หากพูดถึงนาม “พรศักดิ์ ส่องแสง” หลายคนจะต้องนึกถึงเสียงร้องหมอลำอันเป็นเอกลักษณ์มาก่อนเป็นลำดับแรก เรียกเขาว่าเป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจของวงการเพลงก็ไม่ผิดนัก เพราะเขาคนนี้ได้นำพา ‘เพลงหมอลำ’ เอกลักษณ์ของภาคอีสาน เดินทางไกลไปทั่วโลก และในขณะเดียวกัน พรศักดิ์ก็ยังใช้ชีวิตแบบลูกทุ่ง ติดดิน และยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอมา
• ด้วยความที่คุณร้องเพลงหมอลำลูกทุ่งเพราะ ไม่ทราบว่าโดยส่วนตัวได้ไปเรียนร้องเพลงแนวนี้มาจากไหนครับ
เรื่องร้องเพลง ผมก็มีครูบาอาจารย์ จริงๆ ผมก็ร้องได้ทุกแนวนะ เพียงแต่ว่ามันอยู่ที่โปรดิวเซอร์ และครูเพลงที่ท่านจะป้อนมาให้ อย่างเพลงรำเราก็ไม่เคยร้อง เขาก็ร้องไกด์มาให้นิดหน่อย หลังจากนั้นก็เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง อย่างเพลงลูกทุ่งก็มีครูคำหอม (รักษ์ วัฒนยา) ครูเพลงของผมเป็นคนสอน ว่าร้อง-เล่นหรือเอื้อนยังไง
• อย่างการร้องลำแคนของคุณก็ถือว่าเป็นเอกลักษณ์
คือผมเข้าวงการด้วยการร้องหมอลำแบบลำล่องมาก่อน ที่เป็นร้องกับแคนตัวเดียว หลังจากนั้นครูคำหอมขยับมาให้เป็นลำแพน ลำเพลิน แต่เราไม่เคยลำนะ ท่านก็หามาให้ แล้วก็บอกว่ามึงร้องไปเถอะ หรืออย่างลำเต้ย แต่ก่อนก็ทะเลาะกัน คือความคิดของท่านคิดว่าจะเอาเพลงหมอลำเข้าเธค เราก็อธิบายกลับไปว่ามันจะทำได้เหรอพ่อ มันผิดประเพณีนะ เพราะจะต้องลำเป็นภาษาอีสาน แต่ครูท่านก็เอาเพลงลูกทุ่งมาผสมกับภาษาอีสาน พอผสมมาท่านก็ยังบอกเหมือนเดิม ผมก็ยังทะเลาะกับท่านเลยว่าไม่อยากร้องตามที่บอก ครูท่านก็บอกว่าทำไปเถอะ ทำอะไรก็ทำให้แปลกกว่าเขา อย่าตามเขา ให้เขาตามเรา ขนาดเพลงร็อกหรือเพลงแร็ปผมก็เคยร้องเลย ดังบ้างไม่ดังบ้าง แต่ไม่มีครูนะ ซื้อเพลงมาแล้วก็ร้อง แต่มันก็ดังทุกชุดนะ อย่างลำแพนก็มีเพลงอย่าง “คนไกลบ้าน” หรือเพลง “ปริญญาบ้าบอ” ที่จะเป็นแบบลำเพื่อชีวิต แต่เพลง สาวจันทร์กั้งโกบ ก็เป็นลำเต้ยแต่มีเพลงลูกทุ่งมาผสม ทุกวันนี้ก็ตามกันอย่างนี้แหละ
ต่อมาเพลงหมอลำก็ได้เข้าเธค จริงๆ อย่างที่แกว่า ทำให้คนทุกภาคเขายอมรับซึ่งก่อนหน้านี้เขาไม่ยอมรับภาษาอีสานเลย เพลงสาวจันทร์ฯ ได้ทำให้สามารถไปทุกที่ คนทั่วไปเขาไม่รู้ว่าเราเอาเพลงลูกทุ่งมาผสม แต่ก็โอเค แต่พอพักหลังครูเพลงท่านจากไป เราก็มาทำของเราเอง แล้วก็ถือว่าพ่อเราสอนมาอย่างนั้น เราก็ทำพวก เมียไม่มีไม่เจอ, มีเมียเด็ก เพราะว่าไม่มีใครสอนเราแล้ว บางทีเวลาที่เราทำเพลงเราก็คิดบ้างว่าเพลงนี้อาจจะดังแต่สุดท้ายมันก็ไม่ดัง หรือเพลงที่ไม่คิดว่าจะดังแต่สุดท้ายก็ดัง
