ท่ามกลางสื่อร่วมสมัยที่รวดเร็วฉับไว สื่ออินเทอร์เน็ตและสื่อโซเชียลมีเดียเข้าถึงอย่างแพร่หลาย อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของเด็กๆ ยุคใหม่จนทำให้พ่อแม่ ผู้ปกครองหลายคนหนักใจ แบบนี้จะมีวิธีควบคุมหรือรับมืออย่างไร? เลี้ยงลูกอย่างไรดี ในยุคนี้? มาร่วมสนทนาพร้อมเปิดเคล็ดลับวิธีเลี้ยงลูกในยุคปัจจุบันผ่านมุมมองของจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น และแอดมินเพจเข็นเด็กขึ้นภูเขา “หมอมิน-พญ.เบญจพร ตันตสูติ”

• ในฐานะที่เป็นจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น คุณหมอมองเด็กยุคนี้อย่างไรบ้างคะ
หมอคิดว่าเด็กยุคนี้เขาก็เหมือนกับคุณพ่อคุณแม่ในตอนที่เคยเป็นเด็กนะคะ ในเรื่องหลักๆ อย่างเรื่องพัฒนาการ จิตใจ อารมณ์ สังคมอะไรต่างๆ อาจจะไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ค่อนข้างจะพิเศษสำหรับเด็กยุคนี้ก็คือ สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ทั้งเรื่องเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ต สื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ เด็กอาจจะสามารถเล่นได้ กดได้ รู้ว่าต้องเข้าไปดูยังไง ตรงนี้จึงทำให้เด็กรับข้อมูลข่าวสารได้รวดเร็ว ซึ่งเมื่อข้อมูลถาโถม บางครั้งเด็กอาจจะขาดความรู้ ความเข้าใจ ความรู้เท่าทัน
ยกตัวอย่าง เช่น สื่อโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊ก เวลามีประเด็นดรามา เราจะได้เห็นคอมเมนต์อะไรต่างๆ มากมาย บางทีก็เป็นผู้ใหญ่เองที่คอมเมนต์ไม่เหมาะสม คุณพ่อคุณแม่จึงเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญที่ต้องสอนลูกๆ ถึงการเล่นด้วยว่าการที่เขาจะแสดงออกอะไรไปบนโลกโซเชียลฯ จะส่งผลกระทบต่อเขายังไง ซึ่งต้องคุยและแลกเปลี่ยนกันค่ะ
• แล้วแบบนี้จะมีวิธีรับมือกับการเล่นสื่อโซเชียลฯ ของลูกๆ อย่างไร
สำคัญเลยคือเรื่อง “ระเบียบวินัย” ที่เราจะต้องปลูกฝังกันตั้งแต่เด็ก คือคุณพ่อคุณแม่มีอิสระที่จะให้ลูกเล่นได้ แต่ก็ต้องมีขอบเขต และต้องทำข้อตกลงกันไว้ก่อน อาจจะบอกเขาว่าอุปกรณ์เหล่านั้น คุณพ่อคุณแม่ซื้อให้แต่ไม่ได้ให้ลูกเป็นเจ้าของเลยนะ แค่ให้ยืมนะ คุณพ่อคุณแม่มีสิทธิ์เอาคืนได้หากลูกไม่ทำตามข้อตกลง หากเล่นเกินเวลา เล่นในเวลาที่ไม่เหมาะสม เล่นจนไม่เป็นอันกินอันนอน ไม่ทำการบ้าน ก็มีสิทธิ์เอาคืนได้ ประมาณนี้ค่ะ
มีหลายๆ บ้านที่ซื้อโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตให้ลูก แล้วบอกกับลูกว่าอุปกรณ์นี้เป็นของลูกนะ ให้ลูกรับผิดชอบด้วย ให้สิทธิ์เขาเป็นเจ้าของ การทำเช่นนี้หลังจากนั้นบางครั้งมักจะมีปัญหาตามมาเพราะเด็กจะควบคุมการเล่นไม่ได้

