xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 9-15 ธ.ค.2561

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

1.ศาลฎีกาพิพากษากลับ จำคุก “ธาริต” 1 ปี ไม่รอลงอาญา คดีหมิ่น “สุเทพ” ปมโรงพักฉาว 396 แห่ง!
(ซ้าย) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) (ขวา) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. ศาลฎีกาได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328

คดีนี้ โจทก์ฟ้องสรุปว่า ระหว่างวันที่ 21 ม.ค.-4 ก.พ. 2556 นายธาริต ขณะดำรงตำเเหน่งอธิบดีดีเอสไอ ได้แถลงข่าวกล่าวหาว่า นายสุเทพ ขณะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีได้สั่งการไม่ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ทำสัญญาก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจทดแทน 396 แห่งเป็นรายภาค ตามที่ สตช.เสนอ แต่กลับให้รวมสัญญาการจัดซื้อจัดจ้างให้บริษัท พีซีซี ดิเวลล็อปเม้นท์ แอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด เป็นผู้ชนะการประมูลเพียงรายเดียว จนเกิดปัญหาไม่สามารถก่อสร้างเสร็จทันตามกำหนด โดยคำแถลงของนายธาริตล้วนเป็นเท็จ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเสื่อมเสียชื่อเสียง

ต่อมา ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 26 มี.ค. 2558 ให้ยกฟ้อง ขณะที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้องเช่นกันเมื่อวันที่ 3 พ.ค.2559 เนื่องจากศาลเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังเพียงพอว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง หลังจากนั้นนายสุเทพได้ขออนุญาตฎีกาต่อและได้รับอนุญาต ซึ่งศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา

ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนถึงวันฟังคำพิพากษา 4 วัน นายธาริตได้ให้ทนายความแถลงข่าวโดยอ่านคำแถลงของตนที่สำนึกผิดและกราบขอขมาลาโทษกับสิ่งที่ตนเคยแถลงข่าวกล่าวหาและให้ร้ายนายสุเทพเรื่องโครงการก่อสร้างโรงพัก จนนายสุเทพยื่นฟ้องตน พร้อมขอให้นายสุเทพเมตตายกโทษให้ตนด้วย

ทั้งนี้ หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า การที่นายธาริตสำนึกผิดและขอขมาลาโทษนายสุเทพ อาจเป็นเพราะคดีนี้ ศาลฎีกานัดอ่านคำพิพากษาที่ศาลฎีกา ไม่ใช่ส่งไปให้ศาลอาญาอ่านเหมือนคดีอื่นๆ ทำให้นายธาริตอาจหวั่นเกรงว่า คดีอาจพลิก ถึงขั้นทำให้ตนติดคุกได้ หากศาลฎีกาตัดสินว่าตนหมิ่นประมาทนายสุเทพจริง

นายธาริตจึงประสานนายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด ให้เป็นคนกลางเจรจากับนายสุเทพขอให้ยกโทษให้ โดยได้แถลงขอขมานายสุเทพ พร้อมยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาขอถอนคำให้การเดิม เปลี่ยนคำให้การใหม่เป็นรับสารภาพ อย่างไรก็ตาม ทางนายสุเทพ หลังจากได้ปรึกษากับทีมทนายความของตนแล้ว ได้ออกมายืนยันว่า ไม่ให้อภัยนายธาริต เพราะนายธาริตเป็นผู้ที่ผดุงความยุติธรรม แต่ตั้งใจกระทำผิดเสียเอง จึงคิดว่าไม่ควรให้อภัย และว่า คดีความที่มีกับนายธาริต ไม่ใช่มีแค่คดีเดียว โดยนายธาริตได้เล่นงานภาคประชาชนที่เกี่ยวข้องและใกล้ชิดกับตนอย่างแสนสาหัส ตั้งแต่ปี 2552-2556 สร้างความเสียหายให้กับประชาชน รวมถึงการที่นายธาริตขึ้นเบิกความในแต่ละคดี ก็ให้การไม่ตรงกับความจริง ให้การเอาใจอีกฝ่ายอย่างชัดเจน

