xs
xsm
sm
md
lg

“หนุ่มจีน” ร้องถูก “สาวแสบ” อ้างโอนกรรมสิทธิ์คอนโด หลอกให้เซ็นชื่อ “ใบถอนเงิน” สูญกว่า 5 แสน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


หนุ่มแดนมังกร ร้องตำรวจปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีฯ เอาผิดสาวนายหน้าอสังหาฯ ทำแสบ หลังตัดสินใจซื้อคอนโดฯ ย่านสุขุมวิท ทั้งหลอกให้โอนเงิน แอบอ้างอีเมลบอกนิติฯ ต้องตกแต่งห้องคืน เพราะยังไม่โอนชื่อ สูญไป 3 แสน ทั้งที่เรียกเก็บจริง 5 พัน แถมตอนออกเช็ค จะจ่ายปิดยอดให้โครงการ ยังหลอกเซ็นใบถอนเงิน อ้างเป็นแบบฟอร์มเช็ค ก่อนกลับประเทศ เงินหายไป 2 ครั้ง รวมกว่า 5.6 แสนบาท

วันนี้ (21 ม.ค.) ที่ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ชั้น 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เมื่อเวลา 10.00 น. นายหลิว ชุน หู่ (Mr. Liu Chun Hu) อายุ 40 ปี สัญชาติจีน พร้อมผู้เสียหายอีกจำนวนหนึ่ง เข้าร้องทุกข์ต่อศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) เพื่อขอให้เร่งรัดดำเนินคดีกับ น.ส.ภาวินี ใคร่นุ่นสิงห์ หรือ เตย อายุ 31 ปี หลังจากหลอกลวงนายหลิว จ่ายเงินเป็นค่าโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียม ค่าประกันบ้าน และค่าเครื่องใช้ไฟฟ้า ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนกว่า 9.6 แสนบาท โดยก่อนหน้านี้ ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อ พ.ต.ท.ดุษฎี ขวัญศรี สารวัตร (สอบสวน) สน.พระโขนง เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2561 ที่ผ่านมา และพบว่า ยังมีผู้เสียหายอีกจำนวนมากที่ถูก น.ส.ภาวินี หลอกลวงในลักษณะดังกล่าว

นายหลิว เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ ตนต้องการจะซื้อคอนโดมิเนียมในไทย เพื่อที่จะพักอาศัยในอนาคต เพื่อนชาวจีนจึงแนะนำให้รู้จักกับ น.ส.ภาวินี ซึ่งระบุว่า เป็นนายหน้าซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์ ก่อนที่จะพาไปชมโครงการคอนโดมิเนียม รีเจนท์ โฮม สุขุมวิท 81 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ เมื่อสนใจห้องชุดดังกล่าว จึงได้ทำการซื้อขายแบบซื้อดาวน์ต่อจากเจ้าของห้องเดิม ในราคารวม 1.6 ล้านบาท โดยครั้งแรกนัดพบกันที่ศูนย์อาหารในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง น.ส.ภาวินี ได้ให้นายหลิวจ่ายค่ามัดจำเพื่อซื้อดาวน์เป็นจำนวน 50,000 บาท และเสนอว่าจะช่วยติดตั้งเครื่องปรับอากาศและประตูกระจกในห้องให้ ซึ่งมีค่าใช้จ่าย 100,000 บาท นายหลิว จึงได้ให้เงินสด 150,000 บาท แก่ น.ส.ภาวินี โดยให้ น.ส.ภาวินี ออกใบเสร็จรับเงิน พร้อมรายละเอียดรายการที่ได้รับเงินไป

จากนั้นไม่กี่วันต่อมา นายหลิว พร้อมด้วย น.ส.ภาวินี ได้กลับมาที่คอนโดมิเนียมอีกครั้ง เพื่อชำระเงินดาวน์ให้กับเจ้าของห้องเดิม เมื่อชำระเงินแล้วจึงได้เปลี่ยนชื่อผู้ซื้อในสัญญาซื้อขายเป็นนายหลิว หลังจากนั้น นายหลิว นึกว่าเริ่มตกแต่งห้องได้เลย จึงได้ให้ช่างมาทาสีผนังห้อง แต่ น.ส.ภาวินี กลับแคปเจอร์หน้าจออีเมลส่งให้นายหลิว อ้างว่า ส่งมาจากนิติบุคคลอาคารชุดดังกล่าว ไม่ยอมให้เข้ามาตกแต่งห้อง ถ้ายังไม่ได้ชำระเงินยอดปิดและโอนกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดิน โดยมีเนื้อหาว่า ให้นายหลิวตกแต่งห้องให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิม หรือชำระเงินมัดจำ 300,000 บาท น.ส.ภาวินี จึงเสนอว่า ให้นายหลิวโอนเงินมาให้ตน แล้วจะนำส่งนิติบุคคล นายหลิว ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงหลงเชื่อ โอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็มไปยังบัญชี น.ส.ภาวินี จำนวน 6 ครั้ง ครั้งละ 50,000 บาท รวมเป็นเงิน 300,000 บาท ภายหลัง น.ส.ภาวินี ออกใบเสร็จรับเงิน 300,000 บาท ให้กับนายหลิว ภายหลังพบว่า ทางนิติบุคคลไม่ได้ส่งอีเมลฉบับนี้ และเก็บค่ามัดจำในการตกแต่งห้องสูงสุดแค่ 5,000 บาทเท่านั้น