• มีปัญหาเกี่ยวกับการเล่นสื่อโซเชียลฯ มาปรึกษาคุณหมอเยอะไหมคะ
ด้วยยุคสมัยนี้ก็มีมากขึ้นค่ะ เพราะปัจจุบันเป็นยุคสื่อเทคโนโลยี หรือสื่ออินเทอร์เน็ต และมีเด็กที่ติดสื่อเหล่านี้ค่อนข้างเยอะ เรื่องนี้จึงเป็นประเด็นที่ค่อนข้างจะพิเศษหน่อยสำหรับยุคสมัยนี้ เช่น เรื่องการเสพติดโซเชียลมีเดีย เล่นไม่ค่อยเป็นเวลา เล่นจนมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิต เล่นจนทะเลาะกับคุณพ่อคุณแม่ เล่นจนเกิด Cyberbullying (ไซเบอร์บูลลิ่ง) หรือการกลั่นแกล้งทางโลกออนไลน์ เป็นต้น ก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง แต่ถามว่าน่าเป็นห่วงที่สุดไหม จริงๆ ก็มีอีกหลายประเด็นที่น่าเป็นห่วงนะคะ
อย่างเรื่องการศึกษาในยุคปัจจุบัน หมอก็ค่อนข้างที่จะเป็นห่วง เพราะมีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง เด็กต้องไปเรียนพิเศษ ไปกวดวิชา และระบบการศึกษาในปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยน เปลี่ยนแปลงเพื่อให้ดีขึ้น แต่บางครั้งก็ทำให้เด็กรู้สึกเครียดกับการเปลี่ยนแปลงตรงนั้น ยกตัวอย่างเช่น การสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ยังหาจุดลงตัวยังไม่ค่อยชัดเจน หรือคุณพ่อคุณแม่ก็มีส่วนเช่นกัน หมอได้เห็นเคสที่คุณพ่อคุณแม่ยุคนี้มีความเครียดกับเรื่องการเรียนของลูกค่อนข้างมาก บางครั้งก็อาจจะมาจากอิทธิพลของสื่อโซเชียลมีเดียด้วยเหมือนกัน เพราะการได้พูดคุยกัน การได้รับข้อมูลมากๆ อาจทำให้เกิดการเปรียบเทียบกันระหว่างคุณพ่อคุณแม่ด้วยกันเอง เกิดการเปรียบเทียบระหว่างลูกเรา ลูกเขา จนคุณพ่อคุณแม่รู้สึกว่าเราต้องให้ลูกไปทำอะไรเหมือนลูกคนอื่น ต้องทำให้ได้เหมือนคนอื่น ถึงจะดี ซึ่งบางครั้งก็กลายเป็นความกดดันที่คุณพ่อคุณแม่ส่งให้ลูกโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ และไม่รู้ตัว
• นอกจากนี้แล้วจากการเป็นจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นมา มีปัญหาไหนที่พบบ่อยอีกบ้าง
ปัญหาก็จะแบ่งเป็นช่วงวัยนะคะ 1. ช่วงวัยเด็กเล็ก เราก็จะเจอปัญหาเรื่องพฤติกรรมตามวัย เช่น ดื้อ ซน เอาแต่ใจ ปัญหาการเลี้ยงดูของคุณพ่อคุณแม่ บางทีคุณพ่อคุณแม่ก็จะมาปรึกษาว่าจะเลี้ยงลูกยังไงให้เหมาะสม จะเป็นความเครียดของคุณพ่อคุณแม่ที่เพิ่งมีลูก หรือเป็นลูกเล็ก
2. ช่วงวัยเข้าโรงเรียน ก็จะเจอปัญหาเกี่ยวกับการเรียน เช่น เด็กไม่มีสมาธิ เด็กมีปัญหาเรื่องการอ่าน การเขียน คะแนนไม่ดี ฯลฯ