• ด้วยความที่มีทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลก พอจะจำได้ไหมครับว่าไปประเทศไหนมาบ้าง
ผมไปมาทั่วโลก ไปในประเทศที่มีคนไทยอยู่ อย่างเวลาคนท้องถิ่นฟังเพลงของเรามันก็เหมือนกับเราฟังเพลงฝรั่ง อย่างไปสวิส อังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส คนไทยที่แต่งงานที่นั่นเขาก็พาแฟนมาเที่ยว คือถ้าได้ยินเพลงอีสาน ยังไงมันก็ต้องมีเซิ้ง คือศิลปะอีสานมันเป็นหนึ่ง เหมือนกับที่เราฟังเพลงฝรั่งถ้ามันๆ เราก็อยู่เฉยไม่ได้หรอก คือเขาฟังไม่รู้เรื่องหรอก ถ้าจังหวะมันได้ยังไงก็ต้องเต้น แล้วจังหวะลำเต้ยมันมีมนต์ขลังไง เสียงแคน เสียงพิณ คือมันโอเค
• คำที่ว่ามีมนต์ขลังนี่คืออยากให้ขยายความหน่อยครับ
ถามว่ามีมนต์ขลังยังไง ผมก็ตอบยากนะ แต่รู้ว่าเสียงพิณเสียงแคนหรือเสียงดนตรีพวกนี้ มันสามารถที่จะปลุกระดมได้ ถ้าจะพูดตามหลักมันเร้าใจ อย่างบางทีเวลาไปเจอคุณหญิงคุณนาย ก็คิดว่าไม่ใช่คนอีสาน แต่พอได้ยินเพลงพวกนี้แล้วมันอยู่ไม่ได้ต้องมาเต้น ต่างจากเพลงลูกทุ่งที่มันธรรมดา อย่างจังหวะสามช่าอะไรมันก็เต้นธรรมดา หรือว่าเพลงช้าๆ หน่อยมันก็ต่างกันนะ ในแต่ละที่ละจุด อย่างในกรุงเทพฯ ในผับในบาร์ก็จะเป็นเพลงที่หวานซึ้ง แต่ถ้าเป็นต่างประเทศยังไงก็ต้องเพลงที่มีจังหวะอย่างเดียว คือถ้าไปร้องเพลงช้าๆ ติดกัน 2-3 เพลง ฝรั่งก็จูงเมียกลับบ้านแล้ว
• ฉายาไอ้หนุ่มแขนซ้ายลายมังกร
คือทุกคนก็ถามเราเหมือนกันหมดแหละว่าฉายาเป็นยังไง คือต้นฉบับจริงๆ มันคือไม่ได้สักอยู่ยงคงกระพัน คือเราสักมาตั้งแต่หนุ่ม สักให้มันเท่เฉยๆ แต่เราก็ไม่รู้ว่าเวลาต่อมาเราได้เป็นพรศักดิ์ จู่ๆ มาอัดเพลงแล้วเพลงมันดัง ตั้งแต่ก่อนเขาก็ไม่ค่อยยอมรับกันหรอกในเรื่องสัก ไม่เหมือนกับทุกวันนี้ที่เป็นศิลปะไปแล้ว แล้วเพลงมันเกิดดังขึ้นมา จะให้ลบก็ลบไม่ได้ ซึ่งจะเกิดผลข้างเคียงต่างๆ ครูคำหอมก็เลยบอกกับผมว่า ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องลบ ท่านเลยตั้งฉายาให้ผมเลยว่าไอ้หนุ่มแขนซ้ายลายมังกร พรศักดิ์ ส่องแสง ตัวจริงเสียงจริง ท่านว่าเป็นต้นฉบับเลย
