xs
xsm
sm
md
lg

เปิดโฉมสารพัดผีแห่งแผ่นดินสยาม! มีทั้งผีดีผีร้าย แม้ในบ้านเราเองก็มีผีอยู่ประจำ!!

เผยแพร่:   โดย: โรม บุนนาค

การเล่นผีถ้วยแก้ว จากภาพยนตร์ “คนเห็นผี”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน ให้คำจำกัดความของคำว่า “ผี” ไว้ว่า คือสิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสภาพลึกลับ มองไม่เห็นตัว แต่อาจจะปรากฏเหมือนมีตัวตนได้ อาจให้คุณหรือให้โทษได้ มีทั้งดีและเลว หรืออาจหมายถึงคนที่ตายไปแล้ว หรือหมายถึงเทวดาก็ได้

ผี เป็นความเชื่อของทุกชาติทุกภาษา ทุกภาคพื้นของโลกก็ว่าได้ แม้แต่ชาติที่ว่าเจริญด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก็ยังมีคนเชื่อเรื่องผีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังเถียงกันไม่จบว่าผีมีจริงหรือไม่ เพราะยังไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดแจ้ง แม้จะมีความพยายามในการพิสูจน์ก็ตาม ก็คงเช่นเดียวกับ “จานผี” หรือ “มนุษย์ต่างดาว” ที่มีความเชื่อกัน บางคนอ้างว่าเคยเห็นตัวตนของมนุษย์ต่างดาว ทั้งเคยพูดคุยกันด้วย แต่ก็ไม่เคยมีการพิสูจน์ให้เห็นจริงได้เช่นกัน มนุษย์ต่างดาว อาจจะถือว่าเป็นเรื่องผีของยุควิทยาศาสตร์ก็เป็นได้

ไทยเราก็มีผีหลายรูปแบบ และมีอยู่มากมาย เล่ากันไม่จบ อย่าง

นางตะเคียน
เป็นผีประเภท “ผีสางนางไม้” สิงอยู่ในต้นตะเคียน กล่าวกันว่านางตะเคียนมักเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยไว้ผมยาว นุ่งผ้าถุงห่มสไบ เหมือนหญิงไทยโบราณ บางทีก็แต่งตัวเหมือนสาวชาวป่าทั่วไป เชื่อกันว่าต้นตะเคียนใหญ่ๆที่มีอายุมาก จะมีนางตะเคียนสิงอยู่

แม้จะเชื่อกันอย่างนี้ ก็ยังไม่สามารถห้ามความปรารถนาของมนุษย์ที่อยากจะตัดต้นตะเคียนมาใช้ เพราะตะเคียนเป็นไม้เนื้อแข็งทนแดดทนฝน นิยมเอามาขุดเป็นเรือ จึงสร้างธรรมเนียมไว้ว่า ถ้าจะตัดต้นตะเคียนจะต้องทำพิธีบวงสรวงบอกกล่าวนางตะเคียนก่อน หาเรื่องอ้างจนได้ และเมื่อเอาต้นตะเคียนไปขุดเป็นเรือ นางตะเคียนก็จะแปรสถานะเป็นแม่ย่านางปกป้องคุ้มครองเรือซะอีก

บางคนเอาต้นตะเคียนไปทำเสาบ้าน จะมีน้ำมันต้นตะเคียนไหลออกมา เรียกกันว่า “เสาตกน้ำมัน” และเชื่อกันว่านางตะเคียนร้องไห้ ไม่พอใจที่คนไปตัดมา แบบนี้ก็ต้องรีบเซ่นไหว้กันเป็นการใหญ่ มิฉะนั้นจะทำให้ป่วยไข้กันทั้งบ้าน แต่ไม่รู้ว่าเซ่นไหว้ไปแล้วจะนอนหลับกันหรือเปล่า ที่มีนางตะเคียนอยู่ในบ้านด้วย ที่สำคัญไม่รู้ว่าหายโกรธหรือยัง

“เสถียรโกเศศ” หรือ พระยาอนุมานราชธน ปราชญ์ในอดีตของไทย ได้เล่าเรื่องนางตะเคียนไว้ว่า

“ข้าพเจ้าจำเรื่องนางตะเคียนได้เรื่องหนึ่ง ได้ยินได้ฟังมาแต่เล็กว่า ต้นตะเคียนต้นหนึ่งขึ้นอยู่ริมคลองหน้าวัด ใครไปจุดธูปบูชาและเซ่นสังเวยนางตะเคียนเพื่อขอหวยในกลางคืนเวลาดึก นางตะเคียนจะสำแดงอาการให้ปรากฏเห็น โจนจากต้นไม้ลงน้ำทุกคราวที่ไปจุดธูปเทียนบูชา จนข่าวลือไปว่านางตะเคียนนั้นศักดิ์สิทธิ์มาก มีชายคนหนึ่งเป็นคนบ้าสูบกัญชา ไม่เชื่อว่าเป็นนางตะเคียน จึงถือดาบไปรออยู่ที่โคนต้นตะเคียนในเวลากลางคืน พอมีแสงสว่างจากธูปเทียน นางตะเคียนก็สำแดงอาการโจนจากต้นตะเคียนจะลงน้ำ ในทันทีนั้นเอง กระทาชายคนนั้นก็เอาดาบฟันสวนไป ถูกนางไม้เข้าบั้นท้ายขาดหลุดลงมา ด้วยอำนาจแห่งนางไม้ สิ่งที่หลุดลงมานั้นกลายเป็นหางตะกวดไป”
นางตะเคียน ภาพจากคลังปัญญาไทย
นางตานี
เป็นผีสางนางไม้แบบนางตะเคียน และเป็นผีสาวแสนสวยเช่นเดียวกัน แต่ไปสิงสถิตอยู่ในต้นกล้วยตานี ไม่อยู่ในกล้วยน้ำว้าหรือกล้วยหอม ในสารานุกรมคลังปัญญาไทย บรรยายลักษณะนางตานีไว้ว่า

