ถ้าเราเรียกตัวเองว่าดาราเราก็ยังมีความรู้สึกเขินมากกว่าเรียกตัวเองว่านักแสดง เพราะหน้าที่ของเราทุกวันนี้คือ พอตื่นมาแล้วเราจะถามตัวเองว่าวันนี้เป็นตัวละครอะไร ทำอะไร ตัวละครที่เราสวมบทบาทนั้นเป็นเจอกับอะไร ก่อนหน้านั้นเจออะไรมาบ้าง และหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ก็เหมือนกับว่าทุกวันของเรามันก็มีแค่นี้จริงๆ เพราะมันมีอย่างอื่นที่ทำให้เรากล้าเรียกตัวเองว่านักแสดง
• แต่บทบาทที่เราได้รับมาในแต่ละช่วง มันก็อาจจะขัดกับตัวเองอยู่นะ
เราถือว่าเราเป็นตัวละครนะ ตัวละครทุกตัวไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนเรา เป็นเหมือนเรา หรือแสดงออกด้วยวิธีการแบบเรา เพราะเขาไม่ใช่เรา เขาเป็นคนอื่น อย่างวันนี้เราเป็นใคร เขามองโลกยังไง เขามีความสัมพันธ์กับคนนี้ยังไง เรามีหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวของเขาไม่ใช่เรื่องราวของเรา ซึ่งทุกบทบาทที่เราได้รับในแต่ละครั้งก็จะมีการศึกษา WORKSHOP เราต้องอ่านบทก่อน ซึ่งสิ่งแรกที่เราทำก็คือวิเคราะห์ตัวละคร อย่างตัวละครกิ๊ง เราก็ต้องรู้ก่อนว่ากิ๊งเป็นคนยังไง ชีวิตครอบครัวเขาเป็นยังไง ผ่านอะไรมาบ้าง ความสัมพันธ์กับปาล์มพระเอกของเรื่องผ่านมายังไง เราก็ต้องศึกษาทั้งหมด ว่าเขาจะแสดงออกแบบไหน แสดงออกได้ขนาดไหน แม้กระทั่งการแต่งตัวการจะสามารถแตะต้องตัวได้ประมาณไหน จับหัวไหม จับแขนหรือจับมือไหม ทุกอย่างมันมีข้อจำกัดของมันทั้งหมด เราจะต้องทำงานให้ละเอียดที่สุด

• ในมุมมองความรักกับเพื่อน คุณคิดเห็นยังไงบ้าง
เราว่าเพื่อนก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนเราด้วยนะ มีเพื่อนแบบไหนก็จะพาชีวิตไปแบบนั้น โดยส่วนตัวเราถือว่าโชคดีที่มีเพื่อนที่พาเราไปในสิ่งที่ดี ไม่เคยพากันออกนอกลู่นอกทาง อยากให้เรามีวิธีคิดที่ดี แล้วก็คอยปกป้อง ไม่ได้มีเพื่อนบอกว่าชวนกันไปแฟชั่นจ๋า เป็นเพื่อนที่คุยเรื่องชีวิตกัน อยากใช้ชีวิตแบบไหนอยากทำหน้าที่อะไร ภูมิใจอะไร จะเดินต่อไปยังไงในอนาคต จะเดินไปพร้อมกันไหม ปรึกษากัน นี่คือลักษณะเพื่อนที่เรามีก็จะประมาณนี้ ส่วนถามว่ามีความรู้สึกแบบเป็นเฟรนด์โซนมั้ย โดยส่วนตัวไม่มีนะคะ เราไม่เคยแอบชอบเพื่อน เพราะว่าเรามีการขีดเส้นอยู่นะว่าเป็นเพื่อนกัน เราก็เลยจะไม่คิดอะไรเกินเพื่อน แต่ถ้าถามว่ามีเพื่อนมาแอบชอบเราไหม เราก็ไม่ค่อยรู้ แต่จะมีความรู้สึกที่ว่ามารู้หลังจากผ่านไป 5 ปี 10 ปีแล้ว ประมาณว่า เฮ้ยเราเคยมีความรู้สึกอย่างนี้กับแกว่ะ แต่มันก็ผ่านมานานและ แล้วก็ถ้าเกิดมีอะไรที่มันเกินเลย หรือว่ามีความเป็นห่วงมากเป็นพิเศษ เราก็จะแกล้งเบลอแล้วก็หัวเราะกลบเกลื่อนขำๆ ไป เราก็จะมีระยะห่างของเรา
• แสดงว่าคุณก็มีประสบการณ์ของคนรอบข้างมาด้วย