3. ช่วงวัยรุ่น ก็จะมีปัญหาในเรื่องพฤติกรรมเสี่ยงตามวัย เช่น เรื่องการคบเพื่อน การเล่นโซเชียลมีเดีย ติดเกม ยาเสพติด พฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสม หรืออาจจะเป็นเรื่องปัญหาทางอารมณ์ของวัยรุ่น เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล เป็นต้นค่ะ

• แบบนี้การดูแลจิตใจเด็กและวัยรุ่นแต่ละช่วงวัยต้องทำอย่างไรบ้าง
หมอก็จะให้คำแนะนำในเรื่องของพัฒนาการทั้งร่างกายและจิตใจในแต่ละช่วงวัยเพราะว่าเด็กมีการเติบโต ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงเป็นวัยรุ่น เรื่องความคิด เรื่องจิตใจ เรื่องการรับรู้ เรื่องความเข้าใจ เรื่องอารมณ์ต่างๆ ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นหมอต้องให้ข้อมูลคุณพ่อคุณแม่เพิ่มเติมเพื่อจะได้ความเข้าใจในลูกแต่ละช่วงวัยค่ะ
• จะว่าไปแล้วการเลี้ยงเด็กสักคนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อะไรคือสิ่งที่พ่อแม่มักจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกเหรอคะ
หมอเชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกคนรักลูกแล้วก็มีความปรารถนาดี มีความหวังดีให้แก่ลูก แต่บางครั้งความรักที่คุณพ่อคุณแม่หยิบยื่นให้ลูกก็อาจจะขาดความเข้าใจ เพราะสิ่งที่ต้องมีควบคู่กับความรักก็คือความเข้าใจในตัวตนของลูก ต้องดูด้วยว่าลูกมีความสุขไหม ลูกกำลังเป็นยังไง บางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าจะทำให้ลูกมีความสุขอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เหมาะกับลูกเลยก็ได้
แล้วจะทำยังไงให้เข้าใจลูกให้มากขึ้น ก็ต้องอาศัยการพูดคุย มีเวลา มีความใกล้ชิด ต้องมีกิจกรรมทำร่วมกัน ซึ่งต้องเริ่มตั้งแต่ตอนที่เขาเป็นเด็กเล็ก เพราะจะทำให้เราเข้าใจว่าลูกเป็นยังไง และความเข้าใจก็จะตามมาซึ่งความเห็นอกเห็นใจ
บางทีคุณพ่อคุณแม่อาจจะคิดว่าการเลี้ยงลูกให้ดีเราจะต้องเลี้ยงลูกให้เรียนเก่ง ให้เข้าโรงเรียนดีๆ ให้เข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ให้ประสบความสำเร็จ แต่หมอมองว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ทุกอย่าง สิ่งที่สำคัญคือความสุขในอย่างที่ลูกเป็น เพราะความสุขของเด็กบางทีเราจะไปมองที่ผลลัพธ์ไม่ได้ เราต้องมองที่ขั้นตอนและกระบวนการด้วย ซึ่งหมอคิดว่าคุณพ่อคุณแม่จะต้องเข้าใจและคิดในมุมมองของลูกให้มากขึ้น และตรงนี้จะทำให้คุณพ่อคุณแม่มีสติมากขึ้นค่ะ

• แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไหร่ที่ต้องพาลูกพบจิตแพทย์?