“นางตานีจะมีรูปร่าง หน้าตาสวยสด หมดจด งดงาม มีกลิ่นตัวหอม ไว้ผมยาว ฝ่ามือฝ่าเท้าแดงอ่อนดุจตีนนกพิราบ ริมฝีปากมีสีเหมือนตำลึงสุก ถ้ากล้วยตานีมีลำต้นอวบ พรายนางตานีก็มีรูปทรงท้วม ถ้ามีลำต้นโปร่งเปลา พรายนางตานีก็มีรูปทรงฉลวย ห่มสไบสีเขียว และนุ่งโจงกระเบนแบบหญิงโบราณ ชอบล่อชายไปลวนลาม และนางตานียังมีแรงหึงหวงที่น่ากลัวอีกด้วย เพราะถ้าชายที่มีอะไรกับนางแล้ว เมื่อไปมีผู้หญิงคนอื่น นางตานีก็จะตามไปหักคอชายผู้นั้นทันที ด้วยแรงหึงหวงนั่นเอง”

นางตานีมีรสนิยมชอบสนุกแบบนี้ จึงมีหนุ่มๆบางคนนอนแล้วฝันถึงนางตานี แต่ถ้าเปลี่ยนใจไปมีแฟนเป็นคนเมื่อไหร่ ระวังจะคอหักคาอกก็แล้วกัน

ผีกระสือ-ผีกระหัง
ผีกระสือเป็นผีผู้หญิง ส่วนมากมักเป็นคนแก่ เวลาออกหากินจะเอาหัวกับไส้ไปเท่านั้น ทิ้งตัวซ่อนไว้ที่บ้าน เป็นดวงไฟเรืองแสงออกเขียวๆ วาบๆเหมือนหิ่งห้อยลอยไป ชอบกินตับไตไส้พุงไม่ว่าคนหรือสัตว์ คนที่ออกลูกจึงต้องหาหนามมาสะไว้รอบบ้าน ป้องกันกระสือที่ได้กลิ่นคาวเลือด เพราะกระสือกลัวหนามจะเกี่ยวไส้ดิ้นไม่หลุด

ของโปรดของกระสือยังมีอาจมตามส้วมหลุมในชนบทด้วย เพราะในเมืองใช้ส้วมซึมกระสือล้วงไม่ได้ กินแล้วยังเอาปากสกปรกไปเช็ดไว้ตามเสื้อผ้าที่คนตากค้างคืนไว้ กล่าวกันว่าถ้าใครพบเสื้อผ้าที่กระสือเช็ดปากไว้ให้เอาไปต้ม คนที่กระสือสิงอยู่จะร้อนปากทุรนทุรายทันที

ส่วนกระหังจะเป็นเพศชาย มีพฤติกรรมเดียวกัน แต่กระหังจะมีกระด้งติดแขนทั้งสองข้างสำหรับใช้บิน และเอาสากตำข้าวมาผูกห้อยไว้ข้างหลังปิดหางของตนเอง เพราะกระหังมีหางสั้นๆด้วย คนที่เป็นกระหังจึงไม่ยอมให้ใครลูบก้น เพราะกลัวจะเจอหางเข้า

การต้องรับกรรมมาเป็นกระสือและกระหังนั้น ก็เพราะตอนมีชีวิตอยู่ชอบหากินกับสิ่งสกปรกที่ไม่ควรกิน เช่นหลอกลวงต้มตุ๋นผู้คน ส่วนพวกคอรัปชั่นกินบ้านกินเมือง ถ้าเป็นผู้ชายก็เตรียมกระด้งไว้ได้เลย ตายไปต้องเป็นกระหังแน่ ส่วนผู้หญิงก็ไม่พ้นกระสือ ไม่รู้ว่าถ้าหนีออกนอกประเทศแล้วกรรมจะตามทันได้หรือเปล่า

ผีกองกอย
เป็นผีป่าประเภทหนึ่ง รูปร่างประหลาด มีหน้าตา หัว หู แขน เหมือนคน แต่มีขาข้างเดียว ทั้งยังไม่มีสะบ้าหัวเข่า เวลาไปไหนจะเขย่งเกงกอยไป แล้วก็แปลกที่เป็นผีกลัวคน พรานป่ารู้กันดีว่า ถ้านอนอยู่ในป่าแล้วได้ยินเสียง จุ๊ ๆ เข้ามาใกล้ที่พัก ก็รู้กันว่านั่นเป็นเสียงร้องของมัน แค่ตะเพิดออกไป ผีกองกองก็เปิดอ้าวแล้ว

ของโปรดของผีกองกอยไม่ใช่ของโสโครกแบบผีกระสือ แต่รสนิยมเดียวกับท่านเคาน์แดรกคูล่า คือชอบเลือดสดๆ เวลาพรานหรือนักนิยมไพรเข้าไปนอนในป่า ผีกองกอยจะแอบมาดูดเลือดที่หัวแม่เท้า ถ้าคนนอนขี้เซาก็จะถูกผีกองกอยดูดเลือดจนหมดตัวได้
ผีกองกอย ภาพจากคลังปัญญาไทย
ผีโป่ง
ผีโป่ง เป็นผีป่าประเภทหนึ่ง มีอยู่ตามแหล่งดินโป่ง คือดินมีเกลือแร่ที่สัตว์มากิน จึงเชื่อกันว่าเป็นวิญญาณของสัตว์ที่ตายแล้ว บางทีก็แปลงร่างเป็นคนล่อพรานลงมาจากห้างส่องสัตว์ แล้วทำอันตรายจนถึงชีวิต คนที่อ้างว่าเคยพบ เล่าว่ามีหน้าตาเหมือนค่าง บางทีก็เรียกกันว่า ผีโป่งค่าง บ้างก็เชื่อว่าเป็นค่างแก่ๆที่หมดกำลังหากิน จึงต้องคอยขโมยอาหารจากคนที่มาพักแรมตามโป่ง

เสือสมิง
เป็นเสือที่กินคนเข้าไปมาก จนมีวิญญาณผีตายโหงสิงอยู่ สามารถแปลงร่างมาหลอกลวงคนที่เดินทางในป่าเพื่อจับกินเป็นอาหาร มักจะมาในรูปแบบของคนบาดเจ็บ หรือสาวชาวป่า

พรานป่าถือกันว่า ขณะไปนั่งห้างส่องสัตว์อยู่ในป่า ถ้ามีคนมาเรียกในเวลากลางคืน จะไม่ยอมลงไปโดยเด็ดขาด เพราะกลัวจะเป็นเสือสมิงมาหลอก