ต่อมา น.ส.ภาวินี นัดนายหลิว ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาสุขุมวิท 33 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ เพื่อออกเช็คชำระยอดปิดให้กับทางโครงการ เป็นเงิน 799,900 บาท และให้ธนาคารออกใบรับรองแบบการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ น.ส.ภาวินี ได้ให้นายหลิวลงนามเอกสารต่างๆ ทั้งสำเนาหนังสือเดินทาง และเอกสารที่อ้างว่าเป็นแบบฟอร์มเช็คจากธนาคาร ด้วยความที่ตนไม่รู้ภาษาเพราะแบบฟอร์มมีเฉพาะภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ จึงได้ลงนามเอกสารเหล่านั้น โดยที่ น.ส.ภาวินี คอยกำกับ เมื่อเตรียมเอกสารเสร็จแล้วทางเจ้าหน้าที่ธนาคารกสิกรไทย แจ้งว่า ไม่สามารถทำรายการได้ เนื่องจากยังขาดเงินจำนวนหนึ่งในบัญชี และเงินที่อยู่ในบัญชีที่โอนมาจากจีนไม่ได้เขียนกำหนดว่า “ใช้เพื่อซื้อคอนโด... ให้...” ทำให้ไม่สามารถทำได้ ประกอบกับวันนั้นนายหลิวต้องเดินทางกลับประเทศจีน น.ส.ภาวินี จึงแนะนำให้นายหลิวฝากเอกสารต่างๆ พร้อมสมุดบัญชีตัวจริงไว้ และเสนอว่าจะจัดการเรื่องเอกสารให้ รวมทั้งเช็คที่เขียนแล้วจะทำการยกเลิก และนำเงินเข้าบัญชีนายหลิวให้

เมื่อนายหลิวเดินทางมายังประเทศไทยอีกครั้ง ได้นัด น.ส.ภาวินี มาพบเพื่อทำธุรกรรมซื้อคอนโดมิเนียมให้เรียบร้อย เพราะ น.ส.ภาวินี อ้างว่า เอกสารยังไม่เรียบร้อย และต้องให้นายหลิวลงนามเอกสารเพิ่มเติม นายหลิวยังคงหลงเชื่อและลงนามเอกสารดังกล่าว เมื่อนายหลิวเอะใจว่าธุรกรรมซื้อคอนโดมิเนียมของตนไม่ชอบมาพากล จึงได้ให้ น.ส.ภาวินี นำเอกสารของตนทั้งหมดในแฟ้มที่ฝากไว้มาคืน ซึ่งตอนนำมาคืน พบว่า สมุดบัญชีธนาคารหายไป จึงได้แจ้งความกับตำรวจ เพื่อนำไปออกสมุดบัญชีเล่มใหม่ และขอรายการเดินบัญชี (Statement) ย้อนหลัง พบว่า มีรายการถอนเงินออกจากบัญชี 2 ครั้ง โดยที่ตนไม่ทราบมาก่อน ครั้งแรกถอนเงินไป 399,920 บาท และครั้งที่ 2 ถอนเงินสดที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาโลตัส รังสิต ตำบลประชาธิปัตย์ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี เป็นเงิน 170,000 บาท รวม 569,920 บาท

เมื่อถาม น.ส.ภาวินี กลับบอกว่าไม่ทราบ และไม่ได้ทำ นายหลิว จึงได้เข้าแจ้งความกับตำรวจเพื่อออกหมายเรียกขอดูภาพจากกล้องวงจรปิด พบภาพ น.ส.ภาวินี เป็นผู้ถอนเงินจำนวนดังกล่าว และทราบว่าเอกสารที่นายหลิวลงนาม โดยอ้างว่า เป็นแบบฟอร์มเช็คจากธนาคาร แท้ที่จริงเป็นใบคำขอถอนเงินแบบมอบอำนาจผู้อื่นได้ นอกจากนี้ ยังพบว่า มีผู้เสียหายรายอื่นที่ถูก น.ส.ภาวินี หลอกลวงฉ้อโกงในลักษณะเดียวกัน จึงได้เข้าร้องทุกข์กับตำรวจให้ช่วยดำเนินคดี และนำเงินที่ผู้เสียหายได้ชำระไปก่อนหน้านี้มาคืนดังกล่าว





กำลังโหลดความคิดเห็น