ด้านนายธาริต เมื่อเห็นนายสุเทพให้สัมภาษณ์ยืนยันไม่ให้อภัย จึงได้เผยแพร่เอกสารข่าวระบุทำนองว่า นายสุเทพได้บอกกับนายคณิต ผู้ใหญ่ที่เป็นคนกลางเจรจาไกล่เกลี่ยแล้วว่า ไม่ติดใจ แล้วทำไมจึงพูดเช่นนี้ หลังจากนายสุเทพไม่ให้อภัย นายธาริตจึงได้ให้ทนายนำเงิน 1 แสนบาทไปวางต่อศาลเพื่อเยียวยาโจทก์ คือนายสุเทพ โดยระบุว่า โจทก์มีสิทธิรับเงินดังกล่าวโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ พร้อมยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาขอให้ศาลลงโทษสถานเบา เพราะจำเลยได้รับสารภาพและมีการวางเงินเยียวยาแล้ว ไม่เท่านั้น นายธาริตยังทำหนังสือต่อศาลฎีกา สรุปทำนองว่า นายสุเทพไม่มีสิทธินำคดีนี้มาฟ้องแล้ว เพราะนายสุเทพเคยบอกกับนายคณิตแล้วว่า ไม่ติดใจการกระทำของตน จึงขอให้ศาลฎีกาสั่งยกฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ

ขณะที่นายสุเทพได้ให้ทนายยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา เพื่อให้ทราบว่า ไม่ได้มีการยอมความกับนายธาริตแต่อย่างใด และขอให้ศาลอ่านคำพิพากษาตามกำหนด

ด้านนายธาริตยืนยัน จะเดินทางไปฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาในวันที่ 14 ธ.ค. พร้อมเชื่อมั่นว่า ศาลฎีกาจะเมตตาตน และพร้อมรับในทุกกรณี

ทั้งนี้ ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันเเล้วเห็นว่า การให้สัมภาษณ์ของนายธาริต จำเลยเมื่อวันที่ 21 ม.ค.2556 ระบุว่า จากการตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่างๆ นั้น แต่เดิม สตช.เสนอให้การก่อสร้างโรงพักทดแทน 396 แห่ง กระจายเปิดประมูลในแต่ละภูมิภาค แต่นายสุเทพกลับสั่งให้รวมสัญญาการประมูลจัดซื้อจัดจ้างเพียงรายเดียว ทำให้บริษัท พีซีซี ดิเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด เป็นผู้ชนะการประมูล จนเกิดปัญหาที่ไม่สามารถก่อสร้างได้เสร็จทันตามกำหนด ศาลเห็นว่า คำให้สัมภาษณ์ของจำเลยเป็นการใส่ความโจทก์ เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นด้วย พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา

ส่วนที่จำเลยขอถอนคำให้การเป็นการรับสารภาพ ศาลระบุว่า ไม่อาจถอนคำให้การในชั้นฎีกาได้ ให้ยกคำร้อง ส่วนที่จำเลยอ้างว่า ได้มีการบรรเทาผลร้ายเเละการเจรจาไกล่เกลี่ยเป็นผลสำเร็จ มีการทำตามข้อตกลง สิทธิในการดำเนินคดีอาญาของโจทก์ต้องระงับไป ศาลเห็นว่า ยังอยู่ระหว่างการเจรจาไกล่เกลี่ย และการเจรจาไกล่เกลี่ยต้องคำนึงถึงคู่ความทั้งสองฝ่าย เมื่อโจทก์ไม่ประนีประนอม ให้จำเลยนำเงินวาง 1 แสนบาทคืนได้

หลังศาลฎีกาอ่านคำพิพากษา เจ้าหน้าที่ได้นำนายธาริต ขึ้นรถตู้ควบคุมตัวไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทันที

2.“บิ๊กตู่” ปลดล็อกพรรคการเมืองแล้ว ด้าน “ทักษิณ” รีบปลุกมวลชนร่วมแก้ รธน.ฉบับถ่วงความเจริญ!
(บน) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. (ล่าง) ภาพและข้อความที่นายทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาศาลฎีกาฯ จำคุก 2 ปีคดีซื้อที่รัชดาฯ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ซึ่งเป็นวันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ.2561 เริ่มมีผลบังคับใช้เป็นวันแรก ปรากฏว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ก็ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ปลดล็อกให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมการทางการเมืองได้ทันทีเช่นกัน

โดยเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 22/2561 เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. เรื่อง การให้ประชาชนและพรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมทางการเมือง โดยระบุว่า เมื่อ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มีผลบังคับใช้ หลังจากนี้จะมีการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.ในเร็ววันนี้ จึงเป็นที่แน่ชัดว่าจะมีการเลือกตั้งในระยะเวลาอันใกล้ ถือว่าเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญต่ออนาคตของประเทศ ประชาชนจึงควรมีส่วนร่วมในการตัดสินเลือกพรรคการเมืองเพื่อเข้าไปบริหารประเทศได้อย่างอิสระเสรี และพรรคการเมืองควรจะสามารถรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งเพื่อนำเสนอนโยบายที่ใช้ในการบริหารประเทศต่อประชาชนได้ ตามวิถีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ

จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 ยกเลิกคำสั่งและประกาศของ คสช.9 ฉบับที่ได้ออกมาก่อนหน้านี้ ประกอบด้วย 1.คำสั่ง คสช.ที่ 10/2557 เรื่อง ห้ามมิให้กระทำการใดๆ หรือสั่งให้กระทำการใดๆ เกี่ยวกับการทำธุรกรรมทางการเงินหรือดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินของบุคคล เท่าที่จำเป็นแก่การรักษาความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนโดยรวม 2.คำสั่ง คสช.ที่ 26/2557 เรื่องเดียวกับคำสั่งที่ 10/2557

3.ประกาศ คสช.ฉบับที่ 39/2557 เรื่อง การกำหนดเงื่อนไขการปล่อยตัวของบุคคลที่มารายงานตัวต่อ คสช. 4.ประกาศ คสช.ฉบับที่ 40/2557 เรื่อง การกำหนดเงื่อนไขการปล่อยตัวของบุคคลที่ถูกกักตัวตาม พ.ร.บ.กฏอัยการศึก พ.ศ.2557 5.ประกาศ คสช.ฉบับที่ 57/2557 เรื่อง ให้ พ.ร.ป.บางฉบับมีผลบังคับใช้ต่อไป เฉพาะในข้อ 2

6.คำสั่ง คสช.ที่ 80/2557 เรื่อง ให้บุคคลปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด 7.คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 เรื่อง การรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ เฉพาะข้อ 12 8.คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 53/2560 เรื่อง การดำเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง เฉพาะข้อ 4, 5 และ 7 9.คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 13/2561 เรื่อง การดำเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (เพิ่มเติม) เฉพาะข้อ 6

คำสั่งปลดล็อกครั้งนี้ ยังระบุด้วยว่า การยกเลิกประกาศและคำสั่ง คสช. ข้อ 3 , 4 และ 6 ให้ยกเลิกเฉพาะในส่วนที่กำหนดห้ามบุคคลหรือให้บุคคลใดละเว้นการเคลื่อนไหวหรือประชุมทางการเมือง หรือห้ามการดำเนินการช่วยเหลือสนับสนุนกิจกรรมทางการเมือง และให้หมายความรวมถึงเงื่อนไขการปล่อยตัวของบุคคลใดตามประกาศและคำสั่งดังกล่าวที่ห้ามหรือให้ละเว้นในเรื่องดังกล่าวด้วย

นอกจากนี้การยกเลิกคำสั่งและประกาศ คสช.9 ฉบับดังกล่าว จะไม่กระทบกระเทือนถึงการดำเนินคดี การดำเนินการ หรือการปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งที่ได้กระทำไปก่อนการยกเลิกโดยคำสั่งนี้แต่อย่างใด และในกรณีที่เห็นสมควร นายกรัฐมนตรีอาจเสนอให้ คสช.แก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งนี้ได้ โดยคำสั่งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

ทั้งนี้ หลัง พล.อ.ประยุทธ์ ใช้มาตรา 44 ปลดล็อกให้พรรคทำกิจกรรมทางการเมืองได้ นายทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาศาลฎีกาฯ จำคุก 2 ปีคดีซื้อที่รัชดาฯ ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า “วันนี้ การที่ คสช.จำต้องปลดล็อก ไม่ใช่เขามีความกรุณาต่อเรา แต่เป็นการเอาสิทธิขั้นพื้นฐานของเราที่เขาช่วงชิงไปเป็นระยะเวลาเกือบ 5 ปี คืนกลับมาให้บางส่วนต่างหาก แต่อย่างไรก็ตาม ต้องขอแสดงความยินดีกับพี่น้องชาวไทยด้วย ที่วันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความหวังที่เราจะได้รับสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคกลับคืนมา ถึงแม้ว่าอาจไม่เหมือนเมื่อครั้งได้ใช้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ปี 2540 เพราะรัฐธรรมนูญนี้ตั้งใจควบคุมและจำกัดสิทธิของประชาชนตามมาตรฐานสากล ดังนั้นต้องร่วมกันแก้รัฐธรรมนูญฉบับถ่วงความเจริญของประเทศฉบับนี้... ผมจะขอทำหน้าที่ในฐานะที่เคยรับใช้ประเทศไทยมาและใจก็ยังไม่ได้จากไปไหน”