เล่ากันว่าพรานจะมีเทคนิคอยู่อย่างในการจะเช็คว่าคนที่มาเรียกเป็นเสือสมิงหรือคน โดยไม่ต้องอาศัยเวทย์มนคาถาใดๆ พรานที่ข้าป่าจะพกไม้ขีดไฟกันอยู่แล้ว ให้โยนกลักไม้ขีดไฟให้คนที่เรียกลองจุด ถ้าเป็นเสือสมิงจะไม่สามารถจุดได้ เพราะเสือสมิงไม่มีนิ้วมือแบบมนุษย์ มีแต่อุ้งเท้าซึ่งไม่สามารถจุดไม้ขีดไฟได้

ในปี ๒๔๑๙ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ได้เสด็จประพาสเมืองจันทบุรีโดยเรือพระที่นั่งอรรคราชวรเดช ซึ่งในสมัยนั้นเสือที่จันทบุรีชุกชุมมาก เข้ามาลากเอาคนไปกินเป็นประจำ ทรงมีพระราชหัตถเลขาเกี่ยวกับเสือสมิงไว้ว่า

“...ราษฎรชาวเมืองเชื่อถือกลัวเสือสมิงกันมาก เล่ากันว่าที่เมืองเขมรมีอาจารย์ทำน้ำมันเสือสมิงได้ ศิษย์ได้ลักน้ำมันนั้นทาตัวเข้า กลายเป็นเสือสมิงไปถึง ๓ คน พลัดเข้ามาในแขวงเมืองจันทบุรี ตัวหนึ่งเป็นเสือดุร้าย เที่ยวขบกัดคนตายที่พลิ้ว ๒ คน ที่ปากจั่น ๑ คน ที่ป่าสีเซ็น ๒ คน รวม ๕ คน อาจารย์เที่ยวตาม ได้บอกชาวบ้านว่าศิษย์สามคนลักน้ำมันเสือสมิงทาตัว กลายเป็นเสือไปทั้งสามคน บิดามารดาของศิษย์นั้นจะเอาลูกของเขา จึงเที่ยวตามหา แล้วสั่งไว้ว่าใครพบเสือนี้แล้วให้เอาไม้คานตี ฤามิฉะนั้นให้เอากะลาครอบรอยเท้าเสือนั้น ก็จะกลายเป็นคนได้ แต่วิธีจะแก้นี้ทำได้ก็แต่เมื่อเสือนั้นยังมิทันกินคน รังควานทับเสียแล้ว ถึงจะทำตามวิธีที่บอกไว้ก็ไม่อาจกลับเป็นคนได้”

และทรงมีพระราชหัตถเลขาอีกตอนว่า

“...เหมือนเมื่อครั้งเรามาสัตหีบครั้งหนึ่ง น้ำจืดในเรือหมด ต้องเกณฑ์ให้ทหารขึ้นไปตักที่หนองบนบกไกลฝั่งประมาณ ๓ เส้น พวกชาวบ้านบอกว่าที่นี่มีเสือสมิงมาเที่ยวอยู่ พระสงฆ์ผู้เป็นอาจารย์มาติดตามเวลากลางคืน แล้วก็ไปนั่งอยู่ที่ใต้ต้นตาลริมหนองน้ำนั้น คอยจะแก้ศิษย์ซึ่งกลับเป็นคน ในเวลานั้นก็ยังอยู่ พวกทหารพากันกลัว กลับมาเล่าจนเรารู้ เราอยากจะให้ไปตามตัวลงมาให้เห็นหน้าอาจารย์สักหน่อยหนึ่ง ก็เป็นเวลาดึกเสียแล้ว ครั้นเวลาเช้าก็ไปเสียจากหัตหีบ ท่านขรัวอาจารย์นั้นป่านนี้เสือมันจะเอาไปกินเสียแล้วฤาอย่างไรก็ไม่รู้...”

ผีโขมด
กล่าวกันว่า “ผีโขมด”นั้นเป็นเพียงดวงไฟที่ลอยอยู่ในเวลากลางคืน มักจะเกิดในที่ลุ่มมีน้ำฉ่ำแฉะ แม้ชื่อจะฟังดูน่ากลัวแต่ก็ไม่ทำร้ายใคร เพียงแค่ทำให้คนหลงทางโดยนึกว่ามีคนเดินส่องคบไฟไปข้างหน้า แต่พอตามไปดวงไฟนั้นกลับหายไป คนที่ตามก็หลงจนกลับทางเก่าไม่ถูก

เสถียรโกเศศ ปราชญ์ในอดีตของไทยท่านหนึ่ง ให้คำอธิบายไว้ว่า ผีโขมดเป็นประเภทเดียวกับผีกระสือ หรือผีโพลง เพราะมีแสงสีฟ้าอ่อนเรืองวาวในเวลากลางคืน เป็นผีประเภทมีแสงในตัวเอง ทางวิทยาศาสตร์อธิบายว่าดวงไฟที่เห็นเป็นก๊าซชนิดหนึ่งที่เกิดจากเน่าผุของพืชที่ทับถมในที่น้ำแฉะ ในเวลากลางวันดวงไฟนี้ก็มีอยู่ แต่ทว่ามองไม่เห็น เพราะถูกแสงอาทิตย์กลบ
ผีเปรตที่วัดม่วง อ่างทอง
เปรต
เปรตเป็นผีพันธุ์หนึ่ง บางทีก็เรียกว่าเป็น “อสุรกาย” เป็นผีที่มีรูปร่างสูงที่สุด กล่าวกันว่าสูงเท่าต้นตาล แต่ผอมโซเห็นซี่โครงทุกซี่ คนจึงเอาไปเปรียบเปรยกับคนที่ผอมสูงว่า “สูงยังกับเปรต” แต่มือกลับใหญ่เท่าใบลาน และมีปากแหลมยาว เล็กเท่ารูเข็ม จึงกินอะไรไม่ได้นอกจากดูดน้ำเลือดน้ำหนองของตัวเอง แค่นี้ก็ทุกข์ทรมานแล้ว ยังมีไฟนรกสุมอยู่บนหัวไม่รู้ดับ เผาผลาญร้อนไปทั้งเรือนร่างให้สาหัสยิ่งขึ้นไปอีก

