เมื่อคราวที่สมเด็จพระไชยราชาธิราชระดมพลเพื่อยกทัพไปขจัดความวุ่นวายทางเมืองเชียงใหม่นั้น ทรงมีพระบรมราชโองการไปถึงแม่ทัพนายกอง ๒๐ คนทั่วพระราชอาณาจักร ให้เกณฑ์ราษฎรจำนวนหนึ่งมาเป็นทหาร และให้นำทหารเกณฑ์เหล่านั้นเดินทางมากรุงศรีอยุธยาภายใน ๒๐ วัน ยกเว้นผู้เจ็บไข้ได้ป่วย คนยากจนเข็ญใจ และคนที่มีอายุเกิน ๖๐ ปี ซึ่งเรื่องนี้ก็อยู่ในบันทึกของ เฟอร์เนา เมนเดส ปินโต เช่นกัน
ปินโตเล่าว่า ที่เมืองหนึ่งทางภาคใต้ ซึ่งเป็นเมืองท่าที่รุ่งเรืองทางการค้าขาย ผู้คนส่วนใหญ่ร่ำรวย โดยทั่วไปต่างพอใจและชื่นชมกับโลกีย์ตัณหา ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ไปกับการกินอยู่อย่างฟุ่มเฟือยและการพนันเสี่ยงโชค ตลอดจนสิ่งที่ทำให้ชีวิตเพลิดเพลินอื่นๆอีกมากมาย เมื่อจะถูกเกณฑ์ให้เป็นทหารไปสงคราม ซึ่งขัดกับชีวิตสำรวยของพวกเขา ต่างก็เห็นว่าเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ กลุ่มคนที่ร่ำรวยนี้จึงได้มารวมกัน และตัดสินใจที่จะหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหารด้วยวิธีที่พวกเขาถนัด ก็คือติดสินบนแม่ทัพนายกองผู้มีหน้าที่เกณฑ์ทหารด้วยเงินก้อนโต
แม่ทัพผู้เกณฑ์ทหารของเมืองนี้ ปรากฏว่าเป็นขุนนางที่กล้าหาญ และมีผลงานรับใช้พระเจ้าแผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์จนได้มาอยู่เมืองที่มีความสำคัญแห่งนี้ แต่เงินก้อนโตก็มีอานุภาพที่จะทำให้จิตใจของท่านแม่ทัพแปรเปลี่ยนไปได้ จึงยอมให้คนกลุ่มนั้นนอนอยู่บ้านได้ ไม่ต้องไปรบ หันไปเกณฑ์คนเจ็บไข้ได้ป่วย คนพิการ คนยากจนเข็ญใจ และคนแก่เฒ่าไปแทน ให้ได้จำนวนตามที่กำหนด
เมื่อทหารเกณฑ์จากทุกเมืองเข้ามาพร้อมกันที่กรุงศรีอยุธยาเพื่อจะเคลื่อนทัพ พระเจ้าอยู่หัวได้ทอดพระเนตรลงมาจากช่องพระบัญชร เห็นทหารเกณฑ์กลุ่มที่ถูกเกณฑ์มาแทนบรรดาเศรษฐีเจ้าสำรวย ก็ทรงสะดุดพระทัย ทรงเรียกทหารเกณฑ์กลุ่มนี้ ๔ คนเข้าเฝ้า ซึ่งต่างก็แก่เฒ่าและมีอาการเจ็บป่วยอย่างเห็นได้ชัด เมื่อรับสั่งถามถึงอายุและสภาพอันทรุดโทรมของเขา ทั้ง ๔ ก็กราบบังคมทูลเป็นเสียงเดียวกันถึงเรื่องการเกณฑ์ทหารในเมืองของเขา ซึ่งทำให้พระองค์ทรงพิโรธ และรับสั่งให้แม่ทัพผู้นั้นมาเฝ้าทันที ซึ่งปินโตได้บันทึกไว้ว่า