หน้าที่หลักๆ ของจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นจะมีอยู่ 3 ส่วนนะคะ ส่วนแรกคือ เราจะช่วยในเรื่องการส่งเสริมและการป้องกัน เพราะว่าเรื่องสุขภาพจิตและจิตเวชเราสามารถป้องกันได้ตั้งแต่ที่ยังไม่ได้ป่วย ส่วนที่ 2 การดูแล ช่วยเหลือ และการรักษา ในเรื่องของปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวช และส่วนที่ 3 หลังการรักษาเราก็จะช่วยในการส่งเสริมฟื้นฟูค่ะ
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่จะพาลูกมาพบจิตแพทย์ จริงๆ ตรงนี้ไม่มีเส้นแบ่งชัดเจนนะคะว่าเมื่อไหร่ถึงควรจะพามา แต่หลักๆ ก็คือเมื่อเรารู้สึกว่าลูกเปลี่ยนไปจากเดิมจากที่เคยเห็น และการเปลี่ยนแปลงนั้นก็มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของเขา อาจจะเป็นในด้านการเรียน สัมพันธภาพกับคนรอบข้าง
ยกตัวอย่างเช่น เด็กที่มีปัญหาซึมเศร้า เศร้าจนมีผลกระทบตามมา เช่น เศร้าจนไม่มีสมาธิ เศร้าจนเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง แต่ในเด็กบางครั้งอารมณ์อาจจะไม่ออกมาเป็นซึมเศร้าที่ชัดเจน แต่จะออกมาในเรื่องของพฤติกรรมมากกว่า เช่น เศร้าแล้วเล่นเกมมากขึ้น เศร้าแล้วเล่นโซเชียลฯ มากขึ้น เศร้าแล้วไปเที่ยวกับเพื่อนมากขึ้น หรือบางคนก็ซึมเศร้าแบบดื้อต่อต้าน ดังนั้นจะไม่มีเส้นแบ่ง แต่ถ้าพฤติกรรมต่างๆ กระทบต่อการใช้ชีวิตก็น่าจะเป็นสิ่งที่น่าสงสัย
เราต้องหมั่นสังเกตพฤติกรรม อารมณ์ ความคิด ต้องดูในหลายๆ มิติ ต้องอาศัยการพูดคุยกันระหว่างคุณพ่อคุณแม่และลูก เพราะเรื่องจิตใจมีส่วนสำคัญไม่แพ้เรื่องสุขภาพร่างกาย มันสามารถส่งผลต่อการใช้ชีวิตของเด็กได้ด้วย หมอมองว่าเด็กเป็นกลุ่มประชากรที่ถ้าได้รับการช่วยเหลือ เขาจะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถไปทำประโยชน์ พัฒนาสังคม และประเทศชาติต่อไปได้

• อยากให้หมอมินแนะนำหรือให้ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกของพ่อแม่ผู้ปกครองในยุคปัจจุบันนี้หน่อยค่ะ
ในยุคปัจจุบันนี้หมอคิดว่าการเลี้ยงลูกสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้ต้นทุนต่างๆ ทั้งเรื่องค่าใช้จ่าย รวมไปถึงเรื่องเวลา เพราะว่าพ่อแม่ยุคปัจจุบันต้องทำงาน ไม่ค่อยมีเวลา บางครั้งคุณพ่อคุณแม่ให้คนอื่นเลี้ยงลูกให้ แล้วค่อยมาเลี้ยงเองตอนโต หมอมองว่าบางทีมันช้าเกินไป ซึ่งสิ่งที่หมออยากจะบอกก็คือ คุณพ่อคุณแม่ต้องลองจัดสรรเวลาว่าจะทำอย่างไรที่จะได้ใกล้ชิดกับลูก ยิ่งเขาเป็นเด็กเล็ก ยิ่งสำคัญมากเพราะเป็นช่วงนาทีทองที่เราจะต้องเลี้ยงลูกเอง เขาจะได้ซึมซับถึงความรัก ความเอาใจใส่ของคุณพ่อคุณแม่