ด้วยเหตุนี้เปรตจึงมักไปร้องอยู่ตามวัดที่มีคนไปทำบุญ เพื่อจะขอแบ่งส่วนบุญให้ตัวได้ไปผุดไปเกิดเสียที จึงเรียกกันว่า “เปรตขอส่วนบุญ” เนื่องจากเปรตมีปากเท่ารูเข็ม เสียงร้องของเปรตจึงแหลมเล็กหวีดหวิวทำให้สยองขวัญ จนคนทำบุญตลอดจนพระต้องรับปากว่าจะแบ่งส่วนบุญไปให้ เพื่อให้เปรตเลิกร้องเสียที
สมัยก่อนในกรุงเทพฯ มีเปรตที่กล่าวถึงกันมากก็คือ “เปรตวัดสุทัศน์” คู่กับ “แร้งวัดสระเกศ” ที่ไปรุมกินซากศพคนตายจากอหิวาต์กองเป็นภูเขาเลากา แต่เปรตนิยมไปขอส่วนบุญที่วัดสุทัศน์ อาจจะเพราะมีเสาชิงช้าอาศัยเป็นที่ยืนพิงก็ได้
ตามกฎกติกาของนรกกำหนดไว้ว่า คนที่จะต้องไปเกิดเป็นเปรต ซึ่งถือเป็น “สัตว์นรก” อย่างหนึ่ง ก็เพราะทำบาปหนาสาหัสไว้กับผู้เป็นบุพการี เช่นด่าว่าและตบตีผู้ให้กำเนิด นี่แค่ลงมือ ถ้าถึงขั้นลงเท้าด้วย เท้าจะใหญ่เท่าใบลาน ทรมานยิ่งขึ้นไปอีก

ผีพราย
เชื่อกันว่า “ผีพราย” เป็นวิญญาณอีกประเภทหนึ่ง เช่นเดียวกับภูตผีปีศาจทั้งหลาย ส่วนใหญ่จะเป็นผีผู้หญิง เช่น พรายตะเคียน พรายตานี และผีทะเลหรือผีน้ำ ก็เป็นพรายชนิดหนึ่งเหมือนกัน

ผีพรายที่มีเรื่องเล่ากันไว้มาก ก็คือผีพรายที่อาศัยอยู่ในน้ำ โดยเฉพาะในวังน้ำลึกในที่เปลี่ยว เมื่อมีคนลงไปเล่นน้ำ ผีพรายจะเอาผมที่ยาวสยายพันขาลากเอาตัวจมน้ำลงไป

ส่วนคนที่นอนแล้วตื่นขึ้นมามีรอยฟกช้ำเป็นจ้ำตามร่างกาย ก็กล่าวกันว่าถูกพรายชนิดที่อยู่บนบกย้ำเอา คือยังไม่ถึงกับกัด อย่างบทกวีที่ว่าสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงนิพนธ์ไว้ ๒ บรรทัด แล้วศรีปราชญ์ตอนเป็นเด็กมาแต่งต่ออีก ๒ บรรทัด คือ

อันใดย้ำแก้มแม่หมองหมาย
ยุงเหลือบหรือลิ้นพรายลอบย้ำ
ผิวชนแต่จักกรายยังยาก
ใครจักอาจให้ช้ำชอกเนื้อเรียมสงวน

มีเรื่องเล่าของชาววังในสมัยก่อนว่า พระราชวังสวนดุสิตในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็ปรากฏเรื่องผีพรายในสระอโนดาตของสวนดุสิตเช่นกัน ซึ่งพระพุทธเจ้าหลวงทรงพบด้วยพระองค์เองว่า ผลไม้ที่ปลูกไว้ในพระราชอุทยานนั้น จะถูกขโมยเป็นประจำ บางลูกที่ติดต้นอยู่ก็มีรอยแทะ ทรงพิจารณาเห็นว่าไม่ใช่รอยฟันของกระรอกกระแตแน่ จะต้องเป็นคนบังอาจมาแทะไว้ จึงทรงตั้งเงินรางวัลไว้ถึง ๒ ตำลึงแก่ผู้ที่สามารถจับขโมยรายนี้ได้

เงินรางวัลประกอบกับความอยากรู้อยากเห็น ทำให้ชาววังหลายกลุ่มยอมอดหลับอดนอน มารอเฝ้าจับขโมยในพระราชอุทยาน แต่ขณะที่มีคนเฝ้ากันอยู่อย่างหนาแน่นนั้น ผลไม้ในพระราชอุทยานก็ยังหายเช่นเคย จนกระทั่งคืนหนึ่งเดือนมืดสนิท จึงเห็นเงาดำวิ่งผ่านไปที่ต้นฝรั่งที่ทรงเคยทอดพระเนตรลูกฝรั่งมีรอยแทะ ทำเอากลุ่มที่เฝ้าอยู่พากันใจระทึก ค่อยๆคืบคลานเข้าไปใกล้ๆ จึงได้เห็นเจ้าของเงาดำปืนขึ้นไปเด็ดฝรั่งนั่งเคี้ยวอยู่บนต้น กลุ่มนักล่าขโมยจึงพากันตีวงล้อมเข้าไป และเมื่อขโมยกระโดดลงมาจากต้นฝรั่ง กลุ่มชาววังก็พากันกรูเข้าตะครุบตัว แต่ก็ไม่สามารถจับได้ เนื่องเจ้าหัวขโมยมีเมือกลื่นไปทั้งตัว และเมื่อหลุดออกจากวงล้อมได้ก็วิ่งไปที่สระอโนดาต พุ่งตัวหายลงไปในน้ำ เฝ้ารออยู่จนสว่างก็ไม่กลับขึ้นมา อีกทั้งเมือกที่ติดตัวคนจับก็มีกลิ่นเหม็นยังกับกลิ่นผีเน่า

นี่ก็เป็นเรื่องของผีพรายในน้ำอีกเรื่องหนึ่งที่เล่ากันไว้

ผีตายทั้งกลม
บางทีก็เรียกว่า ตายท้องกลม หรือ ตายทั้งกม แต่ก็ความหมายเดียวกัน หมายถึงผู้หญิงที่ตายขณะตั้งครรภ์หรือตายขณะออกลูก คือตายขณะท้องกลม หรือตายทั้ง “กม” ตามภาษาโบราณสมัยกรุงสุโขทัยที่แปลว่า “ทั้งหมด” คือตายไปกับลูกในท้องด้วย จัดเป็นผีตายโหงประเภทหนึ่ง มีความดุร้ายมาก เช่นแม่นาคพระโขนง

