แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายของ “ครูปิ๋ม-เสาวณีย์ กาญจนโอฬารศิริ” ครูสอนร้องเพลงที่เข้ามาร่วมฝึกให้กับไอดอลสาว BNK48 ตั้งแต่แรกเริ่มตั้งวง จากเด็กสาวธรรมดาที่ผ่านการออดิชัน สู่วันนี้ที่ขึ้นแท่นยืนหนึ่งของเมืองไทย จนมีลูกศิษย์รุ่นที่ 2 เข้ามา และโจทย์อย่างการพัฒนา 2 สาวชาวต่างชาติ รวมทั้งการแปลงเพลงจากญี่ปุ่นเป็นเนื้อไทย นั่นไม่ใช่แค่เรื่องยากหรือง่าย แต่เป็นความท้าทายที่เธอต้องเผชิญ...
จุดเริ่มต้นการได้เข้ามาสอนร้องเพลงให้กับ BNK48
ครูปิ๋ม : จริงๆ เป็นการชักชวนจากครูเอ๊ะ พงศ์จักร พิษฐานพร ผู้อำนวยการด้านเพลง BNK48 มาคุยบอกเขาอยากได้คนที่สอนนักเรียนอารมณ์ประมาณแบบ ออน กรกมล ชัยวัฒนเมธิน นักร้องวงละอองฟอง ซึ่งเป็นลูกศิษย์ที่ครูส่งให้ครูเอ๊ะ จากเด็กหลายคนที่ให้เลือก สุดท้ายครูเอ๊ะก็เลือกออนไปเป็นนักร้องวงละอองฟอง ก็เลยเข้าใจ แต่ก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร วันที่เริ่มมาเจอหน้าเด็กๆ เจอการร้องของเด็กๆ ครูก็แบบว้าว แปลกมากเลย เราเคยชินกับการที่รายการอื่นๆ ที่เคยผ่านมา ที่ครูไปเป็นกรรมการหรือว่าการที่ได้ฝึกนักร้องต่างๆ ส่วนใหญ่เขาจะเลือกจากเด็กที่เจ๋ง ร้องดี เต้นดี คาแรคเตอร์มาดี มีครบทุกอย่างแล้ว แล้วคนนั้นก็จะเป็นผู้ชนะและถูกคัดเลือก แต่อันนี้ไม่ใช่เลย (หัวเราะ)
“เขาใสจริงๆ ร้องก็ไม่ค่อยได้ เต้นก็ไม่ค่อยได้ จะมีบางคนมีพื้นฐานมาแล้วบ้าง บางคนก็ยังผมแบบ อะไรแบบนี้ แต่มันมีเสน่ห์มาก คือสุดท้ายกระบวนการที่เราพัฒนาเขามันเห็นการเปลี่ยนแปลงเยอะแยะมากมาย เขาเองเขาก็พัฒนาตัวเองให้เราเห็นด้วย แล้วมีการเปลี่ยนแปลงชัด เอาเป็นว่าถ้าเราไปดูรูปเก่าๆ ของเด็กๆ ตอนเข้ามาใหม่ๆ แล้วเปรียบเทียบกับตอนนี้ในปัจจุบัน โอ้โห เฮ้ย คนนั้นเป็นใคร หรือบางทีถ้าเกิดมีการเปิดรูปย้อนพวกเด็กๆ ก็จะนั่งขำกัน คือแบบว่ามันตลกจริงๆ ว่าแบบเฮ้ยนี่ชั้นมาไกลมากเลยนะ แต่ว่ามันเป็นเสน่ห์ที่เขาเลือกพวกคุณมา ครูว่ามันเป็นอะไรที่ดีมากอะ (หัวเราะ)”
ช่วงแรกๆ ที่สอนเป็นอย่างไรบ้าง?
ครูปิ๋ม : (หัวเราะ) ครูเจอมานักเรียนหลายรูปแบบเพราะฉะนั้นมันไม่ยากจนเกินไป เฮ้ย มันช็อกแป๊บนึง แต่เราก็ตั้งสติได้ว่า ได้สิ มันต้องได้ แล้วพอเขาเริ่มเปิดใจหรือจะสู้ คือจะมีช่วงท้อบ้างเพราะถ้าเขาพื้นฐานไม่ได้ดีมากก็ย่อมที่จะอาศัยพลังอย่างแรงกล้า ก็จะมีบางทีที่เขารู้สึกไม่ดี แต่พอผ่านพ้นช่วงนั้นไปได้เขาก็จะดีขึ้น คือถ้าถามว่ามีใครว้าว ก็ไม่นะ อันนี้คือพูดจากใจเลยนะ มันไม่ว้าวเลยในเรื่องของการร้อง แต่ว่าตอนนี้ก็ว้าวแล้วนะ ทุกคนน่ะพัฒนา แต่ละคนก็พัฒนาในมุมที่แตกต่างกัน ครูเข้าใจนะว่าต่อให้คนที่ร้องดีที่สุด เขาก็มีมุมที่พัฒนาในรูปแบบของเขา หรือว่าคนที่เขาร้องแย่ที่สุดเขาก็พัฒนาในมุมของเขา
“มันจะมีความขยันของคนที่แตกต่างกัน แต่คนที่ขยันก็ขยันจริงๆ ส่งการบ้านสุดๆ ก็หลายคน บางทีครูก็ต้องอยู่ดึกไปกับเขาเพราะว่าส่งการบ้านมาดึกมาก ตี 2 คุณยังส่งอยู่เลย บางทีครูต้องบอก นอนได้แล้วมั้ย พอดึกๆ มากๆ มันก็ไม่ดีเพราะว่าเขาต้องมีงาน ไปเรียน ครูก็ไม่อยากให้อยู่ดึก เพราะว่าการนอนเป็นการรักษาเสียงด้วย แต่ว่าเขาก็ขยันในมุมที่เขาต้องทำงาน ต้องเรียน เขามีเวลาแค่นี้จึงอาจจะมาตอนดึก เขาก็จะบอกครูอย่าไล่หนูไปนอนได้มั้ย ก็จะมีการแซวๆ กัน แต่ก็เข้าใจได้”
ครูปิ๋ม : อย่างครูอยากจะพูดเรื่องการบ้านด้วย เพราะบางทีเราไม่ได้มีเวลาเข้าเรียนกันเพราะติดภารกิจ เดี๋ยวนี้วงยิ่งมีงานเยอะ บางคนต้องเรียนหนังสือก็ไม่ได้มาเข้าเรียน ครูก็บอกทุกคนอยู่แล้วว่าให้ส่งการบ้านมาได้เลย การบ้านในมุมของครูไม่จำเป็นต้องมีโจทย์ คุณอยากร้องเพลงไหนล่ะ เพลงบีเอ็นเคมีตั้งเยอะ ส่งมาเลย ครูก็จะเป็นคนที่รู้ว่า เนี่ยคนเนี่ยขยัน คนนี้เมื่อก่อนจะขยัน เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยขยัน ก็จะมีแบบนี้เห็นอยู่
ความแตกต่างระหว่างรุ่น 1 และ รุ่น 2
ครูปิ๋ม : มันเป็นเสน่ห์ ก็เหมือนเพลงฤดูใหม่ของสมาชิกรุ่นที่ 2 เลยเนอะ ก็จะดูแบบบ สดใสน่ารัก ไม่ค่อยคิดมาก แล้วก็มาแบบช่างพูดช่างคุย คือแตกต่างกันในมุมของคาแรคเตอร์เด็กเองมั้ง ถ้าในเรื่องของความสามารถก็จะแตกต่างกันอยู่บ้าง อย่างรุ่น 1 ตัวเขาเองเขาอาจไม่ได้ชัดเจนว่า เฮ้ย มันคืออะไร ก็จะมาแบบใสๆ เลย บางคนไม่ได้มีพื้นฐาน ร้องยังไง เต้นยังไง แต่ว่าคนที่มาออดิชั่นในรุ่นที่ 2 ทั้งหมด โอ้โห มาเต็ม เขามีเป้าหมายที่ชัดเจน เขารู้ว่าเขามีรุ่นที่ 1 เป็นไอดอล เขาต้องการเป็นอะไร เขาจะชัดเจน เขาจะมาแบบมีเป้าหมายมากๆ ก็จะต่างกันนิดนึง
การสอนชาวต่างชาติอย่าง “รินะ อิซึตะ” และ “มิโอริ โอคุโบะ” 2 สมาชิกชาวญี่ปุ่น ยากมั้ย?
ครูปิ๋ม : รินะ กับ มิโอริ เขามีปัญหาเรื่องภาษาอย่างมาก ต้องเข้าใจว่าเขาเป็นคนญี่ปุ่น แต่ว่าเพราะความพยายาม ความขยัน คือเขาต้องทำให้ได้ โจทย์เขาคือมันมีคำตอบเดียวว่าคุณต้องทำให้ได้ เขาก็ต้องทำให้ได้ เพราะฉะนั้นก็ทำไปด้วยร้องไห้ไปด้วยแน่นอนคือมันเป็นเรื่องธรรมดา มันแบบ มันมีความยากกว่าคนอื่น มีความยากในมุมที่ว่านอกจากเรื่องโน้ต เขายังต้องมีปัญหาในการออกคำในภาษาไทยอีก และทำยังไงให้เหมือนเสียงภาษาไทย มันก็ยาก แต่ว่าวันนี้เขาก็พัฒนาขึ้นเยอะ ถ้าทุกคนจะเห็น ดีขึ้นเยอะทั้งคู่เลย บางทีร้องเพลงไทยมานี่แบบว่าเพื่อนๆ กรี๊ด ร้องชัดกว่าบางคนอีก (หัวเราะ)
“ในก๊วนเราก็จะมีคนที่แบบว่าออกคำไม่ชัด เราก็จะให้ดู รินะ กับ มิโอริ เป็นตัวอย่างว่าเฮ้ย ดูเขาสิ เขายังทำได้เลย”
ความยากในการเขียนเพลงให้กับ BNK48
ครูปิ๋ม : เขาจะใช้คำว่าเขียนเลยก็ไม่ได้ เพราะโจทย์มันจะแตกต่าง อย่างสมมุติว่าตอนที่อยู่แกรมมี่ หรือที่ได้รับโจทย์เพลงอื่นๆ มันก็จะเป็นโจทย์ว่าละครเรื่องนี้ มันเป็นแบบนี้นะ พระเอกกับนางเอกอย่างนี้นะ แล้วเขาต้องการแอบรักน่ะ ก็จะบอกมาแค่นี้ แต่สำหรับเพลงของบีเอ็นเค มันมีเนื้ออยู่แล้ว อย่างเอเคบี48 เขาก็จะใช้เนื้ออันนี้ แต่ว่าเราเหมือนจะแปล แต่ก็ไม่ใช่แปล ถ้าคนที่รู้ภาษาญี่ปุ่น 3-4 พยางค์ ในภาษาญี่ปุ่น จะเท่ากับ 1 คำไทย มันก็จะไม่สามารถเป๊ะๆ ได้ เพราะฉะนั้นเราเหมือนกับเป็นคนที่เรียบเรียงภาษาไทย เรารู้ว่าเราจะอ่านเรื่องราวทั้งหมด แต่ว่ามันก็จะถูกกำหนดไว้อีกว่าแต่ละประโยคมันจะพูดเรื่องนี้ เพราะว่ามันมีเรื่องของท่าเต้น ที่ต้องไปเชื่อมโยงกับเพลงด้วย ค่อนข้างเป็นโจทย์ที่ยากสำหรับคนที่เคยใช้จินตนาการอันกว้างไกลในการเขียนเรื่องราว แบบท่อนนี้ชั้นจะบิ้วแบบนี้ก็ไม่สามารถจะทำแบบนั้นได้เสียทีเดียว ควรจะต้องอยู่ในกรอบด้วย
แต่ครูมองว่ามันเป็นความสนุกนะ เออ มันแปลกดี แล้วก็คือคนญี่ปุ่นก็จะมีวัฒนธรรมญี่ปุ่น อย่างสมมติว่าเพลงไทย ถ้ามีดาว กับมีฉัน ถ้าจะพูดก็พูดว่า ฉันน่ะเฝ้ามองดาว จะเปรียบเธอเป็นดาว เพราะว่าเธออยู่เกินเอื้อม แต่ในเพลงของญี่ปุ่นที่ครูแปล ชื่อ อุณหภูมิของดวงดาว (Hoshi no Ondo) กลายเป็นว่า เธอเป็นคนส่วนชั้นน่ะเป็นดวงดาว พยายามส่องแสงมาหาเธอแต่เธอก็ไม่เคยเห็น มันจะเป็นมุมมองที่แบบ เออ เฮ้ย คนไทยกับญี่ปุ่นนี่มองไม่เหมือนกันเนอะ แปลกดี แต่ครูว่ามันน่ารักดี เราต้องพยายามที่จะทำให้มันดูกลมกลืนให้ได้ ก็จะเป็นมุมมองแปลกๆ
จนไปถึงการเรียบเรียงเพลง “หมื่นเส้นทาง” (yume e no route)
ครูปิ๋ม : ตอนที่ได้รับโจทย์มา ครูก็ฟังแล้ว หูย ดนตรีฮึกเหิมมากเลยเนอะ พอไปดูเรื่องราวที่เกิดขึ้นข้างในแบบ เอ๋.. อึ้ม.. อันนี้มันเหมือนนิดๆ นะ แล้วก็รู้สึกแบบเจ๋งมากเลยเพลงนี้ แต่พอเขียนเข้าจริงๆ ก็รู้สึกแ บบโอโหยากจังเลย เพราะว่าคำมันเยอะๆๆๆ ก็พยายามที่จะตั้งใจ หลายๆ อย่างที่เราเห็นจากตัวพวกเด็กๆ เองแล้วเรารู้สึกว่า เขารู้สึกอะไร เขาอยากพูดอะไรในมุมแบบนี้ แล้วก็สวมวิญญาณคิดคำพูดขึ้นมา อย่างบางอย่างมันไม่ใช่แบบที่เขากำหนด เราก็รู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรเราก็พยายามจะใส่เข้าไป ในมุมมองของครูนะ อาจจะมีคนบอกเฮ้ย ก็ไม่ได้คิดแบบนี้หรือเปล่า แต่ว่าอันนี้เป็นมุมมองของครู ที่ครูรู้สึกว่า เออ ถ้าครูเป็นเขา ครูอยากพูดแบบนี้
หลายคนก็ดูจะชอบเพลงนี้มาก
ครูปิ๋ม : ดีจังเลยที่ทุกคนชอบ มันรู้สึกว่าดีจังที่มีคนเข้าใจ และมีหลายๆ คนที่เห็นภาพนี้ด้วย ภาพที่รู้ว่าเขาต้องผ่านอะไร รู้ว่าเขาจะรู้สึกยังไง
บ่งบอกถึงการที่ต้องต่อสู้กันเองภายในวง
ครูปิ๋ม : ใช่ จริงๆ อะ มันสู้กันโดยที่ถูกบังคับโดยระบบอยู่แล้ว เขาก็ยอมรับ ในตอนแรกเขาก็รู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมรับมันได้เสียทีเดียว มันก็มีความรู้สึกไง ความเป็นคนมันก็มีความรู้สึก แต่ว่าคนที่มีจิตใจที่เข้มแข็ง มันก็จะก้าวผ่านมันได้ แล้วครูก็อยากให้ทุกคนผ่านมันได้ให้หมด อยากให้ทุกคนมีกำลังใจแล้วให้รู้ว่ามีคนที่เฝ้ามองอยู่ คุณไม่ต้องมองอะไรไกลก็ได้ มองแค่คนที่เขาตามคุณ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณก็ยังมีคนเฝ้ามองนะ ที่คุณทำทุกอย่าง เหงื่อคุณไหล มันมีคนดูคุณอยู่นะ มันเป็นกำลังใจที่จะทำให้คุณก้าวไปได้ ก็ดีนะ มันเป็นอะไรที่ดี
ทำไมครูถึงถูกเลือกมาให้แต่งเพลงนี้
ครูปิ๋ม : ไม่รู้เหมือนกัน (หัวเราะ) ครูก็จะไม่ค่อยรู้อะไร ถ้าโยนโจทย์มาครูก็มีอะไรทำก็จะทำอย่างเต็มที่ทุกอย่าง พอได้รับโจทย์มาครูก็จะทำการบ้านก่อน แล้วก็จะฟังซ้ำๆ พยายามเหวี่ยงตัวเองเข้าไปอยู่ในนั้น แล้วก็คิดบรรยายมันออกมา แต่ก็อยู่ในกรอบที่เขากำหนดด้วย
สมาชิกที่ถูกเลือกมาร้อง ถือว่าตอบโจทย์ของเพลงหรือไม่
ครูปิ๋ม : เฮ้ย ครูว่ามันตอบโจทย์มาก ลูกศิษย์ทุกคนครูรักหมดเลยนะ อย่างสมาชิกในกลุ่มนี้ครูก็รู้สึกว่า เขาไม่ใช่ว่าไม่มีความสามารถ ถ้ามีโอกาสให้เขาได้แสดงออก มันก็เป็นสิ่งที่ดี แล้วพอถูกเลือกมาแบบนี้ครูบอกพวกคุณได้รางวัลแล้วล่ะ คุณได้แสดงความสามารถให้ทุกคนเห็น มันเป็นโอกาสของคุณ แม้ว่าจะเป็นเพลงเล็กๆ หรือเป็นเพลงรอง เราก็ไม่รู้ คือแบบว่าไม่ต้องมองตรงนั้น คือมองแค่ว่าคุณได้แสดงความสามารถแล้ว ดีใจด้วยนะ มันเจ๋งมาก แล้วทำให้ดีที่สุด ทุกคนก็แบบแฮปปี้ เห็นคุณค่ากับผลงานของเขา คือบางคนไม่มีโอกาสได้ดูเซมบัทสึในกลุ่มนี้สักเท่าไหร่ เพราะโอกาสเขาก็ไม่ได้เยอะ ครูก็มองว่า ก็ดี ลงตัว
คิดว่าวันนี้ BNK48 มาไกลกว่าที่คิดมั้ย?
ครูปิ๋ม : มาก แล้วครูคิดว่าน่าจะไปได้ไกลมากๆ อีกด้วยเหมือนกัน
อยากฝากอะไรไปถึงลูกศิษย์ใน BNK48
ครูปิ๋ม : เราก็เดินมาด้วยกันสักระยะนึงแล้ว มันก็ค่อนข้างไกลแล้ว ครูอยากให้ ไม่ว่าเราจะเจอปัญหาอะไร หรือว่าคิดอะไรอยู่ ปัจจัยเดียวที่เราจะควบคุมได้ ครูบอกเด็กๆ เสมอว่า มันคือตัวเรานะ ไม่ว่าคุณจะมีปัญหากับอะไรก็แล้วแต่ กับงาน หรือทุกสิ่งที่เจอ ปัจจัยที่เราแก้ได้คาดหวังได้คือตัวเราเอง เพราะฉะนั้น ให้เปลี่ยนที่ตัวเอง อย่าคิดที่จะไปเปลี่ยนอย่างอื่น อย่าคิดที่จะไปเปลี่ยนอะไรที่เราควบคุมไม่ได้ ครูอยากให้ทุกคนใช้สิ่งนี้ทำในการพัฒนาตัวเอง แล้วก็ก้าวไปให้ไกลที่สุดเท่าที่เราจะไกลได้ แล้วครูก็จะคอยเป็นเรือจ้างผู้ซื่อสัตย์ (หัวเราะ) ก็จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ครูก็อยู่ตรงนี้เสมอ เรือจ้างก็คือเรือจ้างเนอะ เราก็ส่งไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ สู้ๆ
“เวลาครูคอมเม้นท์ให้ลูกศิษย์ ครูจะลงท้ายด้วยความคำว่าสู้ๆ คำว่า สู้ๆ ของครูคือ เฮ้ย ครูพูดจริงๆ ว่า สู้ๆ”
สัมภาษณ์ , ภาพ , วิดีโอ , กำกับภาพ , ตัดต่อ : ดรงค์ ฤทธิปัญญา