นอกจากนี้ หมออยากแนะนำให้ปลูกฝังเรื่องระเบียบวินัยให้แก่ลูก ให้เขารู้จักขอบเขตในการกระทำ ให้เขารู้ว่าเขามีอิสระ แต่ต้องรู้จักที่จะควบคุมการกระทำไม่ให้มีผลกระทบกับคนรอบข้าง
สุดท้ายคือความเข้าใจและการยอมรับในสิ่งที่ลูกเป็น อย่าไปคาดหวังว่าเขาจะเป็นเหมือนที่เราคิด หรือเป็นเหมือนเรา เพราะว่าเขากับเราเป็นคนละคนกัน ให้มองว่าเขาเป็นลูก เป็นอีกคนหนึ่งที่เรารักและจะดูแลเพื่อให้เขาเติบโตขึ้นมาบนเส้นทางชีวิตที่ดีค่ะ

• ในฐานะที่เป็นจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น คุณหมอมองเด็กยุคนี้อย่างไรบ้างคะ
หมอคิดว่าเด็กยุคนี้เขาก็เหมือนกับคุณพ่อคุณแม่ในตอนที่เคยเป็นเด็กนะคะ ในเรื่องหลักๆ อย่างเรื่องพัฒนาการ จิตใจ อารมณ์ สังคมอะไรต่างๆ อาจจะไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ค่อนข้างจะพิเศษสำหรับเด็กยุคนี้ก็คือ สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ทั้งเรื่องเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ต สื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ เด็กอาจจะสามารถเล่นได้ กดได้ รู้ว่าต้องเข้าไปดูยังไง ตรงนี้จึงทำให้เด็กรับข้อมูลข่าวสารได้รวดเร็ว ซึ่งเมื่อข้อมูลถาโถม บางครั้งเด็กอาจจะขาดความรู้ ความเข้าใจ ความรู้เท่าทัน
ยกตัวอย่าง เช่น สื่อโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊ก เวลามีประเด็นดรามา เราจะได้เห็นคอมเมนต์อะไรต่างๆ มากมาย บางทีก็เป็นผู้ใหญ่เองที่คอมเมนต์ไม่เหมาะสม คุณพ่อคุณแม่จึงเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญที่ต้องสอนลูกๆ ถึงการเล่นด้วยว่าการที่เขาจะแสดงออกอะไรไปบนโลกโซเชียลฯ จะส่งผลกระทบต่อเขายังไง ซึ่งต้องคุยและแลกเปลี่ยนกันค่ะ
• แล้วแบบนี้จะมีวิธีรับมือกับการเล่นสื่อโซเชียลฯ ของลูกๆ อย่างไร
สำคัญเลยคือเรื่อง “ระเบียบวินัย” ที่เราจะต้องปลูกฝังกันตั้งแต่เด็ก คือคุณพ่อคุณแม่มีอิสระที่จะให้ลูกเล่นได้ แต่ก็ต้องมีขอบเขต และต้องทำข้อตกลงกันไว้ก่อน อาจจะบอกเขาว่าอุปกรณ์เหล่านั้น คุณพ่อคุณแม่ซื้อให้แต่ไม่ได้ให้ลูกเป็นเจ้าของเลยนะ แค่ให้ยืมนะ คุณพ่อคุณแม่มีสิทธิ์เอาคืนได้หากลูกไม่ทำตามข้อตกลง หากเล่นเกินเวลา เล่นในเวลาที่ไม่เหมาะสม เล่นจนไม่เป็นอันกินอันนอน ไม่ทำการบ้าน ก็มีสิทธิ์เอาคืนได้ ประมาณนี้ค่ะ
มีหลายๆ บ้านที่ซื้อโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตให้ลูก แล้วบอกกับลูกว่าอุปกรณ์นี้เป็นของลูกนะ ให้ลูกรับผิดชอบด้วย ให้สิทธิ์เขาเป็นเจ้าของ การทำเช่นนี้หลังจากนั้นบางครั้งมักจะมีปัญหาตามมาเพราะเด็กจะควบคุมการเล่นไม่ได้