ผีตายโหง
เป็นผีที่ตายไม่ปกติ เช่นถูกฆ่าตาย ผูกคอตาย ออกลูกตาย หรือตายจากอุบัติเหตุต่างๆ วิญญาณไม่สงบ เนื่องจากอารมณ์สุดท้ายก่อนตาย มีอาการตกใจกลัว อาลัยอาวรณ์ หรืออาฆาตแค้น จึงเป็นผีดุร้ายไม่ไปผุดเกิดได้ง่ายๆ ต้องรอให้มีคนมาตายแทนตรงที่ตายเสียก่อน บริเวณที่มีผีตายโหงจึงมีคนตายอยู่เรื่อยๆ เช่นโค้ง ๑๐๐ ศพเป็นต้น

ผีส่วนใหญ่ที่อาละวาดหลอกหลอนคน มักเป็นผีประเภทนี้ มีความเชื่อกันว่า จะไม่นำศพของคนตายโหงข้าไปทำพิธีในบ้าน เพราะกลัวอาถรรพณ์ผีตายโหง ต้องนำไปตั้งศพสวดที่วัดเท่านั้น

ผีเหย้าผีเรือน
ตามลัทธิถือผี ถือกันว่ามีผีสิงสถิตอยู่ทุกหนทุกแห่ง ตั้งแต่เมือง หมู่บ้าน จนถึงในบ้านก็มีผีบรรพบุรุษคุ้มครองดูแลลูกหลาน เรียกว่า “ผีเหย้าผีเรือน” ทางภาคเหนือเรียกว่า “ผีปู่ย่า” นับแต่ทางพ่อ ไม่นับทางแม่ ทางใต้เรียก “ผีตายาย” นับเฉพาะทางแม่ ไม่นับทางพ่อ ทางภาคอีสานเรียก “ผีปู่ตา” นับทั้งทางพ่อทางแม่ แต่นับเฉพาะฝ่ายชาย ส่วนทางภาคกลางเรียก “ผีปู่ย่าตายาย” นับถือผู้ใหญ่ทั้งสองสาย
ผีเหย้าผีเรือนเป็นผีดี เป็นผีผู้ใหญ่ซึ่งจะตักเตือนหรือลงโทษลูกหลานที่ทำความผิด “เสถียรโกเศศ” เขียนไว้ว่า ผีเรือนนั้นอีสานเรียกว่า “ผีด้ำ” ทำให้เกิดสำนวน “ผีซ้ำด้ำพลอย” คือถูกผีอื่นทำแล้ว ยังถูกผีเรือนซ้ำเข้าอีก เหมือนลูกไปทำผิดและถูกลงโทษจากนอกบ้านมาแล้ว พอกลับเข้าบ้านก็โดนพ่อแม่ซ้ำเข้าอีก
ถือกันว่ามีผีคุ้มครองดูแลอยู่ทุกที่ ฉะนั้นเมื่อจะไปค้างแรมที่ไหน หรือจะขึ้นบ้านใหม่ หอใหม่ ก็จุดธูปบอกกล่าวเสียหน่อย ว่ามาขออาศัยให้ช่วยคุ้มครองด้วย อย่างน้อยก็ทำให้หลับสบายขึ้นแน่

ผีทะเล
บนบกมีผี ในทะเลก็มีเหมือนกัน บางทีก็เรียกกันว่า พราย หรือ ภูต ผีทะเลเป็นวิญญาณของคนที่ตายในทะเล ปรากฏให้เห็นในหลายลักษณะ บางครั้งก็แอบขึ้นมาบนเรือ ขโมยปลาที่ชาวประมงจับได้ไปกิน ในสมัยโบราณ ผีทะเลปรากฏเป็นลูกไฟอยู่บนเสากระโดงเรือ ทางวิทยาศาสตร์อธิบายว่าเป็นฟ้าสถิตในอากาศที่ไหลลงต่ำ มักเกิดวันที่ฟ้าคะนอง แต่ชาวเรือเชื่อกันว่าเป็นผีทะเล ถ้าไต่ขึ้นเกาะเสากระโดงเรือแล้ว จะทำให้เรือลำนั้นอับปางลง

มีตำนานของฝรั่งที่เล่าเกี่ยวกับผีทะเล คือเรื่อง “เรือฟลายอิ้งดัทช์แมน” เป็นเรือผีสิงที่ท่องไปในท้องทะเลไม่มีวันสิ้นสุด วันดีคืนดีก็จะมาปรากฏให้คนเดินทะเลสยองขวัญ ในรูปสำเภาสามเสากระโดงมีแสงเรืองรอบเรือ กัปตันอยู่ในชุดศตวรรษที่แล้วจะยืนอยู่ที่หัวเรือ ในอาการหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ใน ๑๐๐ กว่าปีมานี้ มีบันทึกมาเป็นระยะว่า มีผู้เห็นเรือฟลายอิงดัชแมนแล่นใบอยู่ในมหาสมุทร แม้แต่ในยุคใหม่ก็ยังมีบันทึกของเรือดำน้ำเยอรมันที่เห็นสำเภาสามเสาลำนี้ และหายไปอย่างลึกลับ

