เปิดเส้นทางชีวิต “จอร์จ เอช ดับเบิลยู บุช” ผู้นำสหรัฐฯ คนที่ 41 กับบทบาทสำคัญ “สงครามอ่าวเปอร์เซีย” ร่วมกับชาติพันธมิตร 30 ประเทศ ต่อต้านการรุกรานคูเวตของ “ซัดดัม ฮุสเซน” ผู้นำอิรักที่ส่งทหารไปรุกราน เพราะไม่มีเงินจ่ายหนี้แล้วหาเรื่องปกครองคูเวตในยุคนั้น
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า นายจอร์จ เอช ดับเบิลยู บุช (George H. W. Bush) ประธานาธิบดีคนที่ 41 ของสหรัฐอเมริกา บิดาของ นายจอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีคนที่ 43 ของสหรัฐอเมริกา ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 30 พ.ย. ตามเวลาท้องถิ่น ด้วยวัย 94 ปี โดยโฆษกของครอบครัวบุช จิม แมคแกรท กล่าวว่า บุชถึงแก่อสัญกรรมในเวลา 22.00 น. ของวันศุกร์ หลังการเสียชีวิตของนางบาร์บารา บุช ภรรยา ผ่านไป 8 เดือนเท่านั้น
อ่านประกอบ : “จอร์จ บุช” อดีต ปธน.สหรัฐฯ คนที่ 41 เสียชีวิตแล้วในวัย 94 ปี
สำหรับ นายจอร์จ เฮอร์เบิร์ต วอล์กเกอร์ บุช เกิดเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2468 ที่เมืองมิลตัน รัฐแมสซาซูเซตส์ จบการศึกษาจากวิทยาลัยฟิลลิปส์ ในเมืองแอนโดเวอร์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ก่อนเข้าร่วมกองทัพเรือสหรัฐฯ ในวัย 18 ปี และกลายเป็นนักบินที่มีอายุน้อยที่สุด ก่อนจะสมรสกับนางบาร์บารา เพียซ เมื่อปี 2488 มีบุตรด้วยกัน 6 คน (เสียชีวิต 1 คนเมื่ออายุได้ 3 ขวบ) หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ได้ศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเยล เมื่อสำเร็จการศึกษาได้ย้ายไปที่เวสต์เทกซัส ทำธุรกิจบ่อน้ำมัน
นายจอร์จ บุช ได้รับเลือกให้เป็นสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐอเมริกา สองสมัย ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับสูง อาทิ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำสหประชาชาติ ประธานคณะกรรมการแห่งชาติของพรรครีพับลิกัน หัวหน้าสำนักงานติดต่อประสานงานของสหรัฐฯ ในกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน และผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐฯ
เขาได้รับเลือกให้เป็นรองประธานาธิบดีคนแรกในปี 2523 ในขณะที่นายโรนัลด์ เรแกน เป็นรองประธานาธิบดี 2 สมัย จากนั้นในปี 2531 ได้รับการเสนอชื่อจากพรรครีพับลิกัน ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แข่งกับนายไมเคิล ดูกากิส จากพรรคเดโมแครต และชนะการเลือกตั้งในปี 2532 เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 41
ในขณะที่เกิดเหตุการณ์สำคัญของโลก มีการทำลายกำแพงเบอร์ลิน และการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ในปี 2532 นายจอร์จ บุช ได้ส่งกองกำลังทหารสหรัฐฯ เข้าไปในประเทศปานามา เพื่อจับกุมนายพลมานูเอล นอริเอกา อดีตผู้นำเผด็จการ และนำตัวมาดำเนินคดีในสหรัฐฯ ในข้อหาค้ายาเสพติด
ในปี 2533 สหรัฐฯ ได้รวมกลุ่ม 30 ประเทศเพื่อต่อต้านการรุกรานคูเวตของอิรัก ในสงครามอ่าวเปอร์เซีย
สืบเนื่องมาจากสงครามอิรัก-อิหร่าน ที่ทำสงครามตั้งแต่ปี 2523-2531 อิรักได้รับการสนับสนุนจากชาติต่างๆ ในตะวันออกกลาง รวมทั้งสหรัฐฯ เพราะเกรงกลัวการขยายอิทธิพลของอิหร่านในประเทศอื่นๆ ของตะวันออกกลาง ผลจากสงครามทำให้อิรักต้องใช้เงินจำนวนมากในการทำสงคราม และเป็นหนี้กับซาอุดีอาระเบียและคูเวตจำนวนมาก อยู่ในสภาวะล้มละลาย
แม้อิรักจะร้องขอให้ซาอุดีอาระเบียและคูเวตยกหนี้ แต่ทั้งสองชาติไม่ยินยอม อีกทั้งอิรักและคูเวตมีความบาดหมางกัน เมื่ออิรักกล่าวหาคูเวตว่า ลักลอบขุดน้ำมันในเขตอิรัก และอ้างสิทธิในการปกครองคูเวต ระบุว่า ขึ้นอยู่กับแขวงบาสรา โดยที่คูเวตมีฐานะเป็นจังหวัดหนึ่งในอาณาจักรออตโตมัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอิรัก แต่อีกด้านหนึ่ง คูเวตมีสหรัฐฯ หนุนหลังธุรกิจน้ำมัน