ส่วนความคืบหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ และเมื่อใดนั้น ล่าสุด 13 ธ.ค.เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น เมื่อนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะรองหัวหน้าพรรค พปชร.เผยว่า ที่ผ่านมา ยังไม่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นผู้ที่มีการคาดกันว่า จะถูกเสนอชื่อ แต่วันนี้ เมื่อมีการปลดล็อกการเมืองแล้ว คิดว่าน่าจะถึงเวลาที่จะเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ได้แล้ว

3.ครม.ไฟเขียว “ปตท.สผ.” ได้สิทธิสำรวจ-ผลิตปิโตรเลียม “เอราวัณ-บงกช” ด้าน คปพ.ยื่น “บิ๊กตู่” ยกเลิกประมูล เหตุผิด กม.หลายจุด!

นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจรที่ จ.หนองคาย มีมติเห็นชอบให้บริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ร่วมกับบริษัท เอ็มพี จี 2 (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ชนะการประมูลยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทย หมายเลข G1/61 (แหล่งเอราวัณ) และบริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เป็นชนะประมูลยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทย หมายเลข G2/51 (แหล่งบงกช) เนื่องจากผ่านเกณฑ์ข้อเสนอทางเทคนิคตามที่กำหนด และยังเสนอราคาจำหน่ายก๊าซธรรมชาติต่ำกว่ารายอื่น โดยเสนอที่ 116 บาทต่อล้านบีทียู โดยให้กระทรวงพลังงานลงนามสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) ภายในเดือน ก.พ. 2562 ระยะเวลาสัมปทาน 20+10 ปี “ผู้ชนะได้ยื่นข้อเสนอทางเทคนิคผ่านตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขให้หน่วยงานของรัฐเป็นผู้ร่วมลงทุนกำหนด โดยได้เสนอค่าคงที่ราคาขายก๊าซธรรมชาติ 116 บาทต่อล้านบีทียู ต่ำกว่าราคาก๊าซในแหล่งเอราวัณปัจจุบันราคา 165 บาทต่อล้านบีทียู และในแหล่งบงกชราคา 214.26 บาทต่อล้านบีทียู เทียบเท่าส่วนลดค่าใช้จ่ายราคาก๊าซธรรมชาติให้กับประเทศ 5.5 แสนล้านบาท ในระยะเวลา 10 ปี หรือปีละ 55,000 ล้านบาท”

นายศิริกล่าวด้วยว่า หากนำส่วนลดราคาก๊าซธรรมชาติที่ได้จากทั้ง 2 แปลง มาใช้ลดค่าใช้จ่ายในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด จะประหยัดค่าไฟฟ้าได้ประมาณ 29 สตางค์ต่อหน่วย อย่างน้อยเป็นเวลา 10 ปี คาดว่าจะช่วยให้ผู้ใช้ก๊าซทุกรายที่แบ่งตามสัดส่วนการใช้ก๊าซ ประหยัดไฟฟ้าเฉลี่ย 17 สตางค์ต่อหน่วย จากปัจจุบันค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 3.60 บาทต่อหน่วย

นอกจากนี้ ผู้ชนะประมูลยังเสนอผลประโยชน์ตอบแทนรัฐมากกว่า 50% มากกว่าเงื่อนไขที่กำหนดให้ในเอกสารเชิญชวน โดยแหล่งเอราวัณเสนอผลประโยชน์ให้รัฐ 68% ผู้รับสัญญารับกำไร 32% แหล่งบงกชเสนอให้รัฐ 70% ผู้รับสัญญารับกำไร 30% ส่งผลให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นรวมอีก 1 แสนล้านบาท สร้างประโยชน์ให้ประเทศได้รวม 6.5 แสนล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างงานคนไทยในสัดส่วน 98% และยังช่วยลดการนำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) ได้ประมาณ 22 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 4.6 แสนล้านบาท ทำให้เกิดการลงทุนหมุนเวียนในประเทศอีก 1.1 ล้านล้านบาท