ผีทะเลของไทยก็มี “นางผีเสื้อสมุทร” ใน “พระอภัยมณี” ของ “สุนทรภู่” และคำว่า “คนผีทะเล” ยังใช้เป็นคำที่ผู้หญิงใช้ด่าว่าผู้ชายเจ้าชู้ที่มาติดพัน ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวกับผีทะเลตรงไหน แต่คำนี้แม้จะเป็นคำด่าว่า แต่ก็มีสำเนียงของความเสน่หาแฝงอยู่ไม่น้อย ไม่ใช่เรื่องที่จะด่าจริงจังนัก ผู้ชายที่ถูกผู้หญิงด่าว่า “คนผีทะเล” ก็อย่าได้ท้อถอย เปอร์เซ็นต์ความหวังยังมีอยู่ แต่ถ้าด่าว่า “ไอ้เปรต” หรือ “ไอ้ผีนรก” ก็ลี้ได้เลย อย่าไปเสียเวลาจีบอีก ...นี่บอกอย่างผู้มีประสบการณ์เชียวนะ
สภาพความเป็นอยู่ของผีตองเหลือง
ผีถ้วยแก้ว
เป็นการเล่นที่น่าประหลาดอย่างหนึ่งของคนเชื่อผี ซึ่งฝรั่งก็เล่นกัน โดยเอากระดาษแผ่นหนึ่งมาวางบนโต๊ะหรือบนพื้นก็ได้ แล้วเขียนอักษรพร้อมพยัญชนะทุกตัวลงบนกระดาษนั้น ถ้าจะมีคำถามเกี่ยวกับเลขก็เขียนเลขลงไปด้วย ให้แต่ละตัวห่างกันพอที่แก้วครอบได้ตัวเดียว จากนั้นก็หาถ้วยแก้วใสเล็กๆมาใบหนึ่ง หลังจากจุดธูปเชิญผีที่ต้องการมาสิงในถ้วยแก้วแล้ว ก็คว่ำถ้วยลงกลางกระดาษ ให้คนที่จะเล่น ๓-๔ คนล้อมวงเข้ามา แล้วเอานิ้วของแต่ละคนแตะไว้ที่ก้นแก้วเพียงเบาๆ นิ้วไหนก็ได้ตามถนัด จากนั้นก็ตั้งคำถาม เช่น “ท่านที่อยู่ในถ้วยเป็นใคร?” “เขารักหนูเหมือนหนูรักเค้าหรือเปล่าคะ ผีจ๋า?” ถ้วยแก้วก็จะเลื่อนไปที่ตัวอักษร เมื่อบันทึกไว้แล้วถ้วยแก้วก็จะเลื่อนไปที่ตัวต่อไป จนได้คำตอบตามที่ต้องการ ถ้าขอหวย ถ้วยแก้วก็จะเลื่อนไปที่ตัวเลข ใช้วิธีนี้ขอหวยก็คงจะดีกว่าไปขูดต้นไม้ให้บอบช้ำ

การที่ถ้วยแก้วเลื่อนไปนั้นเป็นเรื่องมหัศจรรย์ และก็เป็นเรื่องน่าสงสัย ว่าถ้วยเลื่อนไปด้วยพลังผี หรือพลังจิตของคนที่แตะถ้วยแก้ว แต่อย่างไรก็ตาม “ผีถ้วยแก้ว” ก็เป็นเกมอย่างหนึ่งที่เล่นกันมานานแล้ว

ผีตองเหลือง
ไม่เกี่ยวกับผีสางนางไม้ใดๆทั้งสิ้น เป็นมนุษย์ร้อยเปอร์เซ็นต์ และมนุษย์เป็นๆ แต่เป็นคนป่าเผ่าหนึ่งที่ยังห่างไกลความเจริญ นับเป็นคนป่าเผ่าสุดท้ายในเมืองไทยที่หันมายอมรับอารยะธรรมเมือง เรียกตนเองว่า “มลาบี” หมายถึง “คนป่า” เร่ร่อนหากินอยู่ในภาคเหนือหลายจังหวัด ปัจจุบันมีอยู่ในจังหวัดแพร่และน่านเท่านั้น ไม่ปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์ ใช้ไฟหุงอาหารในกระบอกไม้ไผ่ ปลูกเพิงพักอาศัยมุงด้วยใบกล้วยป่า เมื่ออาหารในย่านนั้นขาดแคลน หรือมีคนเผ่าอื่นมาพบ ก็จะอพยพไปหาแหล่งอาหารใหม่ เพราะไม่อยากเจอหน้าคน ซึ่งก็มักจะพอดีกับที่ใบตองมุงหลังคาแห้ง คนทางเหนือจึงเรียกมลาบีว่า “ผีตองเหลือง”

ผีตองเหลืองในสายตาของคนเมือง เป็นคนป่าที่ไม่มีความเจริญ ไร้อารยะธรรม แต่มลาบีก็มีประเพณีที่เคร่งครัดในการมีผัวเดียวเมียเดียว จะมีเมียใหม่ก็ได้ แต่ต้องเลิกร้างกับเมียเก่าก่อน การมีซ้อนถือว่าผิดผี ทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงโทษด้วยการทำให้แหล่งอาหารหมดไป ซึ่งจะเป็นผลต่อชาวมลาบีทั้งหมด มลาบีมีพิธีกรรมเซ่นสรวงบรรพบุรุษ ผู้รักษาป่า ภูเขา และลำห้วย อันเป็นแหล่งอาหาร จึงไม่ตัดต้นไม้ทำลายป่า รู้คุณค่าของธรรมชาติอันเป็นแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยยิ่งกว่าคนเมืองเสียอีก

ผีบุญ
นี่ก็แบบเดียวกับผีตองเหลือง คือเป็นคนเป็นๆนี่เอง แต่แสดงตัวเป็นนักบุญผู้วิเศษ มีอิทธิฤทธิ์เหนือมนุษย์ โดยหลอกคนเหมือนผี เกิดขึ้นหลายรายในภาคอีสานที่ผู้คนยังเชื่อเรื่องภูตผีและไสยศาสตร์ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีผีบุญรายหนึ่งอ้างคำพยากรณ์ว่าจะเกิดเภทภัยใหญ่หลวง หินแฮ่ หรือหินลูกรัง จะกลายเป็นเงินเป็นทอง ฟักเขียวฟักทองจะกลายเป็นช้างม้า ควายทุยควายเผือกและหมูจะกลายเป็นยักษ์กินคน ถ้ากลัวถูกยักษ์กินก็ให้ฆ่าวัวควายฆ่าหมูเสียก่อนที่จะกลายเป็นยักษ์ในกลางเดือนหก ผู้ที่เป็นสาวหรือไม่สาวแต่ยังโสด ก็ให้รีบหาผัวเสีย เพราะยักษ์จะจับกินเฉพาะคนที่ไม่มีผัว ทำให้ราษฎรไม่มีวัวควายจะทำนา ผู้ชายก็ขาดตลาด คนที่ร่างกายแข็งแรงก็ตั้งหน้าตั้งตาไปขุดหินแฮ่กันหมด ต้องไปอ้อนวอนคนพิการ ไปเอาเด็กที่ไม่ประสีประสามาสอนทำผัว ดีกว่าถูกยักษ์กิน