• มีปัญหาเกี่ยวกับการเล่นสื่อโซเชียลฯ มาปรึกษาคุณหมอเยอะไหมคะ
ด้วยยุคสมัยนี้ก็มีมากขึ้นค่ะ เพราะปัจจุบันเป็นยุคสื่อเทคโนโลยี หรือสื่ออินเทอร์เน็ต และมีเด็กที่ติดสื่อเหล่านี้ค่อนข้างเยอะ เรื่องนี้จึงเป็นประเด็นที่ค่อนข้างจะพิเศษหน่อยสำหรับยุคสมัยนี้ เช่น เรื่องการเสพติดโซเชียลมีเดีย เล่นไม่ค่อยเป็นเวลา เล่นจนมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิต เล่นจนทะเลาะกับคุณพ่อคุณแม่ เล่นจนเกิด Cyberbullying (ไซเบอร์บูลลิ่ง) หรือการกลั่นแกล้งทางโลกออนไลน์ เป็นต้น ก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง แต่ถามว่าน่าเป็นห่วงที่สุดไหม จริงๆ ก็มีอีกหลายประเด็นที่น่าเป็นห่วงนะคะ
อย่างเรื่องการศึกษาในยุคปัจจุบัน หมอก็ค่อนข้างที่จะเป็นห่วง เพราะมีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง เด็กต้องไปเรียนพิเศษ ไปกวดวิชา และระบบการศึกษาในปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยน เปลี่ยนแปลงเพื่อให้ดีขึ้น แต่บางครั้งก็ทำให้เด็กรู้สึกเครียดกับการเปลี่ยนแปลงตรงนั้น ยกตัวอย่างเช่น การสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ยังหาจุดลงตัวยังไม่ค่อยชัดเจน หรือคุณพ่อคุณแม่ก็มีส่วนเช่นกัน หมอได้เห็นเคสที่คุณพ่อคุณแม่ยุคนี้มีความเครียดกับเรื่องการเรียนของลูกค่อนข้างมาก บางครั้งก็อาจจะมาจากอิทธิพลของสื่อโซเชียลมีเดียด้วยเหมือนกัน เพราะการได้พูดคุยกัน การได้รับข้อมูลมากๆ อาจทำให้เกิดการเปรียบเทียบกันระหว่างคุณพ่อคุณแม่ด้วยกันเอง เกิดการเปรียบเทียบระหว่างลูกเรา ลูกเขา จนคุณพ่อคุณแม่รู้สึกว่าเราต้องให้ลูกไปทำอะไรเหมือนลูกคนอื่น ต้องทำให้ได้เหมือนคนอื่น ถึงจะดี ซึ่งบางครั้งก็กลายเป็นความกดดันที่คุณพ่อคุณแม่ส่งให้ลูกโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ และไม่รู้ตัว
• นอกจากนี้แล้วจากการเป็นจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นมา มีปัญหาไหนที่พบบ่อยอีกบ้าง
ปัญหาก็จะแบ่งเป็นช่วงวัยนะคะ 1. ช่วงวัยเด็กเล็ก เราก็จะเจอปัญหาเรื่องพฤติกรรมตามวัย เช่น ดื้อ ซน เอาแต่ใจ ปัญหาการเลี้ยงดูของคุณพ่อคุณแม่ บางทีคุณพ่อคุณแม่ก็จะมาปรึกษาว่าจะเลี้ยงลูกยังไงให้เหมาะสม จะเป็นความเครียดของคุณพ่อคุณแม่ที่เพิ่งมีลูก หรือเป็นลูกเล็ก
2. ช่วงวัยเข้าโรงเรียน ก็จะเจอปัญหาเกี่ยวกับการเรียน เช่น เด็กไม่มีสมาธิ เด็กมีปัญหาเรื่องการอ่าน การเขียน คะแนนไม่ดี ฯลฯ