ด้านนายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าบริหาร บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือปตท.สผ. เผยว่า การประมูลครั้งนี้ ปตท.สผ.ได้ยื่นประมูลเองด้วยสัดส่วนการลงทุน 100% ในแหล่งบงกช ในขณะที่แหล่งเอราวัณนั้น ปตท.สผ.ประมูลร่วมกับบริษัท มูบาดาลา ปิโตรเลียม (ประเทศไทย) จำกัด ในสัดส่วนการลงทุน 60% และ 40% อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขที่กำหนดไว้ว่าต้องให้หน่วยงานรัฐเข้าร่วมถือหุ้นไม่เกิน 25% นั้น มติ ครม.ระบุว่า ได้เห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอว่า การให้สิทธิ์ในครั้งนี้ได้บรรลุวัตถุประสงค์ตามข้อกำหนดในเอกสารเชิญชวนให้ยื่นขอ (IFP) ที่ต้องการให้หน่วยงานรัฐเข้าร่วมลงทุนเพื่อตอบสนองความมั่นคงด้านพลังงานแล้ว เพราะ ปตท.สผ.เป็นหน่วยงานรัฐ "หลังจาก 1 ปีของการดำเนินงานแล้ว ตามข้อกำหนดก็สามารถเปิดหาพันธมิตรเข้าร่วมดำเนินการได้ เพราะโลกนี้เราไม่สามารถอยู่ได้คนเดียว ต้องทำให้คู่แข่งเป็นคู่ค้า เช่น อาจร่วมทุนหรือแลกพื้นที่ก็ได้ ถึงตอนนั้นจะดูอีกที และหากเป็นเชฟรอนเราก็ยินดี"

ด้านเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) ได้ทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอให้ยกเลิกการประมูลสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่มิชอบและจัดการประมูลขึ้นใหม่ เนื่องจากพบว่า การประมูลที่ผ่านมา มีจุดที่ผิดกฎหมายหลายส่วน เช่น จำนวนผู้เข้าประมูลและคุณสมบัติของผู้เข้าประมูลมิได้ทำให้ประเทศได้รับประโยชน์สูงสุด เพราะมีผู้เข้าประมูลไม่ถึง 3 ราย และบางรายอาจขาดคุณสมบัติ ซึ่ง คปพ. เคยมีหนังสือด่วนที่สุดแจ้งให้นายกรัฐมนตรีและบุคคลที่เกี่ยวข้องทราบเรื่องนี้แล้ว การประมูลครั้งนี้ย่อมเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา นอกจากนี้ หลักเกณฑ์การพิจารณาในการประมูลครั้งนี้ ยังเป็นการยักยอกผลประโยชน์ของประชาชนส่วนรวมไปให้เป็นประโยชน์แก่เอกชน ขณะที่การประมูลขายก๊าซราคาต่ำสุดครั้งนี้ ผลประโยชน์สูงสุดตกอยู่กับผู้ถือหุ้น ปตท. และบริษัทในเครือ ไม่ใช่รัฐและไม่ใช่ประชาชน

4.“บิ๊กตู่” ใช้ ม.44 ปลดล็อก “กรรมการสภามหาวิทยาลัย” ไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. หยุดปัญหาแห่ลาออก!
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.
ความคืบหน้ากรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ออกประกาศฉบับใหม่กำหนดให้กรรมการและผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานรัฐทุกแห่งต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. ซึ่งครอบคลุมถึงตำแหน่งนายกและกรรมการสภามหาวิทยาลัยด้วย โดยเป็นไปตามมาตรา 4 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ป.ป.ช. พ.ศ.2561 ซึ่งตอนแรกประกาศดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 ธ.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้นายกและกรรมการสภามหาวิทยาลัยบางแห่งเริ่มลาออก เพราะไม่อยากยื่นบัญชีทรัพย์สิน โดยให้เหตุผลว่า หากลืมยื่นบางรายการ หรือยื่นพลาด อาจมีความผิดทางอาญา ต่อมา ป.ป.ช.จึงมีมติขยายเวลาการบังคับใช้ประกาศดังกล่าวออกไป 60 วัน โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 31 ม.ค.2562 ปรากฏว่า ยังคงมีนายกและกรรมการสภามหาวิทยาลัยทยอยลาออกเรื่อยๆ

ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตัดสินใจลงมาแก้ปัญหาเรื่องนี้ด้วยการใช้อำนาจตามมาตรา 44 โดยเมื่อวันที่ 11 ธ.ค. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่คำสั่งหัวหน้า คสช.เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 โดยให้เหตุผลที่ต้องแก้ พ.ร.ป.ดังกล่าวว่า เพื่อให้การตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน รวมถึงการป้องกันการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตามหลักธรรมาภิบาล และเป็นไปตามหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ควรให้เป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช.ในการใช้ดุลพินิจกำหนดตำแหน่งผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน จึงต้องปรับปรุงแก้ไข พ.ร.ป. ป.ป.ช.

สำหรับสาระสำคัญของการแก้ไข พ.ร.ป. ดังกล่าว ได้แก่ 1.ให้ยกเลิกข้อความนิยามคำว่า “ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง” ในมาตรา 4 ของ พ.ร.ป. ป.ป.ช. ที่ระบุให้ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง ซึ่งต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. หมายความรวมถึงกรรมการและผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานรัฐทุกแห่ง โดยให้ยกเลิกและใช้ข้อความต่อไปนี้แทน “ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง” หมายถึง ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการ ที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล ซึ่งมิใช่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สำหรับข้าราชการพลเรือน และปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ สำหรับข้าราชการทหาร และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และให้หมายความรวมถึงผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัด กทม. กรรมการและผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ หัวหน้าหน่วยงานขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ แต่ไม่รวมถึงผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นตามที่กฎหมายกำหนด ผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานอื่นของรัฐตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.กำหนด หรือผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งเทียบเท่าตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.กำหนด

นอกจากนี้ คำสั่งหัวหน้า คสช.ยังระบุด้วยว่า 2.กรณีที่มีปัญหา ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีอำนาจในการตีความและวินิจฉัย โดยมติในการวินิจฉัย ต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ 3.ให้ยกเลิกข้อ 5 ของประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่กำหนดตำแหน่งของผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา 102 ของ พ.ร.ป. ป.ป.ช. 4.สำนักงาน ป.ป.ช.เร่งแก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช.ใหม่ให้ถูกต้องและสอดคล้องกับ พ.ร.ป. ป.ป.ช.เพื่อประกาศใช้ต่อไป และกรณีที่เห็นสมควร นายกรัฐมนตรีอาจเสนอให้ คสช.แก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งนี้ได้ โดยให้คำสั่งนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

ทั้งนี้ การใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของ พล.อ.ประยุทธ์ ในการแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช.ครั้งนี้ เท่ากับเปิดทางให้กรรมการสภามหาวิทยาลัยไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.ตามประกาศของ ป.ป.ช.ก่อนหน้านี้ แต่อาจต้องรอ ป.ป.ช.ออกประกาศเพื่อความชัดเจนอีกครั้ง

หลัง พล.อ.ประยุทธ์ ออกคำสั่งตามมาตรา 44 ดังกล่าว นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า คิดว่าเป็นทางออกที่ดี และ พล.อ.ประยุทธ์ คงเพราะเห็นแล้วว่า การกำหนดให้กรรมการสภามหาวิทยาลัย เป็นตำแหน่งที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน เกิดผลกระทบ ทำให้มหาวิทยาลัยเกิดความปั่นป่วนอย่างมาก จึงตัดสินใจใช้มาตรา 44 ซึ่งทำให้ปัญหาทุกอย่างจบลงได้ ส่วนกรรมการที่ลาออกไปแล้ว คงไม่สามารถทำอะไรได้ ซึ่งตนได้ย้ำมาตลอดว่า ให้ใจเย็น รอแนวทางแก้ปัญหาจากทางรัฐบาลก่อน แต่เมื่อลาออกไปแล้ว คงต้องสรรหาใหม่ตามกระบวนการ

ด้าน พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. เผย ว่า คำสั่ง คสช.ดังกล่าว ถือเป็นคำสั่งที่ช่วยคลายล็อกการทำงานให้ ป.ป.ช. สามารถใช้ดุลพินิจในการกำหนดตำแหน่งเฉพาะหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งที่ต้องยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินได้ โดยในวันที่ 4 ม.ค.นี้ ป.ป.ช.จะเชิญหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องมาหารือ โดยหลังหารือ จะมีการแก้ไขประกาศ ป.ป.ช.เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป และเมื่อแก้ไขประกาศ ป.ป.ช.แล้ว จะส่งผลให้กรรมการสภามหาวิทยาลัย และกรรมการกองทุนบางหน่วยงาน ไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.