...หลังจากที่ทรงต่อว่าเขาที่ทำเรื่องเช่นนั้นต่อหน้าชุมชนแล้ว พระองค์มีพระบัญชาให้จับเขามัดมือมัดเท้าไว้ และให้หลอมโลหะเงิน ๕ เตอร์มา เทลงไปในคอของเขาต่อหน้าพระพักตร์ อันเป็นผลให้เขาเสียชีวิตทันที ขณะที่พระองค์ทอดพระเนตรเขานอนสิ้นใจอยู่ ณ ที่นั้น พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสว่า
“หากเงิน ๕ เตอร์มาเพียงพอที่จะฆ่าท่านแล้ว ท่านจะนึกได้อย่างไรว่า เงิน ๕,๐๐๐ เตอร์มาที่ท่านรับไว้เป็นสินบนเพื่อยกเว้นแก่พวกขี้ขลาดจะไม่ฆ่าท่าน ขอให้พระเจ้าทรงยกโทษให้ท่านสำหรับความละโมบที่ท่านมี และยกโทษให้ฉันสำหรับการที่ไม่ลงโทษท่านอย่างสาสมกับความละโมบนั้น”
จากนั้นพระองค์ยังมีพระบรมราชโองการให้คนไปที่บ้านของผู้ตาย เพื่อนำเงิน ๕,๐๐๐ เตอร์มาซึ่งเขาได้รับเป็นสินบนไว้ มาแจกจ่ายแก่คนแก่เฒ่าและคนยากไร้ที่ถูกเกณฑ์มา แล้วส่งพวกเขากลับบ้าน
ส่วนคนที่ให้สินบนหนีการเกณฑ์ทหารนั้นก็อย่านึกว่าจะรอด พระองค์ดำรัสสั่งให้แต่งกายเป็นผู้หญิง แล้วเนรเทศไปอยู่เกาะเล็กๆแห่งหนึ่ง และยังทรงรับสั่งให้ริบทรัพย์ของพวกขี้ขลาดตาขาวเหล่านี้ เอาไว้เป็นรางวัลให้ทหารที่สู้รบอย่างกล้าหาญในสงคราม
แม้แต่อาสาโปรตุเกสที่ไปรบครั้งนี้ หากรบอย่างไม่เต็มใจก็ไม่รอดพ้นพระราชอาญาเช่นกัน ปินโตบันทึกไว้เองว่า มีทหารโปรตุเกสคนหนึ่งในกลุ่ม ๑๒๐ คนที่อาสาตามเสด็จไปในสงครามครั้งนี้ หาทางหลบเลี่ยงอยู่เสมอ มักจะทำโอ้เอ้หลบอยู่หลังคนอื่น สมเด็จพระไชยราชาทรงสังเกตเห็น จึงรับสั่งให้ส่งเขากลับไปกรุงศรีอยุธยา ไม่ให้ร่วมในกองทัพ และให้อยู่แต่ในบ้าน ถ้าจับได้ว่าออกจากบ้านจะจับโกนเครา ลงโทษให้เหมือนพวกขี้ขลาดตาขาวที่หนีการเกณฑ์ทหาร ส่วนอาสาโปรตุเกสคนอื่นๆที่ทรงชื่นชม ก็โปรดเกล้าฯให้เพิ่มเงินค่าจ้างเป็น ๓ เท่า
จากการตามเสด็จไปสงครามในครั้งนี้ ทำให้ปินโตชื่นชมสมเด็จพระไชยราชาธิราชเป็นอย่างมาก และบันทึกไว้ตอนหนึ่งว่า
“จากเรื่องราวเหล่านี้ ตลอดจนอีกหลายเรื่องซึ่งข้าพเจ้าสามารถบรรยายถึงพระองค์ อันเป็นเรื่องราวที่มีลักษณะคล้ายกัน ได้ทำให้กระจ่างชัดถึงพระอุปนิสัยที่ประเสริฐและดีเลิศของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงอยู่นอกคริสต์ศาสนาก็ตาม”