3. ช่วงวัยรุ่น ก็จะมีปัญหาในเรื่องพฤติกรรมเสี่ยงตามวัย เช่น เรื่องการคบเพื่อน การเล่นโซเชียลมีเดีย ติดเกม ยาเสพติด พฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสม หรืออาจจะเป็นเรื่องปัญหาทางอารมณ์ของวัยรุ่น เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล เป็นต้นค่ะ
• แบบนี้การดูแลจิตใจเด็กและวัยรุ่นแต่ละช่วงวัยต้องทำอย่างไรบ้าง
หมอก็จะให้คำแนะนำในเรื่องของพัฒนาการทั้งร่างกายและจิตใจในแต่ละช่วงวัยเพราะว่าเด็กมีการเติบโต ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงเป็นวัยรุ่น เรื่องความคิด เรื่องจิตใจ เรื่องการรับรู้ เรื่องความเข้าใจ เรื่องอารมณ์ต่างๆ ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นหมอต้องให้ข้อมูลคุณพ่อคุณแม่เพิ่มเติมเพื่อจะได้ความเข้าใจในลูกแต่ละช่วงวัยค่ะ
• จะว่าไปแล้วการเลี้ยงเด็กสักคนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อะไรคือสิ่งที่พ่อแม่มักจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกเหรอคะ
หมอเชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกคนรักลูกแล้วก็มีความปรารถนาดี มีความหวังดีให้แก่ลูก แต่บางครั้งความรักที่คุณพ่อคุณแม่หยิบยื่นให้ลูกก็อาจจะขาดความเข้าใจ เพราะสิ่งที่ต้องมีควบคู่กับความรักก็คือความเข้าใจในตัวตนของลูก ต้องดูด้วยว่าลูกมีความสุขไหม ลูกกำลังเป็นยังไง บางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าจะทำให้ลูกมีความสุขอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เหมาะกับลูกเลยก็ได้
แล้วจะทำยังไงให้เข้าใจลูกให้มากขึ้น ก็ต้องอาศัยการพูดคุย มีเวลา มีความใกล้ชิด ต้องมีกิจกรรมทำร่วมกัน ซึ่งต้องเริ่มตั้งแต่ตอนที่เขาเป็นเด็กเล็ก เพราะจะทำให้เราเข้าใจว่าลูกเป็นยังไง และความเข้าใจก็จะตามมาซึ่งความเห็นอกเห็นใจ
บางทีคุณพ่อคุณแม่อาจจะคิดว่าการเลี้ยงลูกให้ดีเราจะต้องเลี้ยงลูกให้เรียนเก่ง ให้เข้าโรงเรียนดีๆ ให้เข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ให้ประสบความสำเร็จ แต่หมอมองว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ทุกอย่าง สิ่งที่สำคัญคือความสุขในอย่างที่ลูกเป็น เพราะความสุขของเด็กบางทีเราจะไปมองที่ผลลัพธ์ไม่ได้ เราต้องมองที่ขั้นตอนและกระบวนการด้วย ซึ่งหมอคิดว่าคุณพ่อคุณแม่จะต้องเข้าใจและคิดในมุมมองของลูกให้มากขึ้น และตรงนี้จะทำให้คุณพ่อคุณแม่มีสติมากขึ้นค่ะ
• แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไหร่ที่ต้องพาลูกพบจิตแพทย์?