ผีบุญสามารถรวบรวมคนได้เป็นจำนวนหมื่น ตั้งค่ายตั้งกองทัพ หวังจะยึดเมืองอุบลราชธานีเป็นอิสระจากรัฐบาลสยาม เมื่อทางการส่งคนไปปราบ ก็ถูกฝ่ายผีบุญฆ่าเสียเกือบไม่เหลือ เลยต้องลากปืนใหญ่ไปถล่ม ผู้วิเศษจึงกระเจิงหนีข้ามไปฝั่งลาว

แม้ผีบุญจะหัวขาดกันเป็นแถว แต่ก็ยังมีคนไม่เข็ดหลาบ ผีบุญรายล่าสุดเกิดในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่มี ม.๑๗ เป็นอาญาสิทธิ์อยู่ในมือ มีชื่อว่านายศิลา วงศ์สิน อายุ ๕๐ ปีเศษ ตั้งตัวเป็นผู้วิเศษสามารถปลุกเสกให้อยู่ยงคงกระพัน มีลูกศิษย์เลื่อมใสเป็นจำนวนมาก ได้นำลูกศิษย์ราว ๒๐๐ คนเข้าจับจองที่ดินที่หมู่บ้านตำบลใหม่ไทยเจริญ อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา ประกาศเป็นดินแดนอิสระ ไม่ขึ้นอยู่กับการปกครองของใคร พร้อมกันก็สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์ และสถาปนาเมียสาวคราวลูกขึ้นเป็นราชินี

เมื่อนายอำเภอนำตำรวจบุกขึ้นไปบนเรือน แจ้งข้อหาก่อการกบฏภายในราชอาณาจักรและแบ่งแยกดินแดน นายศิลากลับแผดเสียงตวาดลั่นว่า

“เฮ้ย ไอ้พวกนี้หมิ่นพระบรมเดชานุภาพกู”

จากนั้นไม้คมแฝกอันหนึ่งก็เหวี่ยงเข้าที่ต้นคอของนายอำเภอถึงเซตกเรือน ร้อยตำรวจเอกที่ขึ้นไปด้วยกระตุกปืนพกที่เอวขึ้นมา แต่ยังไม่ทันลั่นไก ก็ถูกคมแฝกอีกอันเหวี่ยงเข้าต้นคอเซถลาตกเรือนไปอีกคน ส่วนเจ้าหน้าที่ที่คอยนายอำเภออยู่ที่หัวบันได ก็ถูกบริวารนายศิลาซึ่งไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนพุ่งเข้าตะลุมบอน มีเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด ป่าไม้อำเภอลงไปนอนดิ้น ครูใหญ่นอนจมกองเลือดไม่กระดิก ที่เหลือก็ตะเกียกตะกายขึ้นรถหนีตายสุดชีวิต

เมื่อได้รับรายงานว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐเสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ถึง ๕ คน ทางจังหวัดจึงส่งกำลังตำรวจสมทบด้วยสารวัตรทหารมุ่งไปที่หมู่บ้านใหม่ไทยเจริญ หลังจากยิงต่อสู่กันอยู่พัก นายศิลากับสมุนพยายามจะข้ามโขงหนีเข้าลาว แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำด่านสกัดจับไว้ได้ ถูกนำตัวเข้ามาสอบสวนที่กรุงเทพฯ ซึ่งนายศิลาได้ปฏิเสธทุกข้อหา จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีซึ่งควบตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจด้วย ได้รุดไปสอบสวนด้วยตนเองที่กองปราบ จอมพลสฤษดิ์บอกให้นายศิลาอมกระโถนให้ดู ถ้าอมได้จะเชื่อว่าเป็นผู้วิเศษจริง นายศิลาถึงกับคลานเข้าไปกราบเท้าขอความเมตตาอย่างสิ้นเรี่ยวแรง

หลังจากสอบสวนเสร็จ จอมพลสฤษดิ์ก็ให้นำตัวนายศิลากลับไปประหารชีวิตที่หมู่บ้านที่เกิดเหตุ เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๐๒ กระสุนบาเร็ตต้าจำนวน ๖ กระบอกปิดฉากผีบุญรายล่าสุด

ผีตากผ้าอ้อม
ไม่เกี่ยวกับผีสางนางไม้อีกเช่นกัน หมายถึงลำแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า หรือลับไปไม่นานขณะที่ท้องฟ้ามีเมฆมาก แสงอ่อนๆของดวงอาทิตย์จะสะท้อนก้อนเมฆ สาดสีส้มปนเหลืองเหมือนสีทองอร่ามไปทั่วท้องฟ้าด้านตะวันตก รวมทั้งพื้นดินพื้นน้ำให้เหลืองอร่ามไปด้วย เป็นความงามตามธรรมชาติที่แปลกตากว่าพระอาทิตย์ตกตามปกติ คนโบราณจินตนาการบรรเจิด มองเห็นเป็นสีผ้าอ้อมที่ผีเอาออกมาตาก

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถานก็อธิบายไว้ว่า

“ผีตากผ้าอ้อม น. แสงแดดที่สะท้อนกลับมาสว่างในเวลาจวนพลบในบางคราว”
ผีพุ่งใต้
ผีพุ่งไต้
ผีพุ่งไต้ ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องผีเรื่องสางอีก เป็นดวงไฟที่พุ่งไปในท้องฟ้า คนโบราณจินตนาการว่าเหมือนผีพุ่งไต้ หรือคบไฟ ไปในอากาศ แต่ความจริงเป็นดาวนพเคราะห์ดวงเล็กที่โคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์ แล้วหลุดเข้ามาในชั้นบรรยากาศของโลก จึงถูกแรงดึงดูดของโลกดึงเข้ามา แต่เนื่องจากตกลงมาด้วยความเร็วสูง จึงเสียดสีกับชั้นบรรยากาศของโลก เกิดความร้อนจนลุกไหม้เป็นดวงไฟ ส่วนใหญ่จะหลอมละลายไปในชั้นบรรยากาศ บางดวงที่ใหญ่จนหลอมละลายไม่หมด ก็ตกลงมาบพื้นผิวโลก ซึ่งเรียกกันว่า “อุกาบาต”

คนโบราณมีข้อห้ามไว้ว่า ถ้าเห็นผีพุ่งไต้ก็อย่าได้ไปชี้เข้าเชียว เพราะผีพุ่งไต้ก็คือวิญญาณที่จะลงมาจุติในโลกมนุษย์ หากไปชี้จะทำให้เบี่ยงเบน แทนที่จะไปจุติในท้องคน กลับไปเข้าท้องหมา แทนที่จะได้มนุษย์มาอีกคน กลับได้หมามาอีกตัว