กระทั่งวันที่ 2 สิงหาคม 2533 ประธานาธิบดี ซัดดัม ฮุสเซน ของอิรัก นำกองกำลังอิรัก 1 แสนคน และรถถัง 30 คัน บุกเข้าไปในคูเวตโดยไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ มีมติให้ชาติสมาชิกใช้กำลังต่อสู้กับอิรัก ขีดเส้นตายให้อิรักถอนกำลังภายในวันที่ 15 มกราคม 2534 และลงมติคว่ำบาตรทางการค้า ห้ามซื้อน้ำมันจากอิรัก ให้ธนาคารทั่วโลกอายัดทรัพย์สินจากอิรักและคูเวต รวมทั้ง ซาอุดิอาระเบีย เรียกร้องให้สหรัฐฯ และชาติพันธมิตร เข้ามาช่วยป้องกันคูเวต เมื่อประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน ไม่ยอมถอนกำลังออกจากคูเวต กองกำลังสหประชาชาติ นำโดยสหรัฐอเมริกา และพันธมิตรกว่า 30 ประเทศ และกลุ่มสันนิบาตอาหรับ 12 ประเทศ เปิด “ยุทธการพายุทะเลทราย” มีการโจมตีทางอากาศอย่างต่อเนื่อง
ในที่สุด กองกำลังสหประชาชาติ เคลื่อนทัพเข้าปลอดปล่อยคูเวต โดยจับกุมทหารอิรักจำนวนมากเป็นเชลยศึก ก่อนยกทัพเข้าสู่อิรัก แต่กองทัพอิรักยังทิ้งท้ายด้วยการเผาบ่อน้ำมันหลายร้อยบ่อในคูเวต และปล่อยน้ำมันลงในอ่าวเปอร์เซีย ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทะเลสีดำเต็มไปด้วยคราบน้ำมัน ในที่สุดอิรักก็ยอมลงนามยุติการสู้รบ ส่งผลให้อิรักถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ถูกตรวจสอบอาวุธ และการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ จนส่งผลกระทบต่อศักยภาพของกองทัพอิรัก แต่สหรัฐฯ และชาติพันธมิตรต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายในการทำสงคราม ราว 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และยังต้องคงกำลังในคูเวตต่ออีก 10 ปี
หลังสงครามอ่าวเปอร์เซีย สหรัฐอเมริกาและชาติอื่นๆ ในประชาคมโลก ยังคงเฝ้าระวังจับตามองซัดดัมด้วยความหวาดระแวงว่ามีอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงไว้ในครอบครอง ซัดดัมถูกจับกุมโดยกองกำลังสหรัฐเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2546 ในขณะที่ซ่อนตัวอยู่ในหลุมขนาดเล็ก ในฟาร์มแห่งหนึ่งชานเมืองติกรีต เขาขึ้นต่อสู้คดีในศาลพิเศษอิรักที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐบาลชั่วคราวของอิรัก และวันที่ 5 พฤศจิกายน 2549 ผู้พิพากษาศาลอิรัก สั่งลงโทษประหารชีวิตด้วยการแขวนคอซัดดัม ในคดีสังหารหมู่ชาวชีอะห์ 148 คน ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมืองดูเญลเมื่อปี 2525 และถูกประหารชีวิตในวันที่ 30 ธันวาคม 2549 รวมอายุได้ 69 ปี
ในช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซีย ตอนนั้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ย่ำแย่ลง ทำให้นายจอร์จ บุช ต้องยกเลิกคำพูดที่ให้ไว้ว่าจะไม่มีภาษีใหม่ พยายามลดการขาดดุลโดยได้ลงนามร่างกฎหมายเพื่อเพิ่มภาษี และทำให้นายจอร์จ บุช ได้พ่ายแพ้ให้แก่นายบิล คลินตัน ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ปี 2535 เขาได้ย้ายครอบครัวกลับไปอยู่ที่ฮูสตัน แต่ในปี 2543 นายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ลูกชาย ได้รับเลือกเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน แข่งกับนายอัล กอร์ คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต และได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 43 ของสหรัฐฯ ในปี 2544
นายจอร์จ บุช มีปัญหาด้านสุขภาพ จนต้องอาศัยอยู่บนรถเข็นวีลแชร์ ก่อนหน้านี้ในวัย 90 ปี เขาได้ฉลองวันเกิดโดยการกระโดดร่มลงจากเฮลิคอปเตอร์ คู่กับอดีตทหารผ่านศึก บริเวณใกล้กับบ้านพักของครอบครัวบุช ในเมืองเคนเนบังค์พอร์ต เมื่อปี 2557 หลังจากนั้น เมื่อปี 2560 เขาได้ร่วมกับอดีตประธานาธิบดีอีก 4 คน จัดคอนเสิร์ตในเทกซัส เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพายุเฮอริเคนฮาร์วีย์ม่าและมาเรีย