มีค่ะ เพื่อนสนิทเราที่มีเฟรนด์โซน ที่มีความสนิทเกินเพื่อน เราก็รับรู้มาตลอด มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากว่าเราจะก้าวข้ามความรู้สึกตรงนี้ยังไงดี ว่าจะเสียเพื่อนไปเลยหรือว่าเป็นแฟนกัน เพราะว่าเราเห็นมันมาตลอดตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน เผชิญมาด้วยกัน เรียนมาด้วยกัน รับน้องมาด้วยกัน คือเราเห็นมาทุกอย่าง แล้วมันเป็นความสัมพันธ์ที่เปราะบาง เพราะว่าาคำว่าเพื่อนมันมีค่ามาก มันเรียกยากมากเพราะกลัวว่าจะสูญเสียจริงๆ คือว่าพูดยากมากเพราะว่าคำว่าเพื่อนมันมีการขีดเส้นตายอยู่แล้ว เพราะว่าเพื่อนก็คือเพื่อนลิมิตนี้ทำได้แค่เพื่อน คือเพื่อนล็อคคอได้แต่ไม่สามารถจับมือลูบหัวได้ อะไรที่อยากทำแล้วเกินเพื่อนมันทำไม่ได้เลย เราว่าคนมาจีบกันธรรมดาจะง่ายกว่าอีก แล้วเป็นเพื่อนสนิทถือว่ายากที่สุดในโลก

• ถ้าเราถูกตัดความสัมพันธ์ เพียงเพราะว่าเพื่อนบอกรัก ในความคิดเราคิดว่าจะใจร้ายเกินไปมั้ย
มันพูดยากนะ คือด้วยความเป็นเพื่อน สิ่งที่มีน้ำหนักมากคือการแคร์ซึ่งกันและกัน แล้วแคร์แค่ไหน การที่ปฏิเสธเพื่อนที่มาบอกรักเรา เราก็ห่วงความรู้สึกมัน แต่จะให้มันหวังมันก็ไม่ใช่เรื่อง ส่วนคนที่จะบอกมันก็ยังไม่ตัดหรอก มันไม่มีทางมีบทสรุป มันไม่มีใครใจร้ายนอกจากชะตาฟ้าลิขิตเท่านั้น คือไปแอบชอบเพื่อนตัวเองนี่คือซวยมากๆ เลย ซึ่งมีทั้งโลก
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : ธัชกร กิจไชยภณ
• อยากให้คุณช่วยพูดถึงหนังเรื่องนี้มาพอสังเขปหน่อยครับ
เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างปาล์ม (รับบทโดย นาย-ณภัทร เสียงสมบุญ) กับกิ๊ง สองคนนี้เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมเลย เป็นระยะเวลากว่า 10 ปีเลย แต่มันมีความรู้สึกบางอย่างที่เกินเพื่อนไป แต่ว่าเราก็อยู่ด้วยกัน มีปัญหาอะไรก็ช่วยเหลือกัน ไม่ว่าเขาจะมีแฟนหรือว่าเรามีแฟน ก็จะตามไปช่วยแก้ปัญหาซึ่งกันและกัน จนวันหนึ่งเกิดปัญหาที่ว่า ว่าวันที่จะเลือกความรู้สึกตัวเองก้าวข้ามผ่านความเป็นเพื่อน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้แฟนหรือเสียเพื่อนไป ส่วนคาแรกเตอร์ที่เราได้รับในหนัง ในบทกิ๊ง ถือว่าค่อนข้างตรงกับตัวเรามากนะ เพราะว่าเขาจะเป็นผู้หญิงที่ตรงไปตรงมา ห้าวๆ พูดจาโผงผาง และมีการทุ่มมาก อยากได้อะไรก็จะทุ่มลงไปให้สุดตัวไปเลย
• คุณกำลังจะบอกว่า เราเล่นเรื่องนี้ เหมือนกับไม่ได้เล่นอะไรเลยมั้ย
เล่นสิคะ ถึงแม้ว่าคาแรกเตอร์อาจจะมีความคล้ายกับตัวเรา แต่ว่าเส้นเรื่องหรือทิศทางของตัวละครที่ไปเจอ มันก็มีความแตกต่างกับสิ่งที่เราเจออยู่แล้ว มันเป็นการแก้ปัญหาที่ตัวละครเป็นแบบนี้นะ แต่ก็ไม่เรียกว่าผ่อนคลายนะคะ เพราะว่าตัวละครในเรื่องก็มีอุปสรรคที่เข้ามา แต่ถามว่าคาแรกเตอร์ ในเรื่องนี้มันยากหรือเปล่า ก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรเยอะมาก
• ในการทำงานกับ GDH ครั้งแรก มันต่างกับการทำงานที่ผ่านมายังไงบ้างครับ