ผีอำ
เป็นอาการอย่างหนึ่งของคนนอนหลับ แล้วเกิดความรู้สึกในขณะหลับว่า ร่างกายถูกตรึงไว้ขยับเยื้อนไม่ได้ จึงดิ้นสุดฤทธิ์แต่ก็หลุดได้ยาก บางคนแขวนพระที่คอ นึกถึงพระจึงพยายามออกแรงอย่างสุดชีวิตที่จะคว้าพระให้ได้ พอมือแตะพระอาการที่ว่านี้ก็หายไปทันทีทันใด พร้อมกับตื่นขึ้นมานอนหอบด้วยความเหนื่อย
คนสมัยก่อนเชื่อผีอยู่แล้ว จึงเชื่อว่าถูกผีเข้ามาทับร่างตรึงร่างไว้ และเรียกกันว่า “ผีอำ” แต่แพทย์สมัยใหม่อธิบายว่า อาการที่เกิดขึ้นนี้เกิดจากการนอนทับแขน หรือกดทับส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายจนเกิดเหน็บชา เมื่อพยายามดิ้นจนมือหลุดหรือพลิกร่างกายได้ อาการ “ผีอำ” ก็หายไป ความจริงหายแล้วจึงคว้าพระได้ ไม่ใช่หายเพราะคว้าพระ

ผีไม่มีศาล
ตามปกติผีดีที่ให้คุณแก่คน ก็จะมีคนสร้างศาลให้สิงสถิต ส่วนผีร้ายที่ความประพฤติไม่ดี จึงไม่มีใครอยากให้มาอยู่ใกล้ๆ จำต้องเป็นผีเร่ร่อนไม่มีที่สิงสถิตเป็นหลักเป็นแหล่ง คำนี้จึงถูกนำมาใช้เป็นสำนวนไทย หมายถึงคนที่อยู่ไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง เร่ร่อนอยู่ไม่เป็นที่ ทำให้เป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ ไม่น่าไว้วางใจ เช่นเดียวกับผีไม่มีศาล

เงินปากผี
เป็นความเชื่อของคนไทยในสมัยก่อน เมื่อญาติพี่น้องตายก็จะเอาเงินใส่ปากไว้ให้ สมัยก่อนก็เป็นเงินพดด้วง ต่อมาก็เป็นเหรียญหรือธนบัตร บ้างก็เย็บเป็นถุงใส่เงินมีเชือกมัดแล้วยัดไว้ในปาก เพื่อเอาไปใช้ในภพหน้า แต่บ้างก็ว่าเรื่องนี้เป็นคติทางพุทธศาสนา ให้เห็นว่าแม้แต่เงินที่อมไว้ในปาก เมื่อตายไปก็ยังไม่สามารถเอาไปได้

เงินปากผีถือว่าเป็นเรื่องน่ากลัว ถ้าใครเอาไปใช้ก็จะเกิดเภทภัยต่างๆเพราะผีลงโทษ แต่สัปเหร่อบางคนที่คุ้นเคยกับผีดี อย่าง นายไหล ตะเพียนทอง สัปเหร่อวัย ๗๒ ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในข่าวของ น.ส.พ.ข่าวสด ได้บอกญาติผู้ตายว่าเผาไปก็เปล่าประโยชน์ เก็บเอาไว้ทำบุญให้ผู้ตายดีกว่า ที่เป็นเหรียญก็หยอดกระปุกไว้ ที่เป็นธนบัตรก็ใส่ซองติดไว้ข้างฝาบ้าน สะสมมาเป็นเวลาถึง ๔๕ ปี ได้ ๒ หมื่นกว่า และยังไม่เคยถูกใครขโมย เพราะคงกลัวเจ้าของเงินที่มีอยู่มากมายหลายราย ขืนขโมยไปก็จะถูกผีรุมแน่

ตอนนี้มีคนบอกว่า สัปเหร่อยุคใหม่บางคนฉลาดกว่านั้น แม้แต่เสื้อผ้า รองเท้า ซึ่งศพของคนมีฐานะก็มักจะแต่งตัวดีตามฐานะ เห็นว่าเผาไปก็เปล่าประโยชน์ เอาไปให้คนมีชีวิตอยู่เขาใช้ดีกว่า ทั้งยังได้คติอีกอย่างด้วยว่า มาอย่างไรก็ไปอย่างนั้น อย่าไปกอบโกยอะไรไว้ให้มันมากมายเกินความพอเพียงไปเลย
นายไหล ตะเพียนทอง กับเงินปากผีที่สะสม
ผีถึงป่าช้า
เป็นสำนวนไทยหมายถึงว่า เมื่อขนศพไปถึงวัดแล้ว ไม่ว่าจะถูกสัปเหร่อโก่งราคา หรือว่ามีปัญหาอื่นใดก็ตาม ไม่มีใครขนศพออกจากวัดอีก เพราะจะเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายเพิ่ม ต้องฝังต้องเผากันลูกเดียว ความหมายเดียวกับ “มัดมือชก” เป็นภาระจำยอมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แม้จะไม่พอใจก็ตาม

ผีขนุน - ผีมะขาม
เรื่องนี้ผู้เขียนไม่มีประสบการณ์เลยจริงๆ สาบานได้...ท่านที่สนใจต้องไปหาความรู้แถวริมคลองหลอดและสนามหลวงเอาเอง แต่เกรดของผีมะขามจะต่างกับผีขนุน คือสดใสกว่า สาวกว่า และไม่ได้ห่มสไบเฉียงมาแบบผีโบราณ บางทีก็แปลงร่างอัพเกรดมาในชุดนักศึกษา...แน่ะ เผลอทำเป็นรู้ดีซะแล้ว

ตอนนี้ทั้งผีขนุนและผีมะขาม เหลือเพียงตำนาน เพราะถูกกวาดล้างไปหมดแล้ว

นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของสารานุกรมผี ซึ่งยังมีอีกมาก หากสนใจ ก็จะมาเล่าอีกในโอกาสต่อไป
การแสดงภาพผีขนุน
ผีมะขามกำลังเจรจากับลูกค้า


กำลังโหลดความคิดเห็น