• หลายคนอาจไม่ทราบว่าคุณเคยขึ้นเวทีร้องเพลงร่วงกับ เบิร์ด ธงไชย (แมคอินไตย์) ในคอนเสิร์ต 2 คน 2 คมด้วย อยากให้ช่วยเล่าตรงนี้หน่อยครับ
(หัวเราะ) มันนานมาแล้วเหมือนกันนะ แต่ผมก็จำได้ว่าผมได้ขึ้นเวทีคอนเสิร์ตพร้อมกับคุณเบิร์ด ธงไชย ด้วยกัน วันนั้นแฟนเพลงก็ให้กำลังใจกันเยอะ ถึงขนาดที่ลดเวทีเลย ด้วยผู้ชมที่เป็นชาวอีสานซึ่งเป็นคนพลัดถิ่นมาทำงานในกรุงเทพฯ เขามาให้กำลังใจกันเยอะ ภาพในวันนั้นก็ยังไม่เคยลืม ยังติดตาอยู่ แม้ว่าเวลาจะผ่านมากกว่า 30 ปี ก็ยังคิดถึงอดีตเก่าอยู่ ส่วนเพลงที่ถือว่าดังในยุคนั้นเลยก็คงเป็นเพลงสาวจันทร์กั้งโกบ ซึ่งมีผมและคุณเบิร์ดได้ร้องร่วมกัน เราก็ไม่ได้คิดว่าคุณเบิร์ดจะสามารถร้องเพลงหมอลำได้ ผมคิดว่าเขาเก่งและอัจฉริยะนะที่สามารถร้องเพลงหมอลำได้ เช่นเดียวกัน พรศักดิ์ก็ได้ร้องเพลงของคุณเบิร์ดด้วย เพลงด้วยรักและผูกพัน ทำให้การแสดงของผมและคุณเบิร์ดมีความสนุกด้วยกัน คือเราไม่ได้แข่งกัน แต่เราสนุกร่วมกัน ถือว่าเป็นนักร้องอีสานคนแรกที่มาร่วมกันร้องกับคุณเบิร์ดก็ว่าได้ แต่ช่วงนั้นคุณเบิร์ดก็ยังเป็นพิธีกรรายการ 7 สีคอนเสิร์ต เราก็มีการเจอะเจอกันบ่อย แต่คอนเสิร์ตครั้งนั้นถือว่าเป็นครั้งแรก
• เป็นศิลปินเบอร์ใหญ่ขนาดนี้ แต่ใช้ชีวิตเรียบง่าย
ผมไม่ถือว่าตัวเองเป็นศิลปินเบอร์ใหญ่หรอกครับ โดยส่วนตัวก็ยังคิดว่าตัวเองเป็นคนธรรมดา อยู่ยังไงก็อยู่เหมือนเดิม ยังเป็นพรศักดิ์คนเก่า คือเพลงดังทุกชุด แต่นิสัยผมก็ยังเหมือนเดิม จะให้อยู่กรุงเทพฯ ไปทำกิจการต่างๆ กับเพื่อน เราก็ไม่เอา ผมชอบบรรยากาศไร่นา วิถีชีวิตของคนอีสาน ทุกวันนี้ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่เข้าหรอกกรุงเทพฯ ชอบอยู่บ้านนอก อยู่กับชาวบ้านชาวไร่ชาวนา ถ้าวันไหนอยากไปดูไร่อ้อยหรือสวนมันก็ไป หรือจะไปทอดแหก็ไป ผมชอบชีวิตแบบนั้น ถ้าไม่มีงานก็อยู่บ้านแบบนั้น อยู่แบบสมถะง่ายๆ
คือเวลาที่เข้ากรุงเทพฯ แค่เห็นรถติดแล้วก็หงุดหงิดละ (หัวเราะเบาๆ) หรือเวลาที่ไปเมืองนอก เราก็กินอาหารได้ทุกอย่างนะ กินให้พออยู่ได้ มันอร่อยกินได้ แต่ถ้ากลับมาบ้านมันก็จะเป็นอีกแบบ คือผมกับแฟนก็จะมีไลฟ์สไตล์ที่ต่างกัน เรียกว่าตู้เย็นใช้คนละตู้เลย ผมก็มีกบเขียดหนู ของพื้นบ้านของอีสาน แต่แฟนก็จะกินพวกไข่พะโล้อะไรก็เรื่องของเขา
• ถ้าพูดถึงตัวเอง จะพูดกับเขายังไงบ้าง