คือเราอยากที่จะร่วมงานกับทาง GDH อยู่แล้ว เพราะว่าทางเขามีความตั้งใจมาก อย่างเรื่องบทหนังเรื่องนี้ก็ใช้เวลาในการทำประมาณ 2 ปี กว่าที่จะเริ่มถ่ายทำ กำหนดซีนทุกอย่าง เขาไปดูโลเคชั่น หรือ บล็อกช็อท มาไม่รู้เท่าไหร่ พอการถ่ายทำหนังเรื่องนี้จบลง เราก็มีความรู้สึกดีใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้ เพราะการถ่ายทำในหนังเรื่องนี้ถือว่าเต็มที่ดุเดือดทุกซีน ถ้าซีนไหนไม่ดีจะปล่อยผ่านไม่ได้เลย เรื่องนี้ก็ถือว่ามีความตั้งใจมาก
• การร่วมงานกับพี่หมู (ชยนพ บุญประกอบ : ผู้กำกับการแสดง) ครั้งนี้ มีความแตกต่างยังไงบ้างครับ
แตกต่างตรงตัวบทและสถานการณ์ของตัวละครที่ได้เจอ อีกครั้งเราได้เล่นอะไรที่ไม่เคยเล่นมาก่อนในชีวิต เช่น ฉากที่นั่งๆ อยู่ แล้วก็กระโดดขึ้นไปเกาะป้ายที่ฮ่องกง แล้วกรีดร้อง เราถือว่าส่วนตัวมากเพราะว่าไม่เคยทำอะไรอย่างนี้มาก่อน นอกจากนี้เราคิดว่ามันสุดหลายซีนมาก มันอยู่ในสถานการณ์คับขันและวิธีแก้ปัญหาต่างๆ ตัวละครจะมีความซีเรียสมากก็จะทำยังไงต่อไป แต่โดยรวมถือว่ามีความตลก อย่างการแสดงในเรื่องเราร้องไห้หนักมากในหลายๆซีน แต่พอไปดูจอมอนิเตอร์ พี่หมูสามารถทำให้ฉากที่เราเล่นนั้นกลายเป็นความตลก เราถือว่าเป็นพรสวรรค์ของพี้่หมูที่เปลี่ยนฉากร้องไห้ให้เป็นตลกได้
• นับตั้งแต่ผ่านงานแสดงมาตั้งแต่เด็ก จนถึงตอนนี้ ในมุมมองของเราเอง เราเรียกตัวเองว่านักแสดงได้รึยัง
ได้ค่ะ มันเป็นสิ่งเดียวที่เราทำและคุณค่าของตัวเองคืออาชีพของเราคือนักแสดง คือสิ่งที่เราทำมา ถ้าเราเรียกตัวเองว่าดาราเราก็ยังมีความรู้สึกเขินมากกว่าเรียกตัวเองว่านักแสดง เพราะหน้าที่ของเราทุกวันนี้คือ พอตื่นมาแล้วเราจะถามตัวเองว่าวันนี้เป็นตัวละครอะไร ทำอะไร ตัวละครที่เราสวมบทบาทนั้นเป็นเจอกับอะไร ก่อนหน้านั้นเจออะไรมาบ้าง และหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ก็เหมือนกับว่าทุกวันของเรามันก็มีแค่นี้จริงๆ เพราะมันมีอย่างอื่นที่ทำให้เรากล้าเรียกตัวเองว่านักแสดง
• แต่บทบาทที่เราได้รับมาในแต่ละช่วง มันก็อาจจะขัดกับตัวเองอยู่นะ
เราถือว่าเราเป็นตัวละครนะ ตัวละครทุกตัวไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนเรา เป็นเหมือนเรา หรือแสดงออกด้วยวิธีการแบบเรา เพราะเขาไม่ใช่เรา เขาเป็นคนอื่น อย่างวันนี้เราเป็นใคร เขามองโลกยังไง เขามีความสัมพันธ์กับคนนี้ยังไง เรามีหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวของเขาไม่ใช่เรื่องราวของเรา ซึ่งทุกบทบาทที่เราได้รับในแต่ละครั้งก็จะมีการศึกษา WORKSHOP เราต้องอ่านบทก่อน ซึ่งสิ่งแรกที่เราทำก็คือวิเคราะห์ตัวละคร อย่างตัวละครกิ๊ง เราก็ต้องรู้ก่อนว่ากิ๊งเป็นคนยังไง ชีวิตครอบครัวเขาเป็นยังไง ผ่านอะไรมาบ้าง ความสัมพันธ์กับปาล์มพระเอกของเรื่องผ่านมายังไง เราก็ต้องศึกษาทั้งหมด ว่าเขาจะแสดงออกแบบไหน แสดงออกได้ขนาดไหน แม้กระทั่งการแต่งตัวการจะสามารถแตะต้องตัวได้ประมาณไหน จับหัวไหม จับแขนหรือจับมือไหม ทุกอย่างมันมีข้อจำกัดของมันทั้งหมด เราจะต้องทำงานให้ละเอียดที่สุด