หน้าที่หลักๆ ของจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นจะมีอยู่ 3 ส่วนนะคะ ส่วนแรกคือ เราจะช่วยในเรื่องการส่งเสริมและการป้องกัน เพราะว่าเรื่องสุขภาพจิตและจิตเวชเราสามารถป้องกันได้ตั้งแต่ที่ยังไม่ได้ป่วย ส่วนที่ 2 การดูแล ช่วยเหลือ และการรักษา ในเรื่องของปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวช และส่วนที่ 3 หลังการรักษาเราก็จะช่วยในการส่งเสริมฟื้นฟูค่ะ
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่จะพาลูกมาพบจิตแพทย์ จริงๆ ตรงนี้ไม่มีเส้นแบ่งชัดเจนนะคะว่าเมื่อไหร่ถึงควรจะพามา แต่หลักๆ ก็คือเมื่อเรารู้สึกว่าลูกเปลี่ยนไปจากเดิมจากที่เคยเห็น และการเปลี่ยนแปลงนั้นก็มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของเขา อาจจะเป็นในด้านการเรียน สัมพันธภาพกับคนรอบข้าง
ยกตัวอย่างเช่น เด็กที่มีปัญหาซึมเศร้า เศร้าจนมีผลกระทบตามมา เช่น เศร้าจนไม่มีสมาธิ เศร้าจนเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง แต่ในเด็กบางครั้งอารมณ์อาจจะไม่ออกมาเป็นซึมเศร้าที่ชัดเจน แต่จะออกมาในเรื่องของพฤติกรรมมากกว่า เช่น เศร้าแล้วเล่นเกมมากขึ้น เศร้าแล้วเล่นโซเชียลฯ มากขึ้น เศร้าแล้วไปเที่ยวกับเพื่อนมากขึ้น หรือบางคนก็ซึมเศร้าแบบดื้อต่อต้าน ดังนั้นจะไม่มีเส้นแบ่ง แต่ถ้าพฤติกรรมต่างๆ กระทบต่อการใช้ชีวิตก็น่าจะเป็นสิ่งที่น่าสงสัย
เราต้องหมั่นสังเกตพฤติกรรม อารมณ์ ความคิด ต้องดูในหลายๆ มิติ ต้องอาศัยการพูดคุยกันระหว่างคุณพ่อคุณแม่และลูก เพราะเรื่องจิตใจมีส่วนสำคัญไม่แพ้เรื่องสุขภาพร่างกาย มันสามารถส่งผลต่อการใช้ชีวิตของเด็กได้ด้วย หมอมองว่าเด็กเป็นกลุ่มประชากรที่ถ้าได้รับการช่วยเหลือ เขาจะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถไปทำประโยชน์ พัฒนาสังคม และประเทศชาติต่อไปได้
• อยากให้หมอมินแนะนำหรือให้ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกของพ่อแม่ผู้ปกครองในยุคปัจจุบันนี้หน่อยค่ะ
ในยุคปัจจุบันนี้หมอคิดว่าการเลี้ยงลูกสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้ต้นทุนต่างๆ ทั้งเรื่องค่าใช้จ่าย รวมไปถึงเรื่องเวลา เพราะว่าพ่อแม่ยุคปัจจุบันต้องทำงาน ไม่ค่อยมีเวลา บางครั้งคุณพ่อคุณแม่ให้คนอื่นเลี้ยงลูกให้ แล้วค่อยมาเลี้ยงเองตอนโต หมอมองว่าบางทีมันช้าเกินไป ซึ่งสิ่งที่หมออยากจะบอกก็คือ คุณพ่อคุณแม่ต้องลองจัดสรรเวลาว่าจะทำอย่างไรที่จะได้ใกล้ชิดกับลูก ยิ่งเขาเป็นเด็กเล็ก ยิ่งสำคัญมากเพราะเป็นช่วงนาทีทองที่เราจะต้องเลี้ยงลูกเอง เขาจะได้ซึมซับถึงความรัก ความเอาใจใส่ของคุณพ่อคุณแม่
นอกจากนี้ หมออยากแนะนำให้ปลูกฝังเรื่องระเบียบวินัยให้แก่ลูก ให้เขารู้จักขอบเขตในการกระทำ ให้เขารู้ว่าเขามีอิสระ แต่ต้องรู้จักที่จะควบคุมการกระทำไม่ให้มีผลกระทบกับคนรอบข้าง
สุดท้ายคือความเข้าใจและการยอมรับในสิ่งที่ลูกเป็น อย่าไปคาดหวังว่าเขาจะเป็นเหมือนที่เราคิด หรือเป็นเหมือนเรา เพราะว่าเขากับเราเป็นคนละคนกัน ให้มองว่าเขาเป็นลูก เป็นอีกคนหนึ่งที่เรารักและจะดูแลเพื่อให้เขาเติบโตขึ้นมาบนเส้นทางชีวิตที่ดีค่ะ