ถ้าพูดถึงตัวเองผมก็ยังเหมือนเดิม รักพี่รักน้อง เป็นอีสานเต็ม 100% แม้ว่าจะดังยังไงก็ตาม เราก็ยังรักพื้นเพเดิม รักบ้าน รักพี่น้องแฟนเพลง ผมอยู่แบบง่ายๆ ลูกทุ่งแท้ ไม่เหมือนกับลูกทุ่งบางคนที่ดังแล้วเช่าคอนโดฯ อยู่ มันคนละอย่าง ต่างกับผมที่แม้ไม่มีงานก็ลงไปดำนาข้าว นี่คือชีวิตของผม คนละอย่าง
• ด้วยความที่คุณร้องเพลงหมอลำลูกทุ่งเพราะ ไม่ทราบว่าโดยส่วนตัวได้ไปเรียนร้องเพลงแนวนี้มาจากไหนครับ
เรื่องร้องเพลง ผมก็มีครูบาอาจารย์ จริงๆ ผมก็ร้องได้ทุกแนวนะ เพียงแต่ว่ามันอยู่ที่โปรดิวเซอร์ และครูเพลงที่ท่านจะป้อนมาให้ อย่างเพลงรำเราก็ไม่เคยร้อง เขาก็ร้องไกด์มาให้นิดหน่อย หลังจากนั้นก็เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง อย่างเพลงลูกทุ่งก็มีครูคำหอม (รักษ์ วัฒนยา) ครูเพลงของผมเป็นคนสอน ว่าร้อง-เล่นหรือเอื้อนยังไง
• อย่างการร้องลำแคนของคุณก็ถือว่าเป็นเอกลักษณ์
คือผมเข้าวงการด้วยการร้องหมอลำแบบลำล่องมาก่อน ที่เป็นร้องกับแคนตัวเดียว หลังจากนั้นครูคำหอมขยับมาให้เป็นลำแพน ลำเพลิน แต่เราไม่เคยลำนะ ท่านก็หามาให้ แล้วก็บอกว่ามึงร้องไปเถอะ หรืออย่างลำเต้ย แต่ก่อนก็ทะเลาะกัน คือความคิดของท่านคิดว่าจะเอาเพลงหมอลำเข้าเธค เราก็อธิบายกลับไปว่ามันจะทำได้เหรอพ่อ มันผิดประเพณีนะ เพราะจะต้องลำเป็นภาษาอีสาน แต่ครูท่านก็เอาเพลงลูกทุ่งมาผสมกับภาษาอีสาน พอผสมมาท่านก็ยังบอกเหมือนเดิม ผมก็ยังทะเลาะกับท่านเลยว่าไม่อยากร้องตามที่บอก ครูท่านก็บอกว่าทำไปเถอะ ทำอะไรก็ทำให้แปลกกว่าเขา อย่าตามเขา ให้เขาตามเรา ขนาดเพลงร็อกหรือเพลงแร็ปผมก็เคยร้องเลย ดังบ้างไม่ดังบ้าง แต่ไม่มีครูนะ ซื้อเพลงมาแล้วก็ร้อง แต่มันก็ดังทุกชุดนะ อย่างลำแพนก็มีเพลงอย่าง “คนไกลบ้าน” หรือเพลง “ปริญญาบ้าบอ” ที่จะเป็นแบบลำเพื่อชีวิต แต่เพลง สาวจันทร์กั้งโกบ ก็เป็นลำเต้ยแต่มีเพลงลูกทุ่งมาผสม ทุกวันนี้ก็ตามกันอย่างนี้แหละ
ต่อมาเพลงหมอลำก็ได้เข้าเธค จริงๆ อย่างที่แกว่า ทำให้คนทุกภาคเขายอมรับซึ่งก่อนหน้านี้เขาไม่ยอมรับภาษาอีสานเลย เพลงสาวจันทร์ฯ ได้ทำให้สามารถไปทุกที่ คนทั่วไปเขาไม่รู้ว่าเราเอาเพลงลูกทุ่งมาผสม แต่ก็โอเค แต่พอพักหลังครูเพลงท่านจากไป เราก็มาทำของเราเอง แล้วก็ถือว่าพ่อเราสอนมาอย่างนั้น เราก็ทำพวก เมียไม่มีไม่เจอ, มีเมียเด็ก เพราะว่าไม่มีใครสอนเราแล้ว บางทีเวลาที่เราทำเพลงเราก็คิดบ้างว่าเพลงนี้อาจจะดังแต่สุดท้ายมันก็ไม่ดัง หรือเพลงที่ไม่คิดว่าจะดังแต่สุดท้ายก็ดัง