• ในมุมมองความรักกับเพื่อน คุณคิดเห็นยังไงบ้าง
เราว่าเพื่อนก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนเราด้วยนะ มีเพื่อนแบบไหนก็จะพาชีวิตไปแบบนั้น โดยส่วนตัวเราถือว่าโชคดีที่มีเพื่อนที่พาเราไปในสิ่งที่ดี ไม่เคยพากันออกนอกลู่นอกทาง อยากให้เรามีวิธีคิดที่ดี แล้วก็คอยปกป้อง ไม่ได้มีเพื่อนบอกว่าชวนกันไปแฟชั่นจ๋า เป็นเพื่อนที่คุยเรื่องชีวิตกัน อยากใช้ชีวิตแบบไหนอยากทำหน้าที่อะไร ภูมิใจอะไร จะเดินต่อไปยังไงในอนาคต จะเดินไปพร้อมกันไหม ปรึกษากัน นี่คือลักษณะเพื่อนที่เรามีก็จะประมาณนี้ ส่วนถามว่ามีความรู้สึกแบบเป็นเฟรนด์โซนมั้ย โดยส่วนตัวไม่มีนะคะ เราไม่เคยแอบชอบเพื่อน เพราะว่าเรามีการขีดเส้นอยู่นะว่าเป็นเพื่อนกัน เราก็เลยจะไม่คิดอะไรเกินเพื่อน แต่ถ้าถามว่ามีเพื่อนมาแอบชอบเราไหม เราก็ไม่ค่อยรู้ แต่จะมีความรู้สึกที่ว่ามารู้หลังจากผ่านไป 5 ปี 10 ปีแล้ว ประมาณว่า เฮ้ยเราเคยมีความรู้สึกอย่างนี้กับแกว่ะ แต่มันก็ผ่านมานานและ แล้วก็ถ้าเกิดมีอะไรที่มันเกินเลย หรือว่ามีความเป็นห่วงมากเป็นพิเศษ เราก็จะแกล้งเบลอแล้วก็หัวเราะกลบเกลื่อนขำๆ ไป เราก็จะมีระยะห่างของเรา
• แสดงว่าคุณก็มีประสบการณ์ของคนรอบข้างมาด้วย
มีค่ะ เพื่อนสนิทเราที่มีเฟรนด์โซน ที่มีความสนิทเกินเพื่อน เราก็รับรู้มาตลอด มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากว่าเราจะก้าวข้ามความรู้สึกตรงนี้ยังไงดี ว่าจะเสียเพื่อนไปเลยหรือว่าเป็นแฟนกัน เพราะว่าเราเห็นมันมาตลอดตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน เผชิญมาด้วยกัน เรียนมาด้วยกัน รับน้องมาด้วยกัน คือเราเห็นมาทุกอย่าง แล้วมันเป็นความสัมพันธ์ที่เปราะบาง เพราะว่าาคำว่าเพื่อนมันมีค่ามาก มันเรียกยากมากเพราะกลัวว่าจะสูญเสียจริงๆ คือว่าพูดยากมากเพราะว่าคำว่าเพื่อนมันมีการขีดเส้นตายอยู่แล้ว เพราะว่าเพื่อนก็คือเพื่อนลิมิตนี้ทำได้แค่เพื่อน คือเพื่อนล็อคคอได้แต่ไม่สามารถจับมือลูบหัวได้ อะไรที่อยากทำแล้วเกินเพื่อนมันทำไม่ได้เลย เราว่าคนมาจีบกันธรรมดาจะง่ายกว่าอีก แล้วเป็นเพื่อนสนิทถือว่ายากที่สุดในโลก
• ถ้าเราถูกตัดความสัมพันธ์ เพียงเพราะว่าเพื่อนบอกรัก ในความคิดเราคิดว่าจะใจร้ายเกินไปมั้ย
มันพูดยากนะ คือด้วยความเป็นเพื่อน สิ่งที่มีน้ำหนักมากคือการแคร์ซึ่งกันและกัน แล้วแคร์แค่ไหน การที่ปฏิเสธเพื่อนที่มาบอกรักเรา เราก็ห่วงความรู้สึกมัน แต่จะให้มันหวังมันก็ไม่ใช่เรื่อง ส่วนคนที่จะบอกมันก็ยังไม่ตัดหรอก มันไม่มีทางมีบทสรุป มันไม่มีใครใจร้ายนอกจากชะตาฟ้าลิขิตเท่านั้น คือไปแอบชอบเพื่อนตัวเองนี่คือซวยมากๆ เลย ซึ่งมีทั้งโลก
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : ธัชกร กิจไชยภณ