5.มือปาระเบิดใส่กลุ่ม กปปส.รายที่ 4 ถูกรวบแล้ว สารภาพระหว่างหนี มีคนให้เงินใช้เดือนละ 3 หมื่น!
(บน) นายกฤษดา ไชยแค ผู้ต้องหาก่อเหตุปาระเบิดใส่ผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส. (ล่างซ้าย) จุดชุมนุมของกลุ่ม กปปส.บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิที่ถูกปาระเบิด (ล่างขวา) ผู้ชุมนุมของกลุ่ม กปปส.ได้รับบาดเจ็บหลังมีผู้ปาระเบิดใส่ขบวนนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ขณะเดินอยู่บนถนนบรรทัดทอง
ความคืบหน้ากรณีตำรวจไทยได้ประสานกับทางการกัมพูชา เพื่อติดตามจับกุมนายกฤษดา ไชยแค อายุ 47 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, กระทำให้เกิดการระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคล หรือทรัพย์สินของผู้อื่น, มีและใช้วัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้มีและให้ใช้ไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย, มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, พาอาวุธปืนและวัตถุระเบิดติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต , ยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมชน และฝ่าฝืนประกาศ ข้อกำหนดที่ห้ามนำอาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิดออกนอกเคหสถาน ตาม พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551

ล่าสุด สามารถจับกุมนายกฤษดาได้ที่ชายแดนไทยใกล้กับด่าน ต.คลองลึก จ.สระแก้ว เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา ด้าน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) เผยความคืบหน้าคดีดังกล่าวว่า เป็นคดีปาระเบิดใส่เวทีกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.เมื่อปี 2557 ซึ่งศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหาทั้งหมด 4 ราย ติดตามจับกุมได้แล้ว 3 ราย เหลือเพียงนายกฤษดาที่หลบหนีไปประเทศเพื่อนบ้าน กระทั่งล่าสุดนายกฤษดาได้เข้ามอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ เบื้องต้นผู้ต้องหารับสารภาพว่า ได้ร่วมกับพวกที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้ก่อเหตุปาระเบิดมาแล้ว 2 ครั้ง คือ 1. ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หน้าโรงพยาบาลราชวิถี จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 20 ราย และ 2. บริเวณถนนบรรทัดทอง โดยปาระเบิดใส่ขบวนของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส.จนมีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บหลายสิบคน

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์เผยด้วยว่า “หลังก่อเหตุผู้ต้องหายอมรับว่า ได้หลบหนีไปกบดานยังประเทศเพื่อนบ้าน ตั้งแต่ปี 2557 โดยมีบุคคลคอยให้ความช่วยเหลือทางการเงิน เดือนละ 30,000 บาท โดยไม่ต้องประกอบอาชีพใดๆ แต่เจ้าหน้าที่ได้ประสานความร่วมมือกับทางการกัมพูชาในการกดดัน รวมทั้งช่วงหลังเงินที่ส่งมาให้นายกฤษฎาเริ่มเหลือน้อย ไม่พอค่าใช้จ่าย จึงเดินทางเข้ามอบตัว และขณะนี้ได้นำตัวฝากขังที่ศาลอาญาเรียบร้อยแล้ว”

ผู้สื่อข่าวถามว่า การก่อเหตุดังกล่าวนายกฤษฎาสังกัดกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับ กปปส. หรือถูกจ้างวานมา พล.ต.ท.สุรเชษฐ์กล่าวว่า ผู้ต้องหาอ้างว่าเป็นกลุ่มการเมืองฮาร์ดคอร์ ได้รวมกลุ่มขึ้นมากันเองและเก็บรวบรวมอาวุธต่างๆ ไว้กับตัวเองเพื่อใช้ก่อเหตุ และมีส่วนร่วมในการก่อเหตุอื่นๆ รวมแล้วกว่า 10 ครั้ง นอกจากนี้ ในส่วนค่าหัว 700,000 บาทนั้น เป็นรางวัลนำจับของเจ้าหน้าที่ แต่ไม่ทราบจากหน่วยงานใด
กำลังโหลดความคิดเห็น