• ด้วยความที่มีทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลก พอจะจำได้ไหมครับว่าไปประเทศไหนมาบ้าง
ผมไปมาทั่วโลก ไปในประเทศที่มีคนไทยอยู่ อย่างเวลาคนท้องถิ่นฟังเพลงของเรามันก็เหมือนกับเราฟังเพลงฝรั่ง อย่างไปสวิส อังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส คนไทยที่แต่งงานที่นั่นเขาก็พาแฟนมาเที่ยว คือถ้าได้ยินเพลงอีสาน ยังไงมันก็ต้องมีเซิ้ง คือศิลปะอีสานมันเป็นหนึ่ง เหมือนกับที่เราฟังเพลงฝรั่งถ้ามันๆ เราก็อยู่เฉยไม่ได้หรอก คือเขาฟังไม่รู้เรื่องหรอก ถ้าจังหวะมันได้ยังไงก็ต้องเต้น แล้วจังหวะลำเต้ยมันมีมนต์ขลังไง เสียงแคน เสียงพิณ คือมันโอเค
• คำที่ว่ามีมนต์ขลังนี่คืออยากให้ขยายความหน่อยครับ
ถามว่ามีมนต์ขลังยังไง ผมก็ตอบยากนะ แต่รู้ว่าเสียงพิณเสียงแคนหรือเสียงดนตรีพวกนี้ มันสามารถที่จะปลุกระดมได้ ถ้าจะพูดตามหลักมันเร้าใจ อย่างบางทีเวลาไปเจอคุณหญิงคุณนาย ก็คิดว่าไม่ใช่คนอีสาน แต่พอได้ยินเพลงพวกนี้แล้วมันอยู่ไม่ได้ต้องมาเต้น ต่างจากเพลงลูกทุ่งที่มันธรรมดา อย่างจังหวะสามช่าอะไรมันก็เต้นธรรมดา หรือว่าเพลงช้าๆ หน่อยมันก็ต่างกันนะ ในแต่ละที่ละจุด อย่างในกรุงเทพฯ ในผับในบาร์ก็จะเป็นเพลงที่หวานซึ้ง แต่ถ้าเป็นต่างประเทศยังไงก็ต้องเพลงที่มีจังหวะอย่างเดียว คือถ้าไปร้องเพลงช้าๆ ติดกัน 2-3 เพลง ฝรั่งก็จูงเมียกลับบ้านแล้ว
• ฉายาไอ้หนุ่มแขนซ้ายลายมังกร
คือทุกคนก็ถามเราเหมือนกันหมดแหละว่าฉายาเป็นยังไง คือต้นฉบับจริงๆ มันคือไม่ได้สักอยู่ยงคงกระพัน คือเราสักมาตั้งแต่หนุ่ม สักให้มันเท่เฉยๆ แต่เราก็ไม่รู้ว่าเวลาต่อมาเราได้เป็นพรศักดิ์ จู่ๆ มาอัดเพลงแล้วเพลงมันดัง ตั้งแต่ก่อนเขาก็ไม่ค่อยยอมรับกันหรอกในเรื่องสัก ไม่เหมือนกับทุกวันนี้ที่เป็นศิลปะไปแล้ว แล้วเพลงมันเกิดดังขึ้นมา จะให้ลบก็ลบไม่ได้ ซึ่งจะเกิดผลข้างเคียงต่างๆ ครูคำหอมก็เลยบอกกับผมว่า ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องลบ ท่านเลยตั้งฉายาให้ผมเลยว่าไอ้หนุ่มแขนซ้ายลายมังกร พรศักดิ์ ส่องแสง ตัวจริงเสียงจริง ท่านว่าเป็นต้นฉบับเลย
• หลายคนอาจไม่ทราบว่าคุณเคยขึ้นเวทีร้องเพลงร่วงกับ เบิร์ด ธงไชย (แมคอินไตย์) ในคอนเสิร์ต 2 คน 2 คมด้วย อยากให้ช่วยเล่าตรงนี้หน่อยครับ
(หัวเราะ) มันนานมาแล้วเหมือนกันนะ แต่ผมก็จำได้ว่าผมได้ขึ้นเวทีคอนเสิร์ตพร้อมกับคุณเบิร์ด ธงไชย ด้วยกัน วันนั้นแฟนเพลงก็ให้กำลังใจกันเยอะ ถึงขนาดที่ลดเวทีเลย ด้วยผู้ชมที่เป็นชาวอีสานซึ่งเป็นคนพลัดถิ่นมาทำงานในกรุงเทพฯ เขามาให้กำลังใจกันเยอะ ภาพในวันนั้นก็ยังไม่เคยลืม ยังติดตาอยู่ แม้ว่าเวลาจะผ่านมากกว่า 30 ปี ก็ยังคิดถึงอดีตเก่าอยู่ ส่วนเพลงที่ถือว่าดังในยุคนั้นเลยก็คงเป็นเพลงสาวจันทร์กั้งโกบ ซึ่งมีผมและคุณเบิร์ดได้ร้องร่วมกัน เราก็ไม่ได้คิดว่าคุณเบิร์ดจะสามารถร้องเพลงหมอลำได้ ผมคิดว่าเขาเก่งและอัจฉริยะนะที่สามารถร้องเพลงหมอลำได้ เช่นเดียวกัน พรศักดิ์ก็ได้ร้องเพลงของคุณเบิร์ดด้วย เพลงด้วยรักและผูกพัน ทำให้การแสดงของผมและคุณเบิร์ดมีความสนุกด้วยกัน คือเราไม่ได้แข่งกัน แต่เราสนุกร่วมกัน ถือว่าเป็นนักร้องอีสานคนแรกที่มาร่วมกันร้องกับคุณเบิร์ดก็ว่าได้ แต่ช่วงนั้นคุณเบิร์ดก็ยังเป็นพิธีกรรายการ 7 สีคอนเสิร์ต เราก็มีการเจอะเจอกันบ่อย แต่คอนเสิร์ตครั้งนั้นถือว่าเป็นครั้งแรก
• เป็นศิลปินเบอร์ใหญ่ขนาดนี้ แต่ใช้ชีวิตเรียบง่าย
ผมไม่ถือว่าตัวเองเป็นศิลปินเบอร์ใหญ่หรอกครับ โดยส่วนตัวก็ยังคิดว่าตัวเองเป็นคนธรรมดา อยู่ยังไงก็อยู่เหมือนเดิม ยังเป็นพรศักดิ์คนเก่า คือเพลงดังทุกชุด แต่นิสัยผมก็ยังเหมือนเดิม จะให้อยู่กรุงเทพฯ ไปทำกิจการต่างๆ กับเพื่อน เราก็ไม่เอา ผมชอบบรรยากาศไร่นา วิถีชีวิตของคนอีสาน ทุกวันนี้ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่เข้าหรอกกรุงเทพฯ ชอบอยู่บ้านนอก อยู่กับชาวบ้านชาวไร่ชาวนา ถ้าวันไหนอยากไปดูไร่อ้อยหรือสวนมันก็ไป หรือจะไปทอดแหก็ไป ผมชอบชีวิตแบบนั้น ถ้าไม่มีงานก็อยู่บ้านแบบนั้น อยู่แบบสมถะง่ายๆ
คือเวลาที่เข้ากรุงเทพฯ แค่เห็นรถติดแล้วก็หงุดหงิดละ (หัวเราะเบาๆ) หรือเวลาที่ไปเมืองนอก เราก็กินอาหารได้ทุกอย่างนะ กินให้พออยู่ได้ มันอร่อยกินได้ แต่ถ้ากลับมาบ้านมันก็จะเป็นอีกแบบ คือผมกับแฟนก็จะมีไลฟ์สไตล์ที่ต่างกัน เรียกว่าตู้เย็นใช้คนละตู้เลย ผมก็มีกบเขียดหนู ของพื้นบ้านของอีสาน แต่แฟนก็จะกินพวกไข่พะโล้อะไรก็เรื่องของเขา
• ถ้าพูดถึงตัวเอง จะพูดกับเขายังไงบ้าง
ถ้าพูดถึงตัวเองผมก็ยังเหมือนเดิม รักพี่รักน้อง เป็นอีสานเต็ม 100% แม้ว่าจะดังยังไงก็ตาม เราก็ยังรักพื้นเพเดิม รักบ้าน รักพี่น้องแฟนเพลง ผมอยู่แบบง่ายๆ ลูกทุ่งแท้ ไม่เหมือนกับลูกทุ่งบางคนที่ดังแล้วเช่าคอนโดฯ อยู่ มันคนละอย่าง ต่างกับผมที่แม้ไม่มีงานก็ลงไปดำนาข้าว นี่คือชีวิตของผม